หลังจากที่หยู่เหวินเห้าถามถึงรายละเอียดของคดี เขาก็รอให้พลตระเวนและเจ้าหน้าที่ศาลกลับมารายงาน ผลชันสูตรพลิกศพยังไม่ออกมา ยังไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ฟ้าก็มืดแล้ว
เมื่อเขาออกจากกรมการปกครอง เวลาก็พ้นยามซวีไปแล้ว (เวลาระหว่าง 19.00-21.00น.)
เขารีบตรงดิ่งไปที่จวนอ๋องหวยโดยไม่หยุดพัก หลังจากเข้าไปแล้ว กลับได้เห็นหยวนชิงหลิงคุยกับเจ้าหญิงโล่ผิงอยู่ อีกทั้งสองคนดูเหมือนจะคุยกันได้อย่างถูกคอมากเสียด้วย
เขาอดประหลาดใจไม่ได้ หลังจากเรื่องที่จวนเจ้าหญิงเป็นต้นมา เสด็จพี่สามก็เกลียดชังชื่อ หยวน ชิงหลิง สามคำนี้ชนิดซึมลึกเข้าถึงกระดูก
เขาเดินเข้าไปด้วยอารมณ์งงงัน เจ้าหญิงโล่ผิงยิ้มแย้มเมื่อได้เห็นเขา “เมื่อครู่นี้กำลังพูดถึงเจ้าอยู่ เจ้าก็มาพอดีเลย เอ๊ะ เจ้าห้า ทำไมสีหน้าเจ้าจึงได้ดูย่ำแย่เช่นนี้ล่ะ”
หยู่เหวินเห้าเหลือบมองหยวนชิงหลิงแวบหนึ่ง นางถือถ้วยน้ำชาดื่มน้ำด้วยลักษณะท่าทางที่แปลกประหลาด ทั้งยังแอบขยิบตาให้เขาอย่างลับๆ อีกด้วย
เขาอดหัวเราะไม่ได้ พูดขึ้นว่า “เสด็จพี่สาม นั่นเป็นเพราะที่กรมปกครองมีงานยุ่งยากมากมายหลายอย่างให้ต้องจัดการ ข้าจึงเหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
“เหนื่อยขนาดนั้นเชียวรึ เช่นนั้นเจ้ารีบรับชิงหลิงกลับไปก่อนเถอะนะ” เจ้าหญิงโล่ผิงเอ่ย
“ข้าขอไปดูอาการน้องหกก่อน”
เจ้าหญิงโล่ผิงโบกพระหัตถ์ “อย่าเพิ่งไปเลย เขาเพิ่งจะหลับไปเมื่อครู่”
นางถอนหายใจด้วยความโล่งอก หันไปมองหยวนชิงหลิงแล้วเอ่ยว่า “เดิมทีข้าก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเสด็จพ่อถึงทรงมีรับสั่งให้ชิงหลิงมารักษาโรคให้เจ้าหก แต่วันนี้ อาการของเขาดีขึ้นมาก ทั้งไอน้อยลง จนถึงตอนนี้ยังไม่มีอาการไอเป็นเลือดเลยด้วย ดูเหมือนว่าสถานการณ์ของเขาจะดีขึ้นบ้างแล้วจริงๆ”
หยู่เหวินเห้าเหลือบมองหยวนชิงหลิงแวบหนึ่ง ที่แท้เป็นเพราะสถานการณ์ของเจ้าหกดีขึ้นมากแล้วนี่เอง ไม่น่าแปลกที่เสด็จพี่สาม จะเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อนางไปด้วย
“เช่นนั้นขอเสด็จพี่สามโปรดประทับตามสบาย พวกเราขอลากลับก่อน” หยู่เหวินเห้ากล่าวลา
“ไปเถอะ พรุ่งนี้ก็มาแต่เช้าหน่อยล่ะ” เจ้าหญิงโล่ผิงกำชับ
ทั้งสองหันหลังเดินออกไป ส่วนแม่นมสี่ไม่ได้ตามกลับไปด้วย แต่ขอรั้งอยู่ในจวนอ๋องหวยเพื่อช่วยดูเวลากินยาของอ๋องหวยด้วยตัวเอง เพราะอย่างไรก็จะให้ขาดไปไม่ได้แม้แต่มื้อเดียว
นางเชื่อว่าอ๋องหวยจะกินยาแน่นอน แต่นางแค่กลัวว่าจะมีคนอื่นมาหยุดเขา แม่นมสี่แข็งกร้าวไม่ใช่น้อย กระทั่งหลู่เฟยก็ยังต้องไว้หน้านางอยู่หลายส่วน หากว่านางเป็นคนดูแลเรื่องการกินยาของอ๋องหวยเอง คงไม่มีใครกล้ามาหยุดนางได้แน่
รถม้าหยุดอยู่ข้างนอก หยู่เหวินเห้าเข้าไปในรถม้าก่อน แล้วจึงเอื้อมมือออกมาให้หยวนชิงหลิง นางลังเลครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยๆ วางมือของเธอลงบนฝ่ามือของเขา ก้าวขึ้นรถไปช้าๆ
เมื่อนั่งลงแล้ว เขาไม่ได้ปล่อยมือนางจนตลอดทาง แค่จับเอาไว้อย่างนั้น
ฝ่ามือของเขาชื้นเหงื่อเล็กน้อย ในความอบอุ่นก็ยังรู้สึกเย็นยะเยือกอยู่ในทันที
มือของเขาแข็งแกร่ง ส่วนมือของนางนุ่มนิ่ม สองมือพันเกี่ยวกันแน่นอยู่เช่นนั้น นั่งอยู่ในท่วงท่าอันล่อแหลม ไม่มีใครเป็นฝ่ายขยับก่อน ทั้งไม่มีใครเป็นฝ่ายพูดอะไรก่อนเช่นกัน
ราวกับเสียงหัวใจเต้น มันดังเสียยิ่งกว่าเสียงรถม้าที่วิ่งเป็นจังหวะนี้เสียอีก
หยู่เหวินเห้ารู้สึกเหมือนว่า ตัวเองถูกทรมานอยู่ในกรมปกครองเป็นเวลาหนึ่งวันเต็มๆ จิตใจของเขายังคงหวนนึกถึงจูบนั้นไม่หยุด
ในเวลานั้นเขามีแรงกระตุ้นนับไม่ถ้วน คิดแต่อยากจะกลับไปหานางที่จวนอ๋องหวยทันที
เขาไม่เคยมีความคิดที่บ้าคลั่งขนาดนี้มาก่อน
แม้แต่ฉู่หมิงชุ่ยที่รักใคร่ผูกพัน เป็นเพื่อนที่เติบโตด้วยกันมาแต่เล็กแต่น้อย เขาก็ยังไม่เคยมีความคิดถึงคำนึงหานางมากมายขนาดนี้มาก่อน
แม้ในยามที่เขาไปเข้าร่วมรบในแนวหน้า เขาได้พกกระเป๋าผ้าที่ฉู่หมิงชุ่ยให้มาติดตัวไปด้วย แต่เขากลับไม่เคยหยิบมันออกมาดูเลยสักแวบ เป็นเวลาตลอดสามเดือนเต็ม ๆ
วันนี้ เขากลับมองดูฝ่ามือตัวเองไม่ต่ำกว่าร้อยครั้งเห็นจะได้
ฝ่ามือนั้น เคยใช้โลมไล้สัมผัสผ่านหน้าอกของนาง การสั่นสะเทือนที่คล้ายแรงระเบิดในช่วงเวลานั้น เป็นสิ่งที่ยากจะลืมเลือนได้ในชีวิตของเขาจริงๆ
และในเวลานี้ มือข้างนี้ก็กำลังจับมือนางเอาไว้แน่น
ฉับพลัน ในหัวใจก็ไม่รู้ว่าทำไมจึงเกิดความรู้สึกอิ่มเอมเต็มตื้นขึ้นมา
หยวนชิงหลิงกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้ แต่ความคิดของนางต่างจากหยู่เหวินเห้า นางกำลังแอบคาดเดาว่า หยู่เหวินเห้าต้องการสื่อความหมายว่าอะไรกันแน่?
ทำไมจู่ๆ ก็เข้ามาจูบนาง ทั้งยังกอดนางด้วยล่ะ
ในที่สุดเขาก็ยอมรับชะตากรรม ยอมรับความจริงที่ว่านางเป็นภรรยาของเขาน่ะรึ
หรือเป็นเพราะอารมณ์พลุ่งพล่านชั่วครู่ของผู้ชาย แล้วนางก็บังเอิญเป็นผู้หญิงที่อยู่ตรงนั้นพอดี
หรือจะเป็น…เพราะเขาเริ่มจะชอบนางขึ้นมาบ้างแล้ว
การคาดเดาเรื่องสุดท้ายนี้ ทำให้ใบหน้าของนางเป็นสีแดงเรื่อขึ้นมาทันที
หยู่เหวินเห้า สามารถเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของนางได้จากปลายหางตา เมื่อเห็นว่าจู่ๆ นางก็หน้าแดง หัวใจของเขาก็เหมือนจะถูกอะไรบางอย่างกระแทกเข้าใจอย่างจัง เป็นความรู้สึกที่นุ่มนวลจนออกจะเสียวซ่านอย่างประหลาด
มือเผลอกำแน่นโดยไม่รู้ตัว แต่เพราะออกแรงมากไป หยวนชิงหลิงจึงเจ็บจนร้องออกมาเสียงหนึ่ง
เขารีบปล่อยมือทันที “ขอโทษเจ้าด้วย ทำเจ้าเจ็บแล้วใช่หรือไม่”
หยวนชิงหลิงวางมือลงบนเข่าตัวเอง ริมฝีปากกระตุกยกอย่างกระอักกระอ่วน พูดขึ้นว่า “ก็นิดหน่อย”
“ยังเจ็บอยู่หรือไม่” นัยน์ตาของเขาร้อนผ่าว
หยวนชิงหลิงส่ายหน้า “ไม่เจ็บแล้ว”
“อ้อ” เขาเหลือบมองมือของนางที่วางอยู่บนเข่า ลังเลว่าจะจับมันอีกครั้งดีหรือไม่
หลังจากยกมือขึ้นหลายครั้ง ในที่สุด เขาก็วางมันลงข้างๆ อย่างเรียบร้อย รู้สึกสูญเสียความกล้าหาญไปกะทันหัน ไม่กล้าที่จะเอื้อมไปจับมันอีก
ทำไมวันนี้สวีอีถึงได้ขับรถได้ราบรื่นนักนะ ไม่เห็นเหมือนทุกวันที่ผ่านมาเลย นั่งที่แทบจะกระเด็นกระดอนลงไปนอนกองกับพื้น
ช่างเป็นตัวไร้ประโยชน์อะไรอย่างนี้นะ
จู่ๆ หยวนชิงหลิงก็เอนหัวลงบนไหล่ของเขา แล้วพูดนิ่งๆ ว่า “ข้าเหนื่อยนิดหน่อย ขอข้าพิงสักครู่”
หัวของนางกดแนบไปกับใบหน้าของเขา กลิ่นหอมละมุนจากเส้นผมเงางามดำขลับ ลอยมาเข้าจมูก เขานั่งตัวตรงแน่วชนิดกระดูกสันหลังตั้งเป็นเส้นตรงทันที ใช้มือวางบนไหล่ของนางโอบนางเข้ามาไว้ในอ้อมแขน “เช่นนี้ สบายกว่าหรือไม่?”
“ใช่” หยวนชิงหลิงพูด อีกมือหนึ่งจับเสื้อด้านหลังของเขาไว้ เคลื่อนไหวอย่างแช่มช้อย ในที่สุดก็เกาะเกี่ยวเข้าที่เอวของเขา จนสุดท้าย นางก็ถูกฝังจมเข้าไปในอ้อมอกของเขาทั้งตัว
หยู่เหวินเห้าหายใจหอบถี่ขึ้นในทันใด สมองพลุ่งพล่านร้อนระอุ ก้มหน้าลงควานหาริมฝีปากของนางอย่างโหยหา
คล้ายมีสะเก็ดไฟที่ถูกจุดติดขึ้นในใจแบบกะทันหัน มันเผาไหม้ลุกลามขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และความกระตือรือร้นนี้ที่วิ่งพล่านจนทะลุจุดเดือดนี้ ก็เป็นอะไรที่ไม่อาจควบคุมได้
หลังจูบนี้เกิดขึ้น ทั้งคู่ต่างก็รู้สึกรุ่มร้อน ผิวของพวกเขาแดงเรื่อ ลมหายใจหอบกระชั้นถี่
หยวนชิงหลิงรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก หัวใจของนางเต้นเร็วราวจะทะลุออกมาให้ได้ ในหัวเหมือนประกายไฟแตกกระจายไปทั่ว เลือดในกายเดือดพล่าน ราวกับว่านางกำลังนั่งอยู่บนจรวดความเร็วสูง ที่กำลังพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
นางเป็นฝ่ายเริ่มเกาะเกี่ยวคอของเขา โน้มร่างเข้าไปแนบชิด ริมฝีปากรู้สึกแสบร้อนจากการถูกจูบ แต่นางก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า นางเองก็ชอบความใกล้ชิดสนิทแนบในลักษณะนี้
เขากอดนางไม่ปล่อย ค่อยๆ ขยับมือไปที่หน้าอก ริมฝีปากวาดผ่านใบหูไล่ลงไปที่ข้างแก้มนวลเนียน เปลวไฟในกายลุกโชน กัดเข้าที่ติ่งหูนุ่มนิ่มเบาๆ สูดลมหายใจเข้าจนลึก ก่อนจะพึมพำว่า “หยวนชิงหลิงหรือ”
หยวนชิงหลิงฝังใบหน้าลงที่หน้าอกเขา มือยังจับที่เสื้อบริเวณหน้าอก หอบเบาๆ พลางส่งเสียงตอบ “อืม”
“หยวนชิงหลิง”
“อื้ม”
ริมฝีปากถูกบดจูบลงมาอีกครั้ง บรรยากาศในรถม้าร้อนระอุอย่างถึงที่สุด
หากไม่ใช่เพราะรถม้ามาจอดที่หน้าประตูจวนแล้ว น่ากลัวว่า บางทีหยู่เหวินเห้าก็อาจจะควบคุมตัวเองไม่ได้ไปแล้วเป็นแน่
สวีอีเปิดม่านออก เห็นว่าใบหน้าของทั้งคู่ต่างก็เป็นสีแดงเถือก จึงอดตกตะลึงไม่ได้ “อากาศไม่น่าจะร้อนถึงเพียงนี้กระมัง พระชายา คอเสื้อของท่านเปิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หยู่เหวินเห้าโกรธจัด “สวีอีเจ้ามันน่าตายนัก หันหน้าไปทางโน้นเดี๋ยวนี้เลย”
สวีอีเพิ่งมีปฏิกิริยาตอบสนอง รีบหันหน้าไปอย่างรวดเร็ว หัวใจเต้นแรงแทบตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม ลำคอของพระชายาช่างขาวเหลือเกิน
หยู่เหวินเห้า รีบช่วยหยวนชิงหลิงจัดเสื้อผ้าจนมือไม้พันกัน ลูบๆ เส้นผมให้เรียบ ทุกอย่างดูสง่างามและผ่าเผย ราวกับว่าเมื่อครู่นี้ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น แล้วค่อยหันไปพูดกับสวีอีด้วยท่าทางชังน้ำหน้าอีกฝ่าย “เอาแต่พูดจาเพ้อเจ้อทั้งวัน ไม่รู้จักสำรวม คืนนี้ไปคัดคำว่า มารยาท ยุติธรรม ศีลธรรม เกียรติยศ สี่ประโยคนี้มาพันครั้ง”
สวีอีรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอย่างยิ่ง เขาไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย ใครจะไปรู้ล่ะว่า พระชายาจะร้อนจัดจนดึงคอเสื้อลง ไม่ใช่แค่นั้น ไม่ใช่ว่ามีแต่เขาที่เห็นคนเดียวที่เห็นเสียเมื่อไร ท่านอ๋องเองก็เห็นเหมือนกันไม่ใช่รึ แล้วทำไมท่านอ๋องถึงไม่ต้องคัดบ้างล่ะ
ทั้งหมดนี้ต้องโทษพระชายานั่นแหละ
หยวนชิงหลิงได้รับแววตาอันเศร้าโศกของสวีอีที่มองมา ก็หัวเราะพรืดออกมาอย่างอดไม่อยู่ “เจ้าสมควรโดนจริงๆ นั่นแหละ”
ตอเป่ากระดิกหาง พลางวิ่งถลาออกมาต้อนรับหยวนชิงหลิง ไม่ได้เจอกันวันเดียว ช่างยาวนานราวผ่านไปสามฤดูใบไม้ร่วง มันซุกไซ้หัวตัวเองไปกับต้นขานางอย่างตื่นเต้นยินดี หยู่เหวินเห้าแล้วนึกอยากจะเตะมันสักผลัวะ แต่เพราะเขากลัวหมา จึงไม่กล้าหาเรื่องมัน