บทที่ 179 ข้าจะเป็นผู้คุ้มกัน

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 179 ข้าจะเป็นผู้คุ้มกัน

ตั้งแต่เข้ามาในห้อง หลานเยาเยาก็รู้สึกกดดันจนแทบหายใจไม่ออก

ก่อนหน้านี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าท่าทีของเขาอบอุ่นขึ้นเยอะ เหตุใดพอเข้าห้องถึงได้เปลี่ยนไปแล้ว

ผู้ชายคนนี้ เปลี่ยนหน้าไวยิ่งกว่าเปลี่ยนหน้าหนังสืออีก

“เจ้าสนิทสนมกับป่ายเม่ยเซิง?”

“ห๊า?”

หลานเยาเยาสับสนเล็กน้อย

สักครู่นี้กำลังพูดถึงหานแสอยู่หรอกรึ?เหตุใดถึงพูดถึงป่ายเม่ยเซิงเสียแล้วหล่ะ? ในสมองของเย่แจ๋หยิ่งกำลังคิดสิ่งใดอยู่กันนะ?

“ไม่สนิทไม่สนิท พวกเราเคยเจอกันเพียงแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้นเอง ”

นางรีบสะบัดมือปฏิเสธเพื่อบอกว่านางไม่ได้สนิทสนมอะไรกับป่ายเม่ยเซิงเลย จากนั้นนางก็ลุกขึ้นมานั่งพร้อมกับพูดด้วยความต้องการคำปรึกษา

“นี่ เย่แจ๋หยิ่ง มีสิ่งหนึ่งที่ข้สรู้สึกแปลกใจ หานแสที่ข้าเคยเจอเมื่อคราก่อนนั้นครั้งหนึ่ง ครานี้ข้าได้พบเขาในคลังสินค้าใต้ดินของเรือแห่งความสิ้นหวัง อยู่ๆเขาก็พูดว่าที่เขาเป็นอยู่เช่นนี้เพราะข้าเป็นคนทำร้ายเขา ข้าไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเขา แล้วข้าจะไปทำร้ายเขาได้อย่างไร? ”

สำหรับเรื่องนี้นางไม่เข้าใจจริงๆ

เดิมทีไม่ได้วิเคราะห์ถึงปัญหานี้เพราะเวลาเร่งด่วน

ตอนนี้ก็พ้นออกมาจากเหตุการณ์นั้นแล้ว อีกทั้งนางยังอยากได้หานแสมาเป็นหนูทดลอง พอเหมาะที่เย่แจ๋หยิ่งก็อยู่ด้วย นางเลยอยากฟังความคิดเห็นจากเขา ในเมื่อเขาก็เป็นเหมือนสุนัขจิ้งจอก ที่ทั้งเจ้าเล่ห์และเจ้ากลยุทธ์

” เจ้าเอาของบางอย่างจากตัวเขาไป”

สำหรับเย่แจ๋หยิ่งที่ได้ยินนางเรียกชื่อเขาอีกครั้ง คิ้วของเย่แจ๋หยิ่งก็ขมวดขึ้นมา พร้อมด้วยสายตาที่เหลืออด

“สิ่งของ?”

ของอะไรกัน?คราวก่อนพวกเขาก็เจอกันเพียงแค่ครั้งเดียว แล้วอาชีพของนางก็ไม่ใช่โจรขโมยอีกด้วย นางจะไปเอาของอะไรจากของ?

อ๋อ!

ไม่สิ

เลือด……

คราวแล้วเป็นเพราะองค์รัชทายาทจงใจมาสร้างความเดือดร้อนที่จวน แต่ก็ถูกนางจัดการอย่างง่ายดาย หานแสในฐานะองค์รัชทายาทที่เป็นปัญหาใหญ่สำหรับนาง ก่อนที่จะออกเดินทางนางจึงได้ให้หานแสมอบเลือดเอาไว้ให้ในขวดเล็กเพื่อใช้ในการค้นคว้า

ตอนนี้พอได้รับการเตือนจากเย่แจ๋หยิ่ง นางก็เข้าใจทันทีว่าเป็นเพราะเหตุใด

“ท่านคิดว่าเจ้าของเรือของเรือแห่งความสิ้นหวัง จะกักขังหานแสไว้บนเรือเพราะเลือดบนตัวเขานั้นหรือ? ”

หลังจากที่นางเอาเลือดของเขาไปได้ไม่นาน เขาก็ถูกจับขังไว้ ก็ไม่แปลกที่ใจของเขาจะคิดว่าข้าเป็นคนทำร้ายเขา

“อืม!”

ดูแล้วก็มีความเป็นไปนี้เท่านั้น

“ถ้าเช่นนั้นพวกเราจะช่วยเขาหรือไม่?เขามีความสำคัญในการค้นคว้าอย่างมาก”

“ช่วยแน่นอน!”เสียงของเขาดูสงบนิ่งราวกับว่าได้คิดเรื่องไว้ก่อนแล้ว

“จะช่วยจริงๆหรือ?”

คนๆนี้นางจะช่วยอยู่แล้ว แต่เพียงคิดไม่ถึงว่าเย่แจ๋หยิ่งจะตอบตกลงไวถึงเพียงนี้ ทั้งยังตอบด้วยความสงบมากด้วย

เมื่อก่อนเขาพูดเองไม่ใช่หรือว่าหานแสเป็นคนลึกลับ ไร้ร่องรอยที่มา ให้นางติดต่อกับเขาให้น้อย

แล้วยังพูดอีกด้วยว่าหานแสมีการติดต่อคบค้ากับเรือแห่งความสิ้นหวัง

เหตุใดตอนนี้ถึงได้ตอบตกลงเร็วขนาดนี้?

สิ่งนี้ทำให้หลานเยาเยารู้สึกสงสัย

“ท่านชายหยิ่งเป็นเด็กน้อยที่ไม่ทำอะไรตรงไปตรงมา ในใจของเขาสักแต่อยากจะเอาชนะข้า ในตอนนี้พอแพ้ให้กับข้า แต่เขาจะต้องหาวิธีมาจัดการกับข้าในวันข้างหน้าแน่นอน เจ้าคิดว่าที่เจ้าเจอกับหานแสนั้นเป็นเพียงเรื่องบังเอิญงั้นรึ?ฮึ!ช่างไร้เดียงสาเกินไปแล้ว”

“……”

หลานเยาเยาถึงกลับหมดคำพูดกับเขา

ว่าแต่……

ท่านชายหยิ่ง?

ท่านชายหยิ่งที่เย่แจ๋หยิ่งพูดถึงอยู่นั้นคงไม่ใช่เจ้าของเรือของเรือแห่งความสิ้นหวังหรอกนะ!

แต่ว่า!

สิ่งที่เย่แจ๋หยิ่งพูดก็ไม่ได้ไร้เหตุผล ป่ายเม่ยเซิงที่อยู่ๆก็เขียนบทกวีลามกมาให้ เพื่อกระตุกต่อมโมโหของนาง การชี้ทางของซาหมั่นเฉิง รวมทั้งความกลัวหานแสตอนพิษออกฤทธิ์ของหมุ่นชายชุดเขียว จึงทำให้นางเกิดความอยากรู้อยากเห็นในตัวหานแส

เพียงเท่านี้ก็พูดได้ชัดแล้วว่าท่านชายหยิ่งได้เริ่มลงมือในที่ลับแล้ว

แต่ไม่รู้ว่าเขาคิดจะใช้หานแสทำสิ่งใดกับพวกเรา ?

ตอยนี้เย่แจ๋หยิ่งบอกจะช่วยหานแส ดูท่าแล้วเขาน่าจะคิดวิธีรับมือไว้อยู่แล้ว

ดังนั้นตาทั้งสองของนางก็ประกายวับออกมา ก่อนจะถามอย่างรอไม่ได้

“เช่นนั้นพวกเราจะช่วยคนเมื่อใด?”

หากฟ้าถล่มลงมาก็ยังมีเย่แจ๋หยิ่งที่คอยพยุงไว้ นางเพียงเป็นผู้ช่วยเท่านั้น หลังภารกิจสำเร็จ นางก็จะได้เอาหนูทดลองไปค้นคว้าก็พอแล้ว

“เรือเข้าฝั่งครั้งต่อไป”

ท่านชายหยิ่งบอกแล้วมิใช่หรือ?เรือเข้าฝั่งยังต้องใช้เวลาอีกหลายวัน เช่นนั้นก็ต้องรออีกหลายวันถึงจะเริ่มทำการช่วยเหลือได้

คิดได้เช่นนี้ใจของหลานเยาเยาตื่นเต้นมาก พอถึงเวลาก็เป็นเวลาในการแสดงฝีมือของนางเสียแล้ว

แค่คิดก็รู้สึกรอคอยเสียแล้ว!

หลังจากที่ได้รู้ว่าเย่แจ๋หยิ่งจะช่วยเหลือคน หลานเยาเยาก็ไม่ได้อยู่ที่ห้องเขานานสองนาน แต่กลับไปที่ห้องของตัวเองด้วยความดีใจ

เย่แจ๋หยิ่งจ้องมองไปยังประตู แววตาซับซ้อน จากนั้นถึงได้ขยับสายตาไปยังนอกหน้าต่าง มองไปยังทะเลอันกว้างใหญ่พลางบ่นพึมพำกับตัวเอง

“เมื่อใดในใจของเจ้าถึงจะมีข้าเพียงคนเดียว?”

……

หลังจากนั้นไม่กี่วัน

ถึงแม้ว่ายังเหลือเวลาอีกนานที่จะถึงเขตชายฝั่ง แต่ว่าในที่สุดเรือแห่งความสิ้นหวังก็เข้าใกล้ชายฝั่งมากแล้ว

หลานเยาเยาที่อยู่ข้างหน้าต่างในยามเช้าตรู่ รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นเมืองชายฝั่งที่ใกล้เข้ามาทุกที แล้วนางก็หยิบกริชขึ้นมา

หลายวันมานี้นางทายาลงบนกริชเล่มนี้ทุกวัน สายตาที่เห็นว่าเรือใหญ่กำลังจะแล่นเข้าสู่ชายฝั่ง พอหันมาดูกริช มุมปากของนางก็ยิ้มขึ้นมา

“เตรียมพร้อมหรือยัง?”

เสียงทุ้มดังขึ้นมาจากด้านหลังก็ยิ่งทำให้หลานเยาเยายิ้มกว้างขึ้น

สำหรับการปรากฎตัวกระทันหันของเย่แจ๋หยิ่ง นางกลับไม่ได้รู้สึกแปลกอะไร เพราะตอนที่เย่แจ๋หยิ่งเข้ามาเขาไม่ได้ใช้วิชาตัวเบา ดังนั้นตอนที่เขาเข้ามานางก็รู้อยู่แล้ว

“จะลงมือเมื่อใด?”

“ตอนนี้!”

“ตอนนี้?”เร็วขนาดนี้เชียวรึ?

เรือยังไม่เข้าใกล้ฝั่งเลย! แล้วช่วยคนแบบนี้ พวกเขาจะลงเรือกันอย่างไร?

“เร็วเกินไป เช่นนั้นก็รอให้เรือจอดในครั้งหน้า”

“ไม่เร็วๆ เช่นนั้นก็ลงมือเถิด!ข้าจะต้องทำสิ่งใด?”หลานเยาเยาที่เปลี่ยนตัวเองเป็นองครักษ์ลับ พลางมองไปอย่างเย่แจ๋หยิ่ง

“เจ้าไปช่วยคน ส่วนข้าจะคอยระวังให้!”

ได้ยินเช่นนั้น!

มุมปากของหลานเยาเยาก็กระตุก

ไม่ควรเป็นเขาหรอกหรือที่ต้องไปช่วยคน ส่วนนางเป็นคนคอยระวัง?

แล้วร่างกายของนางก็บอบบาง จะไปอุ้มชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ได้อย่างไร?

ช่างเถอะๆ นางมีความทางการแพทย์ นางเป็นคนไปช่วยนั้นดีที่สุดแล้ว ถ้าถึงเวลาแล้วอุ้มหานแสไม่ไหว เช่นนั้นนางก็ลากเขาออกมาแทนแล้วกัน

“เช่นนั้นก็ได้!”

หลังจากพยักหน้ารับหลานเยาเยาก็เริ่มทำการ นางรีบไปยังบันได แต่ดันชนเช้ากับคนสวมหน้ากากที่กำลังลาดตระเวนพอดี

คนลาดตระเวนเหล่าต่างมองมาที่นางอย่างระวัง ก่อนที่จะเดินลาดตระเวนต่อไป

เอ่อ……

ไม่ถามอะไรสักหน่อยรึ?

หลานเยาเยาส่ายหน้า แล้วเดินลงบันไดลงมาต่อ หลังจากมาถึงยังห้องที่คุมขังหานแสก่อนหน้านี้ ก็เห็นประตูที่ถูกลงกลอนกุญแจเอาไว้ แม้แต่หน้าต่างก็ถูกล็อกมาจากด้านใน

และแล้ว! นางจึงรีบหยิบยาออกมาจากระบบการรักษาโรคภัยไข้เจ็บปวดหนึ่ง แล้วเทมันลงไปยังกลอนประตู

“ซืดๆๆ……”

ในไม่ช้ากลอนประตูที่ถูกยาลงไปก็ละลาย แล้วนางก็สามารถใช้แรงเบาๆผลักเข้าไปก็เปิดแล้ว

เพียงแต่น่าแปลกใจ ในห้องกลับไร้คน แม้แต่กองเลือดบนพื้นก็ไม่มีแล้วเช่นกัน

“คนหล่ะ?”

ในขณะที่นางกำลังรู้สึกงุนงง

คนลาดตระเวนก็ตะโกนดังมาจากข้างนอก

” จับนาง นางอยู่ข้างในห้องนี้แหละ”

เรื่องบ้าบออะไรกัน?

แล้วคอยระวังให้ที่ตกลงกันไว้เล่า? ไปตายที่ไหนแล้ว? น่าโมโหเสียจริงๆ….