ตอนที่ 151 กุญแจทั้ง 6 ดอก
แม้ว่าที่นี่จะอยู่ไม่ไกลจากชวี่ยจวงมากนักแต่ตอนนี้เวลาก็ถือว่ายังเช้าอยู่มาก ใครกันนะที่มาตั้งหม้อตุ้นเนื้อสุนัขอยู่ที่นี่
ในตอนที่มู่อี้และท่านปูของเขาเดินทางไปยังที่ต่างๆนั้น เขาได้กินอาหารมามากมายหลายชนิดดังนั้นเขาจึงสามารถแยกแยะกลิ่นของอาหารต่างๆได้คร่าวๆ
ชายที่นั่งอยู่ข้างๆหม้อเหล็กแต่งกายคล้ายกับนักพรต เขาดูมีอายุประมาณ 50 ถึง 60 ปีหรือ บางทีอาจจะ 70 ปีแล้วก็เป็นได้ น้ําซุปที่อยู่ในหม้อเหล็กกําลังเดือดปุดๆอยู่ในขณะนี้
“นักพรตเต่าน้อยเจ้าต้องการอะไรหรือ? หรือเจ้ากลัวว่ายาจกเฒ่าผู้นี้จะทําร้ายเจ้า?” ในตอนที่มู่อี้กําลังลังเลใจว่าจะเข้าไปดีหรือไม่นั้น นักพรตชราผู้นี้ก็พูดขึ้นมาทันที เขาไม่ได้มองมาที่มู่อี้เลยด้วยซ้ํา แม้แต่ท่าทางการพูดของเขาก็ดูเหมือนกับคนแก่คนหนึ่งเท่านั้น
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดขึ้นมาเช่นนี้มู่อี้ก็ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยและเดินเข้าไปหาทันที ” ข้าคงต้องรบกวนท่านผู้อาวุโสแล้วขอรับ”
แม้ว่าเขาจะไม่รู้สึกถึงพลังใดๆจากชายชราผู้นี้แต่มู่อี้ก็ไม่กล้าที่จะดูถูกอีกฝ่าย
“ท่านผู้อาวุโสอะไรกันฟังแล้วน่าอึดอัดใจจริงๆ เมื่อเราได้พบกันแล้วก็ถือว่ามีโชคชะตาต่อกัน เจ้าเรียกข้าว่ายาจกเฒ่าเถอะ” นักพรตเต๋าเฒ่าหรือยาจกเฒ่าผู้นี้ก็พูดออกมาด้วยท่าทีที่ดูสบายๆ
” ด้วยความเคารพข้าขอเรียกท่านว่าท่านผู้อาวุโสเถอะนะขอรับ” มู่อี้นั่งลงตรงข้ามยาจกเฒ่า และเหลือบมองไปยังหม้อเหล็กที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเขา กลิ่นของมันรุนแรงมากจนทําให้เขารู้สึกหิวขึ้นมา
“นักพรตเต๋าน้อย เจ้ามาจากที่ไหนกันล่ะ?” ยาจกเฒ่าไม่ได้ปฏิเสธมู่อี้อีกต่อไป แต่จ้องมองมาที่มู่อี้และถามออกมาตรงๆว่าเขามาจากที่ไหน
” ภูเขาฟูเนียวขอรับ เป็นภูเขาลูกเล็กๆแห่งหนึ่งบนนั้นมีวัดร้างตั้งอยู่ แต่ตอนนี้มันกลายเป็นบ้านของข้าแล้ว” มู่อี้พูดออกไปตามตรง
“ภูเขาฟูเนียว? ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย” ยาจกเฒ่าส่ายศีรษะและสายตาของเขาก็ดูแปลกประหลาดไปเล็กน้อย
” ท่านผู้อาวุโสคิดอะไรอยู่หรือขอรับ?” มู่อี้ถามกลับมา
“เดิมที่ข้าคิดว่าเจ้าจะมาจากพื้นที่ลึกลับในโลกใบนี้เสียอีก” ยาจกเฒ่าตอบกลับมา
“เหตุใดท่านถึงไม่คิดว่าข้าเป็นคนของภูเขาหลงหูหรือสํานักเหมาซานบ้างล่ะขอรับ?” มู่อี้ถามกลับไป
“เจ้าไม่มีกลิ่นของภูเขาหลงหูติดตัวอยู่เลย ส่วนสนักเหมาซานนั้นยาจกเฒ่าผู้นี้ก็พอมีความสัมพันธ์กับสํานักเหมาซานอยู่บ้าง แต่ข้าก็ไม่เคยพบเคยเห็นเจ้ามาก่อนเลยดังนั้นเจ้าย่อมไม่ใช่คนของสานักเหมาซานแน่นอน” ยาจกเฒ่าสายศีรษะและตอบกลับมา
เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว” เมื่อได้ยินคําพูดของอีกฝ่ายมู่อี้ก็รู้สึกแน่ใจขึ้นมาทันที เขารู้สึกสงสัยตั้งแต่แรกว่าชายชราผู้นี้คือใคร เพราะอีกฝ่ายมาปรากฏตัวใกล้ๆกับเขาอย่างกะทันหัน ท่าทีที่แปลกประหลาดของอีกฝ่ายนั้นไม่ใช่ปัญหาแต่เป็นเพราะว่าชายชราผู้นี้มาปรากฏตัวอย่างกะทันหันเกินไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคืนนี้เขาเองก็ได้เห็นผู้สืบทอดของสํานักเหมาซานและยาจกเฒ่าคนนี้ก็มีความสัมพันธ์บางอย่างกับสํานักเหมาซาน บางทีเขาน่าจะเป็นคนของสํานักเหมาซานที่ออกมาที่นี่แน่นอน
แม้ว่าเมื่อคืนนี้จะไม่มีใครถูกฆ่าตายไปก็ตามแต่ถ้าหากชวีหยางอยากจะฆ่าผู้บุกรุกกลุ่มนั้นตอนนี้ คงยากยิ่งนักที่เขาจะทําได้
ในตอนที่มู่อี้กําลังสงสัยว่าชายชราผู้นี้ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหน ตอนที่ข้ากับชวีหยางต่อสู้กัน รวมไปถึงต้นไผ่แห่งชีวิต เห็ดซากศพ ท่านได้เห็นทั้งหมดเลยหรือไม่?
อย่างน้อยในการต่อสู้เมื่อคืนนี้มู่อี้ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีใครกําลังแอบดูอยู่เลย เช่นนั้นแล้วก็อธิบายได้ 2 อย่าง อย่างแรกคือชายชราผู้นี้เพียงแค่ผ่านมาที่นี่เท่านั้น อย่างที่สองคือระดับพลังของชายชราสูงมากจนแม้แต่มู่อี้ก็ไม่สามารถสัมผัสถึงอีกฝ่ายได้เลยได้
” ข้าไม่รู้ว่าอะไรกันที่ทําให้ท่านผู้อาวุโสมาที่นี่?” มู่อี้คิดเรื่องต่างๆมากมายแต่เขาก็ถามออกมาด้วยความระมัดระวัง เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะผ่านทางมาที่นี่และชวนเขากินหม้อไฟเนื้อสุนัขอย่างง่ายดาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชายชราบอกว่าเขามีความสัมพันธ์กลับสํานักเหมาซานอยู่บ้าง
“หากข้าบอกว่าความสุขของข้าคือการได้ล่าสัตว์ ข้าแค่อยากเชิญเจ้ามากินเนื้อสุนัขด้วยกัน เจ้าจะเชื่อหรือเปล่าล่ะ?” ยาจกเฒ่าจ้องมองมาที่มู่อี้ทันที
” ท่านชื่นชอบการล่าสัตว์อาจจะเป็นเรื่องจริงและที่ท่านเชิญข้ามากินเนื้อสุนัขด้วยกันก็อาจจะเป็นเรื่องจริง แต่จุดประสงค์ของท่านคงไม่ได้มีเพียงเท่านี้หรอกใช่ไหมขอรับ? หากท่านไม่พูดตรงๆออกมาข้าก็คงไม่อาจร่วมกินเนื้อสุนัขหม้อนี้กับท่านได้” มู่อี้ตอบกลับไป
“ดี ยาจกเฒ่าผู้นี้ก็จะพูดออกมาตรงๆ ข้าได้ยินมาว่าเจ้ามีกุญแจดอกหนึ่งอยู่กับตัว?” ยาจกเฒ่าพูดอย่างตรงไปตรงมาทันที
“กุญแจ? ท่านผู้อาวุโสทราบได้อย่างไรขอรับ?” มู่อี้ตกตะลึงไปทันที เขามีกุญแจอยู่กับตัวจริงๆ ตามที่ชวีหยางได้พูดเอาไว้กุญแจดอกนี้คือหนึ่งในกุญแจที่จะเปิดไปสู่เส้นทางบรรพกาลแห่งแม่น้ําเหลือง แต่ชายชราผู้นี้ทราบได้อย่างไรกัน? หรือว่าเขามาที่นี่เพื่อช่วงชิงกุญแจดอกนี้?
“ข้าย่อมทราบเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่มีเรื่องบางอย่างที่เจ้าควรจะทราบเอาไว้ด้วยเช่นกัน” ยาจก เฒ่าตอบกลับมาช้าๆ
“ชวีหยาง?” มู่อี้คิดขึ้นมาในใจทันที เขาไม่คิดว่าสํานักคุ้มกันโม่หยวนจะแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ไม่ได้โง่ ในฐานะที่มู่อี้เป็นลูกค้าคนหนึ่งพวกเขาย่อมไม่เปิดเผยข้อมูลของลูกค้าแน่นอน และพวกเขาก็ย่อมรู้ดีว่ากุญแจดอกนี้ล้ําค่ามากเพียงใด แม้ว่าในตอนนี้มันจะยังใช้ประโยชน์ไม่ได้แต่กุญแจดอกนี้ก็เกี่ยวข้องกับความลับบางอย่าง มันเป็นความลับที่คนธรรมดาไม่อาจเข้าถึงได้
เหตุผลที่ทําไมมู่อี้ถึงคิดว่าเป็นชวีหยางนั่นก็เพราะว่าอีกฝ่ายได้ประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ เขาย่อมต้องหาทางแก้แค้นแน่นอน แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหาตัวมู่อี้เจอในช่วงเวลาสั้นๆนี้ แม้ว่าเขาจะหาเจอแต่เขาก็คงไม่อาจเอาชนะมู่อี้ได้อย่างง่ายดายนัก
ดังนั้นวิธีการที่ดีที่สุดก็คือยืมมีดของผู้อื่นฆ่าศัตรู เขาต้องเลือกที่จะทําให้ม่อี้กลายเป็นศัตรูของผู้คนมากมาย และเงื่อนไขข้อนี้ก็ง่ายดายมาก เพราะมู่อี้มีกุญแจดอกหนึ่งอยู่กับตัว
เดิมที่ชวีหยางคิดจะฝากกุญแจกับมู่อี้เอาไว้ก่อนและค่อยหาโอกาสมาช่วงชิงกลับไปที่หลัง แต่เพื่อการล้างแค้นมู่อี้แล้วดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจอะไรอีกต่อไป แม้ว่าเขาจะช่วงชิงกุญแจกลับมาไม่ได้ แต่อย่างน้อยเขาก็ต้องการให้มู่อี้พบเจอกับความทุกข์ทรมาน
ในโลกใบนี้ไม่ได้ขาดแคลนผู้ที่แข็งแกร่งอยู่แล้วและผู้ที่แข็งแกร่งหลายๆคนก็กําลังมองหาว่ากุญแจทั้ง 6 ดอกนั้นอยู่ที่ใด ถ้าหากพวกเขารู้ว่ามีกุญแจดอกหนึ่งที่อยู่ในมือของมู่อี้ทุกๆคนก็พร้อมมาช่วงชิงไปแน่นอน
นี่คือสิ่งที่มู่อี้คิดคร่าวๆและเขาคิดว่าหลังจากนี้ปัญหาจะต้องตามติดเขาอย่างแน่นอน
หลังจากคิดขึ้นมาเช่นนี้เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันทีจนลืมไปว่ามีอีกคนหนึ่งที่นั่งอยู่กับเขาในตอนนี้
” หรือเราจะส่งต่อให้คนอื่นดี?” มู่อื้อดคิดแบบนี้ไม่ได้ ความจริงแล้วเขาก็ไม่ได้สนใจในเส้นทางบรรพกาลแห่งแม่น้ําเหลืองมากสักเท่าไหร่ และย่อมมีแนวทางของตัวเองอยู่แล้ว เขาพร้อมที่จะส่งมอบกุญแจดอกนี้ให้กับคนอื่นๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามันจะทําให้เขามีปัญหา
แต่มู่อี้ก็ถือเป็นคนหยิ่งผยองคนหนึ่ง การที่คนอื่นจะมาแย่งชิงสิ่งของของตนเองไปง่ายๆนั้น เขาไม่มีวันยอมแน่นอน
” ท่านผู้อาวุโสต้องการกุญแจดอกนี้หรือขอรับ?” มู่อี้ถามกลับมาทันที
“ไม่ๆๆๆ” คิดไม่ถึงเลยว่ายาจกเฒ่าจะตอบกลับมาเช่นนี้พร้อมกับสายศีรษะ
“เช่นนั้นท่านผู้อาวุโสหมายความว่ายังไงกันขอรับ?” นอกจากจะไม่ช่วงชิงกุญแจของมู่อไปแล้ว แต่ชายชราคู่นี้ยังมาเพื่อเตือนเขางั้นหรือ?
“กุญแจทั้ง 6 ดอกใช้เพื่อเปิดเส้นทางบรรพกาลแห่งแม่น้ําเหลือง เจ้ารู้หรือเปล่าล่ะว่ากุญแจ ทั้ง 6 ดอกนั้นอยู่ที่ไหนบ้าง?” ยาจกเฒ่าไม่ได้ตอบคําถามมู่อี้และพูดขึ้นมาทันที
“ข้าไม่ทราบหรอกขอรับ แต่ถ้าท่านจะบอกเรื่องนี้ก็ถือเป็นความกรุณามากขอรับ” มู่อี้ตอบกลับมาอย่างนอบน้อม
“กุญแจดอกแรกนั้นอยู่ในเมืองไปในมณฑลเฟืองเจี๊ย” ยาจกเฒ่าพูดขึ้นมาช้าๆ
“เมืองไปตี้ในมณฑลเฟืองเจี๊ย? แต่ผู้คนที่อยู่ที่นั่นต่างก็สืบทอดศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่สมัยโบราณจนถือได้ว่าพวกเขาเป็นกองกําลังหนึ่งที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกใบนี้และนอกจากนี้เมืองไป ยังตั้งอยู่ใจกลางแม่น้ําแยงซีเกียงอีกด้วย?” ม่รู้สึกตกตะลึงขึ้นมาทันที นี่คือคําพูดที่เขาเคยได้ยินในตอนที่เดินทางออกไปยังที่ต่างๆ พร้อมกับท่านปู่ มันฝังแน่นอยู่ในใจของเขายากที่จะลืมไปได้
อย่างน้อยที่สุดในตอนนั้นมู่อี้ก็รู้สึกสนใจเมืองนี้มาก แต่ที่นั่นอยู่ไกลจนเกินไปและเขาไม่คิดเลยว่าจะได้ยินชื่อเมืองนี้จากปากของยาจกเฒ่าอีกครั้งหนึ่งในวันนี้
“ใช่มันอยู่ในมือของผู้ที่ปกครองเมืองไปตี้ แม้ว่าผู้ที่ปกครองเมืองคนเก่าจะเสียชีวิตไปแล้ว และทุกๆคนต่างก็รู้ดีว่ามีกุญแจดอกนึ่งอยู่ที่นั่น แต่ก็ไม่มีใครกล้าช่วงชิงกุญแจจากที่นั่นเลย” ยาจกเฒ่าพูดพร้อมกับพยักหน้า
“แล้วกุญแจดอกที่ 2 ล่ะขอรับ?” มู่อี้ถามต่อ
“กุญแจดอกที่ 2 และ 3 นั้นอยู่ที่ภูเขาหลงและสํานักเหมาซานตามลําดับ” ยาจกเฒ่ายิ้มขึ้นมาเล็กน้อย เช่นเดียวกันแม้ว่าผู้คนจะรู้ว่ามีกุญแจอยู่ที่นั่นแต่ก็ไม่มีใครที่ไปเอามาได้
ไม่ว่าภูเขาหลงหูหรือสํานักเหมาซานต่างก็เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียง สํานักเหมาซานนั้นมีชื่อเสียงมาอย่างยาวนานตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เท่านี้ก็มากพอที่จะอธิบายได้ว่ามีผู้ที่แข็งแกร่งอยู่ที่นั่นมากเพียงใด
มู่อี้ไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่จ้องมองมาที่ยาจกเฒ่าเท่านั้น
“กุญแจดอกที่ 4 นั้นอยู่ในมือพระมารดาแห่งเมืองโบราณตุนหวงที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ”
” พระมารดาแห่งเมืองโบราณตุนหวงงั้นหรือ?” มู่อี้คิดในใจของเขา แม้ว่าเขาจะได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรกแต่การที่อีกฝ่ายสามารถครอบครองกุญแจได้ ก็แสดงให้เห็นว่าย่อมมีความแข็งแกร่งมากพอ
“กุญแจดอกที่ 5 นั้นอยู่ในพระราชวังต้องห้าม มันอยู่ในมือของหญิงชราที่ทรงพลังที่สุดในทุกวันนี้” ยาจกเฒ่ายิ้มขึ้นมาและไม่ได้พูดต่อให้จบ
หญิงชราผู้นี้คือใครนั้นมู่อี้ย่อมทราบดี
หลังจากได้ฟังคําพูดของยาจกเฒ่าเขาก็รู้สึกหนักใจขึ้นมาเล็กน้อยและแรงกดดันที่ร่างกายของเขาต้องแบกรับเอาไว้ก็รู้สึกหนักหนาขึ้นมาทันที
ไม่ว่าจะเมืองไปต์ในมณฑลเฟืองเจีย สองสานักเต๋ใหญ่อย่างภูเขาหลงหูและสํานักเหมาซาน เมืองโบราณตุนหวงที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ หรือหญิงชราในพระราชวังต้องห้าม ทุกๆคนต่างก็เป็นผู้ที่แข็งแกร่งและทรงพลังทั้งสิ้น
เดิมที่มู่อี้คิดว่ากุญแจพวกนี้บางทีอาจจะซ่อนอยู่ใต้ดินหรือจมอยู่ใต้น้ํา แต่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ามันจะอยู่ในมือผู้ที่ทรงพลังเช่นนี้ เพราะกุญแจในมือของเขานั้นถือเป็นกุญแจดอกที่ 6 ดอกสุดท้าย
นั่นหมายความว่าทันทีที่ผู้คนพบว่ามีกุญแจอีกดอกหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในมือของขั้วอํานาจที่แข็งแกร่งนั้น เขาจะถูกสายตาของคนทั้งโลกใบนี้จ้องมองมาทันที และบางที่ผู้ที่ครอบครองกุญแจทั้ง 5 ฝ่ายก็อาจจะเป็นผู้ลงมือด้วยตนเอง เมื่อถึงตอนนั้นมู่อี้คงกลายเป็นเป้าหมายของคนทั้งโลก เขาไม่มีทางเอาชีวิตรอดไปได้แน่นอน
ยิ่งคิดเท่าไหร่มู่อี้ก็ยิ่งร้อนใจมากขึ้นเท่านั้น
“ชวีหยางรู้ว่ากุญแจที่อยู่ในมือของข้าคือกุญแจดอกที่ 6 ดอกสุดท้ายอย่างนั้นหรือขอรับ?” มู่อื้ถามขึ้นมาทันที
“เขาย่อมไม่รู้ อย่างน้อยด้วยระดับพลังของเขา เขาย่อมไม่รู้แน่นอน แต่เขาก็ถือว่าโชคร้ายไปหน่อย เห็นได้ชัดว่ากุญแจกําลังจะตกอยู่ในมือของเขาแล้วแต่ก็ถูกเจ้าช่วงชิงไประหว่างทาง คงเป็นพรหมลิขิตที่ทําให้เขาต้องอับโชคเช่นนี้” ยาจกเฒ่าตอบกลับมา
” ท่านผู้อาวุโสควรบอกว่าเขาโชคดีมากกว่า ไม่อย่างนั้นแล้วถ้าหากกุญแจอยู่ในมือของเขา และเรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกไป ชว่ยจวงของเขาคงถูกทําลายไปในทันที” ท่าที่ของมู่อี้ดูไม่ค่อยพอใจ กับเรื่องนี้เท่าไหร่ แม้แต่ชวีหยางก็อาจถูกทําลายไปในทันที่แล้วเขาล่ะ? เขาก็คงถูกทําลายไป ด้วยใช่ไหม?
ถ้าหากชวีหยางได้ทราบเรื่องราวเหล่านี้เขาคงกลายเป็นผู้ที่มีความสุขมากที่สุด เพราะท้ายที่ สุดแล้วเป้าหมายของเขาก็คือการทําให้มู่อี้ต้องทุกข์ทรมานมากที่สุดและถึงแก่ความตาย
ถ้าหากมู่อี้โลภมากและยืนกรานที่จะเก็บกุญแจเอาไว้กับตนเอง เช่นนั้นแล้วเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับความเกลียดชังจากคนทั้งโลก
“นั่นก็จริง ในโลกใบนี้แค่โชคดีเพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ สิ่งสําคัญก็คือเจ้ามีความแข็งแกร่งมากพอที่จะไขว่คว้าโอกาสนั้นเอาไว้กับตัวหรือไม่?” ยาจกเฒ่าพยักหน้า
“ท่านผู้อาวุโสหมายความว่าให้ผู้น้อยมอบกุญแจให้กับท่านอย่างนั้นหรือขอรับ?” มู่อี้ห้องมองตรงไปที่ยาจกเฒ่า