175 – เมื่อขุนเขาหมุนวนแม่น้ําย่อมหลั่งไหล
เอี้ยนลี่เฉียงเดินไปหาลู่เบียนและถามอย่างสุภาพว่า “นายท่านหก ท่านมีธุระอะไรในเมืองผิงชี?”
“ฮะฮะ เรื่องมันยาว!” ลู่เบียนส่ายหัวและยิ้มอย่างมีเล่ห์เหลี่ยมก่อนจะหัวเราะขึ้นอีกครั้ง
“สองเดือนนานมากแล้ว! ลี่เฉียง ดูจากรูปลักษณ์แล้วเจ้าก็มีความก้าวหน้าขึ้นบ้างในวันที่เจ้าจะเป็นนักรบคงใกล้มากแล้ว !”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าไม่มีภาระเหมือนคนสําคัญเช่นนายท่านหกที่ยุ่งอยู่เสมอ!”
“เจ้านี่เก่งเรื่องการเยินยอจริงนะ!” หล่เบียนก็หัวเราะเช่นกัน รู้สึกสบายใจทุกครั้งที่พูดคุยกับเอี้ยนลี่เฉียง
เขาอดไม่ได้ที่จะลืมอายุและปฏิบัติต่อเอี้ยนลี่เฉียงอย่างผู้ใหญ่ เฉียนซูบอกเขาแล้วว่าหลานชายของเขาค่อนข้างจะแก่แดดมีความเป็นผู้ใหญ่เกินตัว ดูเหมือนว่าเขาจะพูดไม่ผิด
“ข้ายังต้องเรียนรู้จากนายท่านหกอีกมาก!”
“เอ่อ ไปกันเถอะ ข้าต้องเข้าไปข้างในก่อน ข้ามีธุระกับอาจารย์ใหญ่ เจ้าทําธุระของตัวเองก่อนแล้วเราค่อยไปทานอาหารกันที่หอหลิงปอในเมืองผิงซี”
” ตอนนี้ข้าไม่มีอะไรจะทํามาก หากมีอะไรต้องการให้ข้าช่วยเหลือนายท่านหกก็สามารถบอก ได้ตลอด”
ครั้งสุดท้ายที่ครอบครัวของเขาเผชิญภัยพิบัติก็เป็นตระกูลลู่นี่แหละเป็นคนช่วยเหลืออย่างถึงที่สุด
เอี้ยนลี่เฉียงยังคงจําได้ว่าเป็นนายผู้เฒ่าลู่ที่ส่งนายท่านหกไปยังเมืองผิงซีเพื่อขอร่างที่ไร้วิญญาณของพ่อและเขาคืนภายใต้แรงกดดันมหาศาล
เขาต้องใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวในเมืองถึงจะนําศพของเอี้ยนลี่เฉียงออกมาได้ แม้ว่าตระกูลหลู่จะเป็นตระกูลที่ทรงอิทธิพลในมณฑลหวงหลงแต่สิ่งที่พวกเขาสามารถทําได้ในเมืองผิงซีก็นับว่าน้อยนิดนัก
ดังคํากล่าวที่ว่า “หนทางพิสูจน์ม้ากาลเวลาพิสูจน์คน” แม้ว่าเขาจะตายและชื่อเสียงสูญเสียไปแล้วแต่ตระกูลลู่ก็ยังปฏิบัติต่อเขาเหมือนกับสหายคนหนึ่ง
เมื่อเห็นว่าเอี้ยนลี่เฉียงมีความกระตือรือร้นและรอบคอบเพียงใด ลู่เปียนก็แอบมองเขาอย่างจริงจังลู่เบียนอดนับถือสายตามองคนของนายผู้เฒ่าไม่ได้
เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงผู้ซึ่งมาที่เมืองผิงซีเป็นเวลาสองเดือนแม้ว่าจะเคยสอบได้อันดับหนึ่งแต่ความเคารพที่แสดงออกมาต่อสู่เบียนนั้นก็เป็นความจริงใจทั้งสิ้น และนั่นคืออะไร?
นั่นคือศีลธรรมของบุคคล คนแบบนี้ย่อมประสบความสําเร็จในชีวิตของพวกเขาอย่างแน่นอน
“แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่น่ารําคาญจริงๆ แต่ก็ไม่จําเป็นต้องให้สี่เฉียงช่วยในตอนนี้ เราจะคุยกันหลังจากทานอาหารกลางวันก็แล้วกัน…”
“ถ้าอย่างนั้นนายท่านหก ค่อยพบกันอีกครั้งหลังจากที่ท่านทําธุระกับอาจารย์ใหญ่เสร็จแล้ว…”
หลังจากพูดคุยกับเอี้ยนลี่เฉียง สู่เบียนก็มุ่งหน้าไปยังทางเข้าหลักของสถาบันศิลปะการต่อสู้ทันที
ยามที่ยืนอยู่ตรงทางเข้าหยุดเขา ลู่เบียนจึงหยิบนามบัตรปิดทองยื่นให้กับพวกเขา ยามทั้งสองมองดูนามบัตรก่อนจะก้าวออกไปอย่างสุภาพเพื่อให้ลู่เบียนเข้าไปข้างใน
เอี้ยนลี่เฉียงเดิมวางแผนที่จะกลับไปที่สะพานเก้ามังกร แต่เนื่องจากเขาพบกับสู่เบียนที่นี่และดูจากสีหน้าของอู่เบียนแล้ว บางทีตระกูลสู่อาจประสบปัญหาหรือความยากลําบากบางอย่างที่ไม่สามารถแก้ไขได้ง่าย
ดังนั้นเอี้ยนลี่เฉียงในฐานะมิตรสหายที่ดีจึงจําเป็นต้องอยู่เพื่อแบ่งเบาภาระของเพื่อน
“พี่ใหญ่จะรังเกียจไหมหากข้าถามชื่อท่าน” เมื่อเห็นว่าลู่เบียนเข้าไปข้างในแล้วเอี้ยนลี่เฉียงก็เริ่มสนทนากับผู้คุ้มกันของเขา จากเครื่องแต่งกายที่สวมอยู่เขาน่าจะมาจากตระกูลลู่ด้วย
“โอ้ นายน้อยเกรงใจเกินไป! ข้าชื่อลู่ต้าหยวนถ้านายน้อยไม่รังเกียจก็เรียกชื่อของข้าก็ได้!”
“ฮ่าฮ่า พี่ลู่ รู้จักข้าด้วยเหรอ”
“แน่นอน วิธีที่นายน้อยเอี้ยนช่วยชีวิตคนจมน้ํานั้นน่าเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก อีกทั้งพวกเราก็ยังกระจายเรื่องนี้ออกไปตามเจตนาของท่าน
ในตอนที่ท่านสอบได้อันดับหนึ่งขอพูดตามตรงว่าตระกูลสู่ของเรานั้นมีความสุขเป็นอย่างมากนายผู้เฒ่าถึงกับให้จัดงานเลี้ยงฉลองถึง 3 วัน 3 คืนเลยทีเดียว!” สู่ต้าหยวนกล่าวด้วยรอยยิ้มและยกย่องอย่างจริงใจ
“ท่านผู้เฒ่าลู่ยังแข็งแรงอยู่หรือไม่?”
“ใช่ ท่านผู้เฒ่าสามารถยกหินก้อนใหญ่ที่มีน้ําหนักมากกว่าหนึ่งร้อยจนทุกวันนานถึงสองชั่วยาม…”
“ดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น ท่านรองหกมาที่สถาบันศิลปะการต่อสู้ของเมืองไม่ทราบว่าตระกูลลุ่มปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะบอกได้!” สู่ต้าหยวนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัวด้วยสีหน้าลําบากใจ
“ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย นายน้อยเอี้ยน ถ้านายน้อยอยากรู้ข้าเชื่อว่าท่านสามารถสอบถามนายท่านหกในภายหลังได้”
“เข้าใจแล้วข้าจะสอบถามนายท่านหกเป็นการส่วนตัวในภายหลังเอง
“นายน้อยอย่ากังวลใจเลยเรื่องนี้นายท่านหกย่อมบอกท่านแน่นอน”
“อ้อใช่ พี่ลู่เป็นผู้คุ้มกันมานานแค่ไหนแล้ว…?”
“เกือบสองทศวรรษ!”
” ความแตกต่างระหว่างการขับรถม้าและการขี่ม้าคืออะไร? มีเคล็ดลับอะไรบ้างไหม?”
เนื่องจากเอี้ยนลี่เฉียงไม่มีอะไรทําอยู่แล้ว เขาจึงใช้เวลาพูดคุยเกี่ยวกับคําแนะนําและเคล็ดลับในการขับรถรถม้ากับลูต้าหยวน นั่นรวมไปถึงวิธีดูแลม้าและมาแรด อีกทั้งยังมีเรื่องการให้อาหารและดูแลม้าที่ปวย
ตอนแรกหลู่ต้าหยวนคิดว่าเอี้ยนลี่เฉียงไม่รู้ว่าจะดูแลม้าอย่างไร แต่หลังจากพูดคุยกับเอี้ยนลี่เฉียงจริงๆเขาก็ตระหนักว่าเอี้ยนลี่เฉียงนั้นมีความรู้และประสบการณ์ไม่น้อยเลย
ในบางครั้งประสบการณ์ของเอี้ยนลี่เฉียงยังมีมากกว่าลูต้าหยวนด้วยซ้ํา ดังนั้นมันจึงทําให้สองคุยกันอย่างถูกคอราวกับพี่น้องที่คลานตามกันมา
เกือบชั่วยามผ่านไปในที่สุดลู่เบียนก็ออกจากสถาบันศิลปะการต่อสู้
ทั้งคู่ดูเหมือนยังมีเรื่องต้องคุยกันอีกมาก ลู่ต้าหยวนชื่นชมความรู้ความสามารถของเอี้ยนลี่เฉียงจากใจจริง หลังจากขับรถม้ามาหลายปีการพูดคุยกับเอี้ยนลี่เฉียงของเขาในวันนี้น่าพึงพอใจที่สุด
“นายท่านหก!”
“นายท่านหก!”
“พวกเจ้าคุยอะไรกันน่ะ ดูเหมือนเจ้าสองคนจะสนุกกันมาก!”
“นี่ไม่ใช่การยกยอนะนายท่าน แต่ว่านายน้อยเอี้ยนมีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับเรื่องม้ามากมายจริงๆแม้แต่ข้าก็ยังอดที่จะนับถือเขาไม่ได้…” สู่ต้าหยวนชิงตอบออกไปก่อน
“ลี่เฉียง เจ้ารู้วิธีดูแลม้าด้วยเหรอ?”
“ตอนที่อยู่บ้านข้าก็มีอยู่ตัวหนึ่งเช่นกัน และเมื่อมาที่นี่ข้าก็ได้ศึกษาเพิ่มเติมไว้บ้าง.” เอี้ยนลี่เฉียงกล่าวอย่างถ่อมตน
สู่เบียนยิ้มและจ้องมองเอี้ยนลี่เฉียงอย่างลึกซึ้งและมีความหมาย
บางที่คนส่วนใหญ่อาจดูหมิ่นคนอย่างเอี้ยนลี่เฉียงที่ปะปนอยู่กับชนชั้นทางสังคมที่ต่ํากว่าอย่างไรก็ตามสําหรับคนทางโลกเช่นลู่เบียนเขาจะให้ความสําคัญกับเอี้ยนลี่เฉียงแทนและแอบชื่นชมมีเรื่องนี้ด้วย
“ลี่เฉียง เจ้าไม่ได้มีธุระอะไรเหรอ”
“ไม่มีอะไรเลยข้าเพียงรอนายท่านหกที่นี่เพื่อให้พาไปทานอาหารดีๆ เท่านั้น!”
ทําไมคนอย่างเอี้ยนลี่เฉียงถึงต้องใส่ใจกับอาหารดีๆสักมื้อจนรอคอยลู่เบียนเป็นเวลานานโดยไม่ไปไหน?
ก็ย่อมเพราะต้องการช่วยเหลือลู่เบียนแก้ปัญหานั่นเอง แน่นอนว่าลู่เบียนก็รู้สึกซาบซึ้ง ต่อน้ําใจของเด็กหนุ่มคนนี้มากเขาจึงหัวเราะออกมาแล้วพูดว่า
“ฮ่าฮ่าฮ่า ดีถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว ไปกันเถอะเราจะไปที่นั่นด้วยรถม้า”
“ฮิฮิ หวังว่านายท่านหกคงไม่เลี้ยงข้าจนหมดตัวหรอกนะ!”