ตอนที่ 183 จดหมายรัก

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 183 จดหมายรัก

หญิงชราตัวแสบตะโกนไล่หลังหญิงวัยกลางคนคนนั้นไปด้วยความสับสน “นี่! เธอจะไปแล้วเหรอ?”

ยิ่งตะโกนเรียกหญิงวัยกลางคนคนนั้นก็ยิ่งจ้ำอ้าวเร็วขึ้น

ทันใดนั้นหญิงชราตัวแสบก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ นางรีบยกมือแตะตามร่างกายของตัวเอง ปรากฏว่าเงินที่พกไว้ติดตัวหายไปทั้งหมด แม้แต่กระเป๋าของนางก็ถูกกรีด

พอรู้ว่าตัวเองเจอนักต้มตุ๋นเข้าเสียแล้ว นางก็ร้องไห้โฮออกมาทันที น่าเสียดายที่ไม่มีใครให้ความสนใจ

ยังไม่ทันที่หลินม่ายและเพื่อนร่วมทางทั้งสามจะเดินออกจากสถานีรถไฟ ชายหนุ่มหน้าตาดีอีกคนหนึ่งก็เดินตรงเข้ามาหา

เขาจ้องมองข่งเสียงด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร แล้วหันไปถามเถาจืออวิ๋น “ผู้ชายคนนี้เป็นใคร?”

เถาจืออวิ๋นตอบกลับอย่างเย็นชา “เขาจะเป็นใครก็ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ!”

ชายหนุ่มแค่นเสียงออกมาทันที “ผมเป็นสามีของคุณ ทำไมจะไม่เกี่ยว? วันวันหนึ่งคุณจะอยู่ห่างจากผู้ชายไม่ได้เลยหรือไง!”

คำพูดอันรุนแรงของเขาดึงดูดผู้คนจำนวนมากให้หันมามอง

หลินม่ายรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ออกจะพูดเกินไปสักหน่อย จึงพูดขึ้นมาอย่างเหลืออด “ข่งเสียงเป็นคนรู้จักของฉันเองค่ะ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพี่เถาทั้งนั้น!”

ชายคนนั้นทำท่าทางกระดากอายเล็กน้อย ก่อนจะคว้าตัวเด็กน้อยหน้าตาใสซื่อมาจากอ้อมแขนของเถาจื่ออวิ๋น แล้วพูดอย่างไม่พอใจว่า “คุณเป็นแม่คนแล้วนะ จะทำตัวเอาแต่ใจแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่กัน คิดอยากจะไปกว่างโจวก็ไปกว่างโจวซะเดี๋ยวนั้น ฉีฉีอายุแค่กี่ขวบเอง คุณยังคิดจะพาเขาไปกว่างโจวอีก จนตอนนี้เขาป่วยแล้ว คุณรู้สึกรู้สาอะไรบ้างไหม?”

หลินม่ายทำได้แค่สังเกตการณ์อยู่ห่าง ๆ เพราะไม่อยากยุ่งเรื่องส่วนตัวของครอบครัวคนอื่น จึงไม่พูดอะไรสักคำ

เถาจืออวิ๋นพยายามระงับความโกรธ ก่อนจะหันไปหาหลินม่ายกับข่งเสียง “พวกคุณไปกันก่อนเถอะค่ะ”

หลินม่ายคาดเดาว่าอีกฝ่ายคงไม่อยากให้พวกตนรับรู้ความบาดหมางระหว่างสามีภรรยา จึงเดินเลี่ยงออกไปพร้อมกับข่งเสียง

ข้างหลัง เถาจืออวิ๋นกับสามีของหล่อนยังคงทะเลาะวิวาทกันอย่างรุนแรง

ตอนนี้เป็นเวลาแปดโมงจวนจะเก้าโมงเช้าแล้ว

สถานีเจียงเฉิงนับว่ายังมีความปลอดภัยดีกว่าสถานีกว่างโจวมาก หลินม่ายและข่งเสียงจึงเดินลัดออกมาจากสถานีรถไฟได้อย่างราบรื่น

ข่งเสียงต้องการเดินทางต่อไปที่อู่ชางเพื่อหางานใหม่ หลินม่ายจึงอาสาบอกเส้นทางไปที่นั่นให้กับเขาด้วยความกระตือรือร้น

ข่งเสียงนิ่งฟังเธอพลางส่งยิ้มให้ จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “เดี๋ยวผมจะไปส่งคุณกลับบ้าน”

หลินม่ายปฏิเสธอย่างรักษาน้ำใจ “ไม่เป็นไรค่ะ บ้านของฉันอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟนี่เอง”

ถึงอย่างนั้นข่งเสียงก็ยังยืนกรานว่าจะไปส่งเธอถึงบ้าน หลินม่ายหาทางปฏิเสธไม่ได้อีก จึงยอมให้เขาตามไปส่ง

ยังไม่ทันที่หลินม่ายจะเดินเข้าไปในร้าน หลี่หมิงเฉิงซึ่งเห็นเธอเดินมาแต่ไกลรีบตะโกนเข้าไปในครัว “พี่โจว ม่ายจื่อกลับมาแล้วครับ!”

จากนั้นเขาก็หันไปทักทายเธอด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะเหลือบไปเห็นผู้ชายอีกคนที่เดินตามมา เขายังช่วยเธอลากรถเข็นคันเล็กอีกด้วย

เขาถาม “ใครน่ะ?”

หลินม่ายจึงแนะนำพวกเขาทั้งสองให้รู้จักกัน

โจวฉายอวิ๋นเดินออกมาจากหลังร้านพอดี เธอหันไปพูดกับหลินม่ายและข่งเสียง “พวกเธอยังไม่ได้กินอาหารมื้อเช้าใช่ไหม? เขามากินข้าวกันก่อนเถอะ”

หลี่หมิงเฉิงออกไปรับรถเข็นคันเล็กมาจากมือข่งเสียง ก่อนจะยกขึ้นไปเก็บไว้ที่ห้องนั่งเล่นชั้นบน

ข่งเสียงขอตัวจากไปหลังจากกินอาหารมื้อเช้าเสร็จ

หลินม่ายตั้งใจจะเดินไปส่งเขาออกจากร้าน แต่ข่งเสียงกลับพูดพึมพำว่า “ไม่ต้องส่ง”

ขณะนั้นก็ฉวยโอกาสตอนที่เธอยังไม่ทันตั้งตัว ยัดบางอย่างไว้ในมือของเธอ ก่อนจะวิ่งหนีไปอย่างเร่งรีบ

ป้าหูที่อยู่ข้างบ้านกลอกตาเมื่อเห็นแบบนั้น พลางพูดด้วยเสียงกระซิบ “หน้าไม่อาย ผละจากผู้ชายคนนี้ก็ไปคว้าผู้ชายอีกคน”

หลินม่ายก้มลงมอง พอเห็นว่าเป็นจดหมายก็รู้สึกงุนงงเล็กน้อย

พอคลี่อ่านเนื้อความในจดหมายน้อย พบว่าเขาเขียนประโยคสั้น ๆ ไว้สองสามประโยค

‘สหายหลินม่าย ผมตกหลุมรักคุณตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้า ผมอยากเดตกับคุณ ไม่รู้ว่าคุณจะตกลงไหม?’

หลินม่ายถึงกับพูดไม่ออก เธอไม่ตกลงแน่นอน แต่จะบอกเขาก็ไม่ทันเสียแล้ว

ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาคอยกระตือรือร้นหานั่นหานี่มาปรนเปรอเธอตลอดเวลา ที่แท้ก็เพราะมีเป้าหมายอย่างนี้เองหรือ

หลินม่ายเดินขึ้นไปชั้นบน เห็นว่าโจวฉายอวิ๋นกำลังรื้อเสื้อผ้าที่เธอขนกลับมาจากกว่างโจว บางครั้งก็หยิบมันขึ้นมาทาบกับร่างกายของตัวเอง ดูจากท่าทางแล้วคงชื่นชอบไม่น้อย

เธอยิ้มพลางพูดกับอีกฝ่าย “ถ้าพี่ชอบตัวไหนให้บอกฉันได้เลยนะ ฉันจะได้เก็บไว้ให้พี่ใส่”

โจวฉายอวิ๋นกลับส่ายหน้า

“กว่าเธอจะกลับมาจากกว่างโจวได้ต้องเสี่ยงอันตรายขนาดไหน ฉันกับหลี่หมิงเฉิงได้แต่นั่งเป็นห่วงเธออยู่ที่บ้าน ฉันขอไม่รับเสื้อผ้าพวกนี้ไว้ก็แล้วกัน อย่างน้อยเธอยังเอาออกไปขายได้เงินเพิ่มตั้งสองสามหยวน”

หลินม่ายเหลือบดูเวลาปรากฏว่ายังเช้าอยู่ จึงตั้งใจว่าจะขนเสื้อผ้าพวกนี้ไปขายที่ตลาดมืด

โจวฉายอวิ๋นช่วยเธอยกรถเข็นคันเล็กลงไป

ขณะนั้นเอง เชือกที่ผูกไว้หลวม ๆ กับรถเข็นคันเล็กกลับคลายออก ทำให้เสื้อผ้าในรถเข็นเทกระจาดออกมากองอยู่กับพื้น สีสันของมันดึงดูดสายตาคนเป็นพิเศษ

ลูกค้าผู้หญิงหลายคนที่กำลังกินอาหารเช้าอยู่ภายในร้านเหลือบไปเห็นเข้าพอดี พวกเธอก็ไม่สนใจอาหารตรงหน้าอีกต่อไป ทุกคนต่างวางตะเกียบลงแล้วเดินเข้าไปดูเสื้อผ้า

“กระโปรงทรงนี้สวยจังเลย เถ้าแก่เนี้ย คุณขายเสื้อผ้าพวกนี้ด้วยหรือเปล่า?”

หญิงสาวคนหนึ่งที่สวมใส่ชุดเดรสคอกลมสีแดงลายกุหลาบดีไซน์เปรี้ยวจี๊ดนำสมัย ทั้งยังแต่งหน้าสวยสดถามขึ้นมาเป็นคนแรก

หลินม่ายตอบด้วยรอยยิ้ม “ขายในร้านอาหารแบบนี้คงไม่ดีมั้งคะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ขนออกไปนอกร้านแล้วให้พวกเราเลือกสิ!” บรรดาลูกค้าสาวต่างแนะนำ

หลินม่ายจึงขอให้โจวฉายอวิ๋นช่วยหาเสื่อพลาสติกขนาดใหญ่ออกมาปูพื้น โดยกะระยะให้ห่างจากหน้าร้านประมาณสามถึงสี่เมตร ก่อนจะเทเสื้อผ้าในรถเข็นลงไป ให้ลูกค้าเลือกกันเองตามใจชอบ

ลูกค้าสาวคนหนึ่งเลือกเสื้อสายเดี่ยวเอวลอยมาตัวหนึ่งมาถือไว้ ก่อนจะเลือกกระโปรงชั้นเดียวสีดำมาอีกตัวหนึ่ง แล้วหันไปถามว่า “เถ้าแก่เนี้ย สองตัวนี้ราคาเท่าไหร่จ๊ะ?”

หลินม่ายเหลือบมองเสื้อผ้าในมือเธอแวบหนึ่ง “เสื้อตัวนั้นราคายี่สิบสองหยวนค่ะ กระโปรงชั้นเดียวราคาแปดหยวน รวมเป็นสามสิบหยวน แต่ฉันเพิ่งรับเสื้อผ้ามาขายเป็นวันแรก ถ้าอย่างนั้นฉันจะลดให้คุณสองหยวน เหลือยี่สิบแปดแล้วกันค่ะ”

“ยี่สิบห้าได้ไหม คุณบอกว่าเพิ่งขายเป็นวันแรกนี่นา น่าจะให้ส่วนลดมากกว่านี้อีกหน่อย”

หลินม่ายยังคงปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม “คนสวยจ๋า ฉันขายให้ตามราคาที่คุณบอกไม่ได้จริง ๆ ค่ะ ฉันยังอยากได้กำไรไว้ใช้จ่ายอยู่นะคะ”

ทั้งสองเจรจาต่อรองราคากันอีกพักหนึ่ง ในที่สุดหญิงสาวก็ได้เสื้อผ้าสองตัวนั้นไปในราคายี่สิบเจ็ดหยวน

หลินม่ายตื่นเต้นไม่น้อย ถือเป็นการเริ่มต้นกิจการที่ดี

เธอซื้อเสื้อสายเดี่ยวเอวลอยมาในราคาตัวละสิบหยวน ซื้อกระโปรงชั้นเดียวมาในราคาตัวละสองหยวน แต่กลับขายได้ทั้งหมดยี่สิบเจ็ดหยวน

ยุคนี้เสื้อผ้าถือเป็นสินค้าที่ใช้เก็งกำไรได้ดีทีเดียว

นั่นเป็นเพราะผู้หญิงถูกกดขี่ข่มเหงมานานหลายทศวรรษ ในที่สุดก็สามารถเลือกซื้อเสื้อผ้าที่มีสีสันสดใสและมีดีไซน์ทันสมัยได้เสียที ต่อให้ตั้งราคาขายแพงแค่ไหนก็มีคนเต็มใจซื้อ

เคยมีวลีหนึ่งกล่าวไว้ว่า วันแรกที่เปิดร้านกิจการจะขายดิบขายดี ดูเหมือนประโยคนี้จะเป็นความจริงอยู่บ้าง

ธุรกิจขายเสื้อผ้าได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เธอสามารถขายเสื้อผ้าได้สามสิบเกือบสี่สิบตัว

เพื่อนบ้านหลายคนต่างเข้ามามุงดูเช่นเดียวกัน

บางคนถามหลินม่ายว่าเธอไปรับเสื้อผ้ามากมายขนาดนี้มาจากที่ไหน

หลินม่ายตอบอย่างกว้าง ๆ “กว่างโจว”

เพื่อนบ้านรีบพูดจาประจบประแจงทันที “คราวหน้าถ้าเธอไปกว่างโจวอีก ช่วยขนเสื้อผ้ากลับมาให้ฉันขายด้วยได้ไหม ฉันยินดีจ่ายค่าเสียเวลาให้เธออย่างงามเลย”

หลินม่ายแอบขดริมฝีปากด้วยความรังเกียจ ‘ใครสนใจเงินค่าเสียเวลาจากคุณกัน? ฉันขนของมาขายเองไม่ดีกว่าหรือ?’

เธอส่งยิ้มให้พลางตอบกลับ “ฉันไม่ได้รับเสื้อผ้าพวกนี้มาขายเอง พอดีมีคนอื่นฝากฉันมาขายอีกที”

เพื่อนบ้านยังถามต่อ “ใครเหรอ?”

หลินม่ายตัดจบบทสนทนาของอีกฝ่ายด้วยประโยคเดียว “เขาคงไม่อยากให้ฉันบอกหรอกค่ะ”

ถึงแม้คำตอบของเธอจะดูไร้เยื่อใยไปหน่อย แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าเป็นความลับที่ไม่ควรเปิดเผย ดังนั้นเพื่อนบ้านจึงจำใจยอมแพ้ เฝ้าดูเธอหารายได้เข้ากระเป๋าเป็นกอบเป็นกำต่อไป

โชคดีที่ป้าหูยังไม่เห็นหลินม่ายทำเงินได้จากธุรกิจใหม่ เพราะทุกครั้งที่หล่อนเห็นว่ากิจการของหลินม่ายเป็นไปด้วยดี ก็มักจะรู้สึกอึดอัดจนแทบทนไม่ได้

เพื่อนบ้านหลายคนถูกเสื้อผ้าสวย ๆ ที่หลินม่ายรับมาขายล่อตาล่อใจ อดไม่ได้ที่จะก้มลงเลือกเสื้อผ้าพวกนั้นบ้าง

เพื่อนบ้านคนหนึ่งถือเสื้อปีกค้างคาวไว้ในมือพลางถาม “ตัวนี้ขายยังไง?”

หลินม่ายตอบ “สิบห้าหยวนจ้ะ”

ไม่ลืมพูดเสริมทันที “ฉันเห็นว่าคุณเป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียงถึงขายให้ในราคานี้ ก่อนหน้านี้ลูกค้าอีกคนซื้อไปในราคาสิบแปดหยวนเลยนะ”

เธอเป็นผู้หญิง ย่อมรู้ว่าตัวเองควรพูดจาซื้อใจลูกค้าอย่างไร

ผู้หญิงคนไหนก็สนใจความสวยความงามของตัวเองกันทั้งนั้น ไม่สำคัญว่าจะมีอายุเท่าใด

เพื่อนบ้านต่อรองพลางชูนิ้วขึ้นมา “เธอขายให้ฉันสิบสามหยวนได้ไหม?”

หลินม่ายพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย “ฉันเห็นว่าคุณเป็นเพื่อนบ้านถึงยอมลดราคาให้ แต่คุณกลับไม่เห็นใจฉันบ้างเลย ถ้าฉันขายให้คุณราคานี้จริง ๆ แล้วจะเอากำไรจากไหนล่ะคะ?”

เพื่อนบ้านเป็นคนฉลาดมากพอ อย่างน้อยก็ไม่ได้พูดหักล้างว่า “ทำไมจะไม่ได้กำไร แค่ได้กำไรน้อยลงแค่นั้นเอง” อะไรทำนองนั้น

หล่อนยังคงยิ้มและร้องขอให้หลินม่ายยอมขายให้ตัวเองในราคาสิบสามหยวน

หลินม่ายทนเสียงรบเร้าของหล่อนไม่ไหว จึงโบกมือแล้วยอมขายให้เธอตามนั้น

ลูกค้าคนอื่นต่างพากันเดือดร้อนขึ้นมาทันที เสื้อปีกค้างคาวราคาสิบสามหยวนเนี่ยนะ ตัดราคากันเกินไปแล้ว

ทุกคนตะโกนเรียกร้อง “คุณขายให้ฉันราคาตัวละสิบสามหยวนบ้างสิ!”

“ถ้าลดให้ฉันจะซื้อสองตัวเลย!”

หลินม่ายทำหน้าลำบากใจ “นั่นเป็นราคาที่ฉันขายให้เพื่อนบ้านกันเองน่ะค่ะ สำหรับพวกคุณ… คงขายให้ในราคานั้นไม่ได้”

“ไอหยา ฉันว่านะเถ้าแก่เนี้ย คุณเปิดร้านค้าขายทั้งทีจะปฏิบัติต่อลูกค้าต่างกันแบบนี้ได้ยังไง?”

“ครั้งนี้คุณยอมขายให้พวกเราในราคาย่อมเยาก่อนสิ เผื่อครั้งหน้าเราจะได้อุดหนุนกันไปยาว ๆ”

หลินม่ายแสร้งทำเป็นโอนอ่อนผ่อนตามไปกับบรรดาลูกค้าที่มีวาทศิลป์ ยอมขายให้พวกเธอในราคาดังกล่าว

เสื้อปีกค้างคาวจึงถูกซื้อไปหลายสิบตัวในคราวเดียว

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

บอกรักกันแบบนี้เลยเหรอคะ ว่าแต่เปย์สู้พี่หมอได้หรือเปล่า?

ถ้าป้าหูรู้ว่าม่ายจื่อเอาเสื้อผ้ามาขายนี่คงได้ตายเพราะความอิจฉาก็คราวนี้

ไหหม่า(海馬)