174 – กลับเมือง
เอี้ยนลี่เฉียงยืนอยู่ที่ทางเข้าด้านตะวันตกของเมืองผิงซี เป็นเวลาเช้าของวันที่ 28 ของเดือนที่ 10 ตามจันทรคติ!
หลังจากไม่ได้เข้าเมืองเป็นเวลากว่า 1 เดือน แม้ว่าจะเป็นเวลาเช้า แต่ทางเข้าด้านตะวันตกของเมืองผิงซีก็พลุกพล่านอยู่แล้ว
ทางเข้าด้านทิศตะวันตกเต็มไปด้วยผู้คนเข้าออกเมือง เนื่องจากสภาพอากาศที่เย็นลงการใช้ถ่านหินจึงเพิ่มขึ้น
เกวียนลากวัวที่เต็มไปด้วยถ่านหินพร้อมขายเต็มไปด้วยผู้คนมากมายรอบๆประตูเมือง พวกเขาเข้าแถวเป็นแถวยาวราวกับรถไฟ
เมื่อมองดูฝูงชนที่พลุกพล่านอยู่รอบตัวเขา เอี้ยนลี่เฉียงก็รู้สึกว่าเขากลับมาสู่อารยธรรมมนุษย์อีกครั้ง สิ่งที่สําคัญที่สุดคือตอนนี้ ความรู้สึกและอารมณ์ของเขาไม่เหมือนเดิมเมื่อเดือนที่แล้ว
หลังจากชําระค่าธรรมเนียมแรกเข้าสําหรับเมืองและเข้ามาแล้ว เอี้ยนลี่เฉียงก็มองไปที่ประกาศที่ติดไว้ที่ประตูเมือง หมายจับของงูจงอางยังคงติดอยู่
แต่หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน ภาพบนหมายจับก็ทรุดโทรมมาก และไม่มีใครที่อยู่ตรงทางเข้าเมืองให้ความสนใจกับเรื่องนี้อีกแล้ว
หลังจากหางูจงอางไม่พบ ระดับการเฝ้าระวังของเมืองผิงซีก็กลับมาเป็นปกติ เจ้าหน้าที่ตั้งแต่ระดับบนถึงล่างต่างก็เหนื่อยแล้ว แม้แต่ยามที่ประตูเมืองก็ยังลดความระมัดระวังลง
วันนี้มีบทเรียนวิชาดาบที่บรรยายโดยสือฉางเฟิง เอี้ยนลี่เฉียงไม่ได้กลับมาที่สถาบันศิลปะการ ต่อสู้เป็นเวลานาน ในชีวิตก่อนหน้านี้สือฉางเฟิงดูแลเขาเป็นอย่างดีดังนั้นเขาจึงไม่อยากจะขาดคาบเรียนนี้
จากประสบการณ์ของเขาใน ครั้งที่แล้ว” มันเป็นช่วงที่นักเรียนใหม่หลายคนเริ่มตื่นจากความตื่นเต้นครั้งแรกและได้รู้ว่าทุกสิ่งในสถาบันศิลปะการต่อสู้นั้นไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างที่พวกเขาได้จินตนาการไว้
จุดประสงค์ของสถาบันศิลปะการต่อสู้แห่งนี้อยู่ที่การสร้างนักสู้ที่แท้จริงเพื่อป้อนให้กับกองทัพและแม้ว่าจะอยู่ที่นี่พวกเขาก็ไม่มีทางได้เรียนรู้วิชาลับที่แท้จริง
สิ่งที่อาจารย์สอนมีเพียงเรื่องพื้นฐานที่จะปูไปสู่รากฐานของการเป็นนักสู้เท่านั้น การ สอนหรืออธิบายมากมายเพียงใดมันก็ไม่มีประโยชน์ ก่อนที่ทุกคนจะเป็นนักสู้มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นก็คือการฝึกฝนอย่างตั้งใจ
ผู้คนจํานวนมากจะค้นพบว่าในสถานที่เช่นนี้ความสามารถของเจ้าจะไม่มีประโยชน์เหมือนกับที่เคยคิดศักยภาพของครอบครัวต่างหากที่เป็นสิ่งสําคัญ
บางคนสามารถมีชีวิตอยู่อย่างราชาและใช้ชีวิตอย่างสุขสําราญไปพร้อมกับสาวๆมากมายอย่างไรก็ตามในทางกลับกันคนที่มีฐานะยากจนต้องอดมื้อกินมื้อเพื่อให้ได้เรียนที่นี่
พวกเขาต้องนั่งยองๆเพื่อฝึกฝนท่าม้าด้วยความยากลําบากแต่คนที่ร่ํารวยกลับสา มารถใช้เงินซื้อเม็ดยาชั้นเลิศ และสามารถผ่านขั้นตอนนี้ไปได้อย่างง่ายดายโดยที่ไม่ต้องลงแรงอะไรเลย
นี่เป็นสิ่งที่แตกต่างจากความคิดของเด็กหนุ่มที่เข้าสู่สถาบันแห่งนี้ในครั้งแรก ผู้ที่ไม่สามารถผ่านการทดสอบนี้ได้จะค่อยๆจมดิ่งลงไปในสุราและโสเภณี ก่อนที่สุดท้ายพวกเขาจะกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไปในที่สุด
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้นักเรียนหลายคนจึงเลือกเรียนเฉพาะวิชาที่ตัวเองถนัดมาตั้งแต่ต้นหรือความสนใจเฉพาะของตัวเองเท่านั้น ไม่มีใครเข้าเรียนทุกวิชาอีกต่อไป
เมื่อกลับเข้ามาในสถาบันศิลปะการต่อสู้อีกครั้ง มีคนไม่มากที่ให้ความสนใจต่อเอี้ยนลี่เฉียงในช่วงสองเดือนที่ผ่านมานอกเหนือจากวันแรกของการเปิดเทอมเอี้ยนลี่เฉียงไม่เคยเข้าเรียนอีกเลย
นับประสาอะไรกับการต่อสู้อย่างน่าประทับใจบนเวทีประลองของสถาบันศิลปะการต่อสู้แห่งนี้หากไม่มีผู้คนจํานวนมากคอยสังเกตเขาอยู่ตลอดเวลาในที่สุดเขาจะค่อยๆอับแสงลงเรื่อยๆ
นี่เป็นผลลัพธ์ที่เอี้ยนลี่เฉียงสร้างขึ้นโดยเฉพาะ ในหลายกรณี การเป็นคนปกติเป็นการป้องกันที่ดีที่สุด
หลังจากมาถึงห้องเรียนขนาดใหญ่ เขาพบว่าสือฉางเฟิงยังมาไม่ถึงและสือต้าเฟิงกับเสื่นเติ้งก็ไม่ได้เข้าเรียนในวิชานี้
ในชีวิตที่แล้วเอี้ยนลี่เฉียงทราบดีว่าวิชาดาบของเสิ่นเติ้งและสือต้าเฟิงผ่านขั้นตอนพื้นฐานไปแล้วพ่อของพวกเขาได้จ้างให้อาจารย์มาสอนวิชาดาบพื้นฐานให้พวกเขาถึงที่บ้าน
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่จําเป็นต้องฝึกฝนวิชาดาบขั้นพื้นฐานนี้อีก ในขณะเดียวกันวิชาที่พวกเขาชอบคือวิชากระบี่ต่างหาก เพราะวิชากระบี่นั้นมีความอ่อนช้อยมากกว่าวิชาดาบทําให้ดูสูงสง่าเมื่อทําการโจมตี
หลังจากรอสักครู่ในห้องเรียนสือฉางเฟิงก็มาถึง
สายตาของสือฉางเฟิงกวาดไปทั่วห้องเรียน เมื่อเขาเห็นเอี้ยนลี่เฉียงสายตาของเขาหยุดชะงักเล็กน้อยก่อนเริ่มบทเรียน
นี่เป็นครั้งที่สองที่เอี้ยนลี่เฉียงเข้าเรียนในชั้นเรียนเดียวกันนี้ ในครั้งแรกอาจารย์สอนเกี่ยวกับวิธีเคลื่อนไหวที่ถูกต้องและชั้นเรียนก็จบลงภายในเวลาไม่ถึง 20 นาทีด้วยซ้ํา
ดังนั้นเมื่อมาอยู่ในชีวิตนี้ก็ไม่มีอะไรแตกต่างกัน ในตอนที่เอี้ยนลี่เฉียงกําลังเดินออกจากห้องเรียนก็มีเสียงดังมาจากข้างหลัง
“เอี้ยนลี่เฉียง…”
เอี้ยนลี่เฉียงหันหลังกลับไปและเห็นว่าอาจารย์สือกําลังกวักมือเรียกเขาอยู่
“คํานับอาจารย์”
สือฉางเฟิงมองเอี้ยนลี่เฉียงอย่างระมัดระวังตั้งแต่หัวจรดเท้า การแสดงออกของเขาค่อนข้างจริงจังก่อนจะกล่าวว่า
“ข้าจําได้ว่าเจ้าเป็นที่หนึ่งในการทดสอบเขตศิลปะการต่อสู้ของมณฑลชิงไห้ในปีนี้ เมื่อสองสามเดือนก่อนข้าเป็นคนไปดูการทดสอบของเจ้าเอง…”
“ใช่ครับ ไม่คิดว่าอาจารย์จะจําได้!” เอี้ยนลี่เฉียงกล่าวยิ้มๆ
“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นเจ้าในสถาบันศิลปะการต่อสู้ในรอบสองเดือน นับตั้งแต่เปิดเรียนเจ้าไม่เคยมาเรียนเลยอีกทั้งยังไม่มาฝึกซ้อมภาคปฏิบัติกับคนอื่นด้วย
ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามัวเสียเวลาอยู่กับอะไรอยู่ แต่ข้าอยากให้เจ้าใส่ใจในการฝึกฝนของตัวเองเพื่อให้ก้าวขึ้นเป็นนักสู้โดยเร็วที่สุด นั่นจะทําให้วิถีชีวิตของเจ้าและครอบครัวเปลี่ยนไป!” สือฉางเฟิงตักเตือนเอี้ยนลี่เฉียงด้วยความจริงใจ
เอี้ยนลี่เฉียงไม่คาดคิดว่าสือฉางเฟิงจะใส่ใจตัวเขาขนาดนี้ ในชีวิตที่แล้วเขาเห็นสือฉางเฟิงที่กําลังเดือดดาลในตอนที่มีคนเอาป้ายความผิดของเขามาติดทําให้เขารู้สึกชื่นชมอาจารย์คนนี้มาก
อย่างไรก็ตามในชีวิตนี้เขายังไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับสือฉางเฟิงเขาจึงไม่คิดว่าอาจารย์จะให้ความสําคัญกับตัวเขาขนาดนี้
แม้กระทั่งว่าเขาไม่มาเรียนสือฉางเฟิงก็ยังรู้ ซึ่งโดยปกติแล้วอาจารย์คนอื่นจะไม่สนใจว่าพวกเขาจะเป็นจะตายอย่างไรเลย
“ขอบคุณอาจารย์ คําสอนของท่านข้าจะจดจําไว้” เอี้ยนลี่เฉียงตอบกลับด้วยความเคารพ
“ตอนนี้เจ้าอาศัยอยู่ใกล้ถนนสามหยวนหรือ?”
“ข้าอาศัยอยู่ที่นอกเมือง ที่พักที่นั่นค่อนข้างราคาถูก”
เมื่อได้ยินคําพูดของเอี้ยนลี่เฉียง สือฉางเฟิงก็หยุดเล็กน้อย
“ข้ารู้ว่าครอบครัวของเจ้าก็ไม่ได้มีฐานะยากจนอะไร เหตุไฉนเจ้าจึงไปอยู่ในที่กันดาร ถึงขนาดนั้น…”
“ข้ารู้ตัวว่าข้าไม่ใช่เด็กแล้วแม้ว่าครอบครัวของข้าจะพอมีเงินอยู่บ้าง แต่การที่ข้าใช้เงินน้อยลงย่อมหมายความว่าพ่อของข้าก็จะทํางานน้อยลงเช่นกัน “ เอี้ยนลี่เฉียงกล่าวด้วยความจริงใจ
การแสดงออกของสือฉางเฟิงอ่อนลงอย่างมาก เขาพยักหน้าเบาๆ
“แม้ว่าความคิดนี้ของเจ้าจะไม่ใช่เรื่องที่ผิดพลาด แต่การที่เจ้าสามารถอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีและฝึกฝนกลายเป็นนักสู้ได้อย่างรวดเร็วไม่ว่าครอบครัวของเจ้าจะจ่ายไปเท่าไหร่มันก็คุ้มค่า!”
“ครับ ข้าจะจําไว้!”
สือฉางเฟิงให้กําลังใจเอี้ยนลี่เฉียงอีกเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเดินจากไป
เอี้ยนลี่เฉียงเริ่มออกค้นหาสือต้าเฟิง อย่างไรก็ตามหลังจากเดินไปได้ชั่วระยะเวลาหนึ่งเขาก็คิดได้ว่าควรจะรักษาระยะห่างจากสือต้าเฟิงไว้ก่อนจะดีกว่า เขาไม่ต้องการให้อันตรายลามไปถึงเพื่อนของเขา
ขณะที่เขาเดินออกจากประตูหน้าของสถาบันศิลปะการต่อสู้ รถม้าก็หยุดที่ด้านหน้าของประตูโดยบังเอิญ
ม่านบนรถม้าดึงออกจากกันและมีคนเดินลงจากรถ เอี้ยนลี่เฉียงมองใบหน้าของบุคคลนนก่อนจะสะดุ้งขึ้นเล็กน้อย
“นายท่านหก!”
“ลี่เฉียง!”
คนที่ลงจากรถม้าคือลู่เบียนจริงๆ