หยวนชิงหลิงหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว จึงต้องกัดฟันทำใจดีสู้เสือ หันไปเผชิญหน้ากับเจ้าหญิงโล่ผิง
เจ้าหญิงโล่ผิงชำเลืองมองนางอย่างเย็นชาและตรัสว่า “ข้าได้ยินว่า เจ้ามาที่นี่เพื่อรักษาอาการป่วยให้เจ้าหก คนอื่นอาจไม่รู้ว่าเจ้าเก่งกาจสามารถแค่ไหน แต่ข้าคนนี้กลับรู้ดียิ่งนัก เรื่องงามหน้าที่เจ้าทำในจวนข้าครั้งนั้น ข้ายังไม่เอามาคิดเล็กคิดน้อยกับเจ้าเลย เจ้ายังกล้ามาโกหกพกลมอันใดที่จวนอ๋องหวยนี่อีกหรือ”
หยวนชิงหลิง เข้าใจความโกรธของเจ้าหญิงโล่ผิงเป็นอย่างดี
ในงานเลี้ยงวันเกิดของนาง แน่นอนว่านางต้องเชิญทั้งพระญาติและพระสหายมาร่วมฉลองยินดี เดิมทีก็ควรเป็นเรื่องที่สุขสันต์หรรษามาก ทั้งเชิญคนมาร่วมทานอาหาร ทั้งเชิญคณะละครมาให้ความสนุกตื่นเต้น กลัวก็แต่ ต่อให้เจ้าหญิงโล่ผิงจะใช้เซลล์ทั้งหมดในร่างกายของนางช่วยคิด ก็คงไม่มีวันคิดไปได้ถึงขั้นที่ว่า คณะละครที่นางเชิญมา ยังเล่นละครได้ไม่สนุกชวนตกตะลึง ได้เท่าคู่พ่อลูกเจ้าพระยาจิ้งเลยด้วยซ้ำ
ซึ่งนั่นทำให้นางเสียหน้าอย่างถึงที่สุด ทั้งยังเสียงานที่อุตส่าห์จัดเตรียมไว้แบบพังเละไม่เป็นท่า สิ่งที่ร้ายแรงที่สุดคือ นางถูกคนอื่นใช้เป็นสะพานไปทำในสิ่งที่น่าละอาย ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อชื่อเสียงของนาง
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้กระทำผิดหลัก หยวนชิงหลิงไม่สามารถทำตัวแข็งกร้าวเหมือนตอนเผชิญหน้ากับพระชายาจี้ได้ นางหลุบขนตาลงต่ำ เลียนแบบท่าทางน่าสงสารชวนเวทนาของฉู่หมิงชุ่ยที่เห็นเมื่อครู่ทุกกระเบียดนิ้ว พูดเสียงแผ่วเบาว่า ” นี่เป็นความประสงค์ของเสด็จพ่อเพคะ”
“นี่เจ้าคิดจะใช้เสด็จพ่อมากดดันข้าอย่างนั้นรึ” เจ้าหญิงโล่ผิงเลิกคิ้วพลางเงยหน้าขึ้น
“มิบังอาจเพคะ” หยวนชิงหลิงโบกมือเป็นพัลวัน แสดงท่าทีประจบเอาใจอีกฝ่ายเต็มที่ “อันที่จริง ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เสด็จพ่อจึงได้มีรับสั่งเช่นนี้เหมือนกันเพคะ”
เดิมทีเจ้าหญิงโล่ผิง เพียงต้องการจะระบายโทสะที่อัดอั้นนี้ออกไปเท่านั้น แต่วันนี้เมื่อได้มาเห็นท่าทางอันน่าเวทนาของนางเข้า จึงไม่อาจระบายไฟโทสะที่อัดแน่นอยู่ในท้องออกมาได้ดั่งที่หวัง
แต่เห็นได้ชัดว่าพระชายาจี้ไม่ได้มีเจตนาแค่จะยืนดูเรื่องราวเฉยๆ นางวางแผนเข้ามาช่วยเติมเชื้อไฟให้ทางฝ่ายเจ้าหญิงโล่ผิงอีกหนึ่งฉาก
นางก้าวไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้ม พร้อมแสดงสีหน้าปลอบใจ “พระชายาฉู่ เรื่องใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรค เจ้าสามารถบอกเจ้าหญิงได้ทั้งสิ้น ที่วันนี้เจ้าตำหนิข้ากับหลู่เฟย ก็เพราะพวกเราไม่รู้กฎระเบียบในการรักษามากพอ เจ้าหญิงทรงหลักแหลมนัก นางย่อมจะเข้าใจทุกสิ่งได้ฉับไว ไม่สู้เจ้ารีบบอกเจ้าหญิงให้หมด เพื่อจะได้ไขข้อสงสัยให้กับเจ้าหญิงได้ไม่ดีกว่าหรือ”
หยวนชิงหลิงปรายตามองชายาจี้แวบหนึ่ง ทำไมที่ไหนๆ ก็มีแต่ปากเหม็นๆ ของนางอยู่ทั่วทุกที่แบบนี้ได้นะ
เจ้าหญิงโล่ผิงได้ยินว่า นางยังกล้าตำหนิหลู่เฟยกับพระชายาจี้อีก จึงยิ้มเย็นชาพลางกล่าวว่า “สง่างาม ช่างสง่างามยิ่งนัก แค่ได้รับพระบัญชาจากเสด็จพ่อ ก็ไม่ต้องรู้จักที่ต่ำที่สูงแล้ว กระทั่งหลู่เฟยกับพระชายาจี้ก็ยังกล้าตำหนิแล้ว เจ้านี่ช่างน่ารังเกียจอะไรเช่นนี้ จำไม่ได้แล้วหรอกรึ ว่าตำแหน่งพระชายาฉู่นี้ เจ้าใช้วิธีต่ำช้าอะไรจึงได้มันมาหรือ วันนี้เจ้าอยากให้ข้าพูดถึงเรื่องน่าละอายที่เจ้าทำในจวนของข้าต่อหน้าธารกำนัลหรือไม่ ในชีวิตข้าเคยพบเห็นคนมานับไม่ถ้วน แต่ไม่เคยเห็นคนที่ไร้ยางอายได้มากเท่าเจ้ามาก่อนเลยจริงๆ ที่เจ้าแต่งให้กับเจ้าห้า ช่างเป็นเรื่องที่ทำให้ราชวงศ์เสื่อมเสียเกียรติยิ่งนัก”
คำพูดเหล่านี้ ถูกตอกทับอยู่ในหัวใจของเจ้าหญิงโล่ผิงมาเป็นเวลาหนึ่งปีเต็มๆ แล้วแหละ ในวันนี้นางจึงใช้โอกาสนี้ ระบายโทสะเหล่านั้นออกมาต่อหน้าทุกคน ในใจนางพลันรู้สึกปลอดโปร่งผ่อนคลายลงไปมากจริงๆ
หยวนชิงหลิงก็มีความสุขมากขึ้นเช่นกัน เพราะตามปกติแล้ว หากคนเรานิ่งเงียบกักเก็บความไม่พอใจไว้ข้างใน ความขุ่นเคืองเหล่านั้นก็จะดำเนินต่อไปไม่หาย
แต่เมื่อไรที่ได้ด่า ได้ระบายออกมาให้หมด มันจะเป็นการปล่อยวางความคับข้องใจ นั่นจะช่วยให้ใจสงบลงไปได้มาก
นางยืนอย่างเป็นการเป็นงาน หันหน้าเข้าหาเจ้าหญิงโล่ผิง “เจ้าหญิง ข้าต้องกราบขออภัยสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นในจวนของท่านเมื่อหนึ่งปีที่แล้วด้วย เรื่องนี้เป็นข้าเองที่ทำผิดไป ตอนนี้เมื่อลองมาคิดย้อนไปในเหตุการณ์นั้น ข้าก็รู้สึกอับอาย ข้าละอายใจเหลือเกิน แต่เพราะก้าวแรกผิดไปแล้วหนึ่งก้าว ก้าวต่อไปก็ยิ่งผิดพลาดไปเรื่อยๆ กระทั่งข้าเองก็ยังไม่อาจยกโทษให้ตัวเองได้ อีกทั้งเป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของข้า จนไปทำร้ายท่านอ๋องอย่างร้ายกาจ หนึ่งปีที่ผ่านมานี้ ท่านอ๋องต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงไปไม่น้อย เสด็จพ่อก็ทรงผิดหวังในตัวเขา วันนี้ต่อหน้าทุกคนที่นี่เป็นสักขีพยาน ข้าจะขอกราบขออภัยต่อเจ้าหญิงอย่างจริงใจ เมื่อกลับไป ข้าก็ไปจะขออภัยต่อท่านอ๋องด้วย”
นางไม่ได้สนใจเกี่ยวกับชื่อเสียงของตัวเองมากนัก แต่หยู่เหวินเห้าก็นับว่าเป็นคนที่ถูกเจ้าของร่างเดิมสร้างความลำบากให้อย่างน่าอนาถอย่างถึงที่สุดจริงๆ ครั้งนี้นางเอ่ยปากยอมรับความผิดต่อหน้าทุกคน ว่าเป็นความผิดของนางเอง จึงถือได้ว่าเป็นการคืนความบริสุทธิ์ให้เขาแล้ว ก็หวังแค่ว่าจากนี้ไป เขาจะไม่พูดว่านางติดค้างเขามากมายไปกว่านี้
ส่วนเรื่องที่ว่า นางจะถูกผู้คนหัวเราะเยาะหรือไม่ นางก็ไม่สนใจอยู่ดี เพราะที่จริงทุกคนก็รู้ดีอยู่แก่ใจ แต่แค่ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ ก็เท่านั้น
เจ้าหญิงโล่ผิงถึงกับตรัสสิ่งใดไม่ออกไปแล้ว
ที่นางด่าออกไปยกนั้น ด้วยสถานะปัจจุบันของหยวนชิงหลิง นางสามารถหักล้างมันได้ หรืออาจแสร้งทำเป็นว่าได้รับความไม่เป็นธรรม แต่การที่นางยอมรับความผิดของตัวเองอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ กลับทำให้ผู้คนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี
พระชายาจี้หัวเราะแห้งๆ สองที ไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ไปชั่วขณะหนึ่ง
ในท้ายที่สุด เจ้าหญิงโล่ผิงจึงทำได้เพียงตรัสอย่างเฉยเมยว่า “เจ้ารู้ตัวว่าผิดก็ดีแล้ว”
ทุกคนต่างมองไปที่หยวนชิงหลิง แต่ดวงตาของพวกเขา กลับไม่ได้แสดงอาการดูถูกเหยียดหยามเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
เรื่องราวใดๆ ในโลกนี้ก็แปลกแบบนี้เอง เมื่อไรก็ตามที่ผู้คนเริ่มคาดเดาในตัวคุณ ก็มักจะมีเหตุการณ์กลับตาลปัตรเกิดขึ้นมาได้อยู่เสมอ
แต่ถ้าคุณยอมรับมัน ยอมรับความผิดพลาดในเรื่องนี้จากใจจริง จะเป็นการสร้างความรู้สึกร่วมให้ทุกคน ว่านี่คือความใจกว้างและกล้าหาญ กล้าทำกล้ารับ ในท้ายที่สุด ทุกคนก็จะเกิดความรู้สึกว่าพอจะอภัยให้เราได้
โดยเฉพาะหลู่เฟย นางรู้สึกประทับใจมาก
ด้วยเหตุนี้ หยวนชิงหลิงที่เดิมทีควรจะถูกทำให้ต้องอับอาย ก็กลับกลายเป็นได้รับการให้อภัยจากทุกคนไปอย่างน่ามหัศจรรย์
เรียกได้ว่าเป็นการอภัยที่เข้าใจได้ว่า นางจะกลับตัวกลับใจ มีพฤติกรรมใหม่ที่เป็นผู้เป็นคนขึ้นมาอีกครั้ง
ฉู่หมิงชุ่ยยืนอยู่ไม่ไกล ฟังคำพูดเหล่านี้อย่างเงียบ ๆ
ใบหน้าของนางไม่มีการแสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาทั้งสิ้น แต่มีคลื่นขนาดใหญ่ผืนหนึ่ง ก่อตัวขึ้นในหัวใจของนาง
หยวนชิงหลิง เจ้าช่างไม่ธรรมดาเสียจริงนะ
จากนี้ไป นางอยู่ในจวนอ๋องหวย เกรงว่าคงจะไม่มีใครที่กลอกตามองบนใส่นางอีกต่อไปแล้วเป็นแน่
หลังจากจูบนั้นแล้ว หยู่เหวินเห้าก็กลับไปที่กรมปกครอง
บนรถม้าระหว่างเดินทาง เขานึกถึงจูบนั้นอีกครั้ง แต่ทันทีที่เขานึกถึง ร่างกายของเขาก็อ่อนปวกเปียก กระทั่งกระดูกทุกส่วนในร่างกายของเขาก็ยังอ่อนเปลี้ยไปด้วย
เขารู้สึกว่า วันนี้เป็นวันที่อิ่มเอมใจเมื่อได้นึกถึง ช่างเป็นวันที่แสนดีเหลือจะเอ่ย
แต่อย่างไรก็ตาม งานในกรมปกครองวันนี้กลับยุ่งมาก
หลังจากจัดการกับเรื่องต่างๆ มากมาย ดูคดีนั้นคดีนี้อยู่นานจนตาพร่ามัวหนังศีรษะชา เขาก็หลับตาและหยิกที่หว่างคิ้วเพื่อพักสายตา จู่ๆ ภาพในจวนอ๋องหวยวันนี้ ก็ปรากฏขึ้นในสมองอีกครั้ง
หัวใจไหวสั่นเต้นรัวระทึก แค่นึกถึงในอกก็สะท้าน พาลให้จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“ท่านอ๋อง ท่านอ๋อง….”
ทันใดนั้นเขาก็ลืมตาขึ้น ตบโต๊ะอย่างโกรธจัด แล้วตะโกนใส่คนที่เข้ามาเรียก “ท่านอ๋อง ท่านอ๋องอะไรอยู่ได้ ให้ข้าพักผ่อนบ้างไม่ได้หรืออย่างไรหา!?”
ผู้ช่วยเจ้ากรมก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่งด้วยความงุนงง เหลือบมองสวีอีที่ยืนอยู่ข้างๆ ใช้สายตาถามไปว่า “ใครทำให้ท่านอ๋องอารมณ์เสียอีกแล้วรึ”
สวีอีก็ตกตะลึงไปเช่นกัน เมื่อครู่นี้เขาหลับตาพักผ่อนอยู่ตลอดแท้ๆ ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันล่ะนี่!
หยู่เหวินเห้าเอ็ดตะโรออกไปประโยคหนึ่ง ก็ค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลงมา จ้องไปที่ผู้ช่วยเจ้ากรมแล้วถามว่า “มีเรื่องอะไร ว่ามา”
เฮ้อ ใบหน้าของผู้ช่วยเจ้ากรมหย่อนยานเหี่ยวย่น ไฉนเลยจะเปรียบได้กับความเย้ายวนชวนมองแบบหยวนชิงหลิงได้ล่ะ แค่ได้บีบลงไปเบาๆ ก็สัมผัสได้ถึงความนุ่มนิ่มเต่งตึง
ผู้ช่วยเจ้ากรมรายงานว่า “มีการฆาตกรรมที่ถนนจุ้ยเช่ เป็นครอบครัวสี่คน สามคนเสียชีวิต เหลือเพียงทารกที่เพิ่งอายุครบขวบคนเดียว…ท่านอ๋อง นี่ท่านหัวเราะหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ผู้ช่วยเจ้ากรมจ้องมองหยู่เหวินเห้าด้วยความสยดสยอง เขากำลังหัวเราะ คิ้วของเขาถึงกับยกขึ้นสูงขนาดนั้นแล้ว คนถูกฆ่าตายไปเกือบยกครัว แต่เขากลับหัวเราะ!
“ข้าหัวเราะหรือ” หยู่เหวินเห้ายกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าของเขา เขาหัวเราะอย่างนั้นหรือ “ไม่ได้หัวเราะนี่ ใครบอกว่าข้าหัวเราะกัน”
สวีอีพูดทั้งสภาพแก้มพองลมว่า “ท่านอ๋องหัวเราะจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ นี่ออกจะเกินไปแล้วจริงๆ คดีที่ที่น่าอนาถถึงเพียงนี้ ท่านยังหัวเราะออกมาได้ ทั้งยังหัวเราะออกมาเสียงดังเลยอีกด้วย”
หยู่เหวินเห้าตวัดสายตาไปมองสวีอีอย่างเย็นชา ” เจ้าจะไปรู้อะไรได้ ติดตามข้ามาตั้งหลายปี เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่า เวลาที่ข้าพบเจอเรื่องน่าท้อแท้ห่อเหี่ยว ข้าจะหัวเราะน่ะ”
มีอย่างนี้ด้วยรึ สวีอีหันไปมองเขา รู้สึกว่าสภาพจิตใจคล้ายดิ่งเข้าสภาวะคนเป็นโรคจิตเภทอย่างน่าประหลาด
หยู่เหวินเห้าหันไปมองผู้ช่วยเจ้ากรม แล้วถามว่า “มีการตรวจสอบที่เกิดเหตุแล้วหรือไม่ พบหลักฐานอะไรบ้าง”