เหตุผลที่หวังซีมาวัดต้าเจวี๋ยก็คือตั้งใจมากินอาหารเจ ไม่ได้อยากมาปฏิสัมพันธ์กับผู้ใด ได้ยินเช่นนั้นย่อมพยักหน้าหงึกๆ ไปเดินเล่นรอบวัดต้าเจวี๋ยกับลู่หลิง
“ตอนข้ามาคราวก่อนค่อนข้างรีบและยุ่งมาก” นางกล่าวกับลู่หลิง “คิดไม่ถึงว่าวัดต้าเจวี๋ยจะมีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ขนาดนี้ หลังจากที่วัดอวิ๋นจวีเกิดเรื่อง พวกเขาก็เลยมีชื่อเสียงขึ้นมาอีกครั้งใช่หรือไม่”
ลู่หลิงคล้องแขนหวังซีเอาไว้ พานางเดินทะลุเข้าไปในทางเดินหินที่สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นแปะก๊วยแห่งหนึ่ง กล่าวว่า “คงไม่นับกระมัง ตอนนี้วัดที่รุ่งเรืองที่สุดในจิงเฉิงเห็นจะเป็นวัดเจินอู่ ได้ยินว่าองค์ชายใหญ่รับเทพเจ้าหลิงเป่าของวัดเจินอู่เป็นอาจารย์ บอกว่าที่ตอนนั้นรอดพ้นจากการลอบปลงพระชนม์มาได้ ล้วนเป็นเพราะอาศัยการคุ้มครองของวัดเจินอู่ หลายวันก่อนตอนที่วัดเจินอู่จัดงานเทศกาลเซี่ยหยวน[1] องค์ชายใหญ่ยังเสด็จไปจุดธูปด้วยตัวเองครั้งหนึ่งด้วย ชาวบ้านได้ยินข่าวแล้วต่างพากันไปที่นั่น ระยะนี้วัดเจินอู่มีผู้ไปสักการะไม่ขาดสายทั้งกลางวันกลางคืน เฟื่องฟูยิ่งนัก แม้แต่ท่านย่าของข้ายังบอกว่า วันไหนมีเวลาว่างจะไปดูวัดเจินอู่สักครั้งหนึ่งด้วย!”
หวังซีคิดว่าดีร้ายตัวเองกับเซียวเหยาจื่อก็พอมีสัมพันธ์อันดีต่อกันอยู่บ้าง จึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ยาของพวกเขาไม่เลวเลยจริงๆ หากเจ้าได้ไปเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่า ก็ให้นักพรตเต๋าของที่นั่นช่วยจับชีพจรหรือไม่ก็ขอยาทาแผลที่เกิดจากความร้อนลวกมาสักเล็กน้อย เอาไว้ใช้ในยามจำเป็นได้”
ลู่หลิงพยักหน้าหงึกๆ ยิ้มกล่าวว่า “พวกเจ้าเปิดร้านขายยายังบอกว่ายาของพวกเขาดี ดูทีแล้วยาของพวกเขาคงดีมากจริงๆ หากได้ไป จะเชิญนักพรตของพวกเขาช่วยดูให้อย่างแน่นอน”
นางถามถึงเรื่องของเฉาอวิ๋นขึ้นมา “นี่ก็เข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว น่าจะมีข่าวคราวมาแล้วกระมัง”
ประหารหลังฤดูใบไม้ร่วง นี่เป็นกฎของกรมอาญา
เฉาอวิ๋นถูกส่งตัวกลับไปขึ้นศาลที่สู่จง หากถูกตัดสินโทษประหาร ก็น่าจะถึงเวลาประกาศผลแล้ว
หวังซีตอบ “อืม” เสียงหนึ่ง กล่าวว่า “ถูกตัดสินประหารชีวิต อย่างไรก็ตาม ท่านปู่ของข้ารู้สึกไม่สาแก่ใจ จึงเชิญซิ่วไฉสอบตกสองสามคนมาเขียนเรื่องของเฉาอวิ๋นเป็นเรื่องเล่า ยังเตรียมเชิญนักแสดงมีชื่อมาสร้างเป็นงิ้วอีกด้วย ให้ชื่อเขาถูกจารึกไว้เป็นหมื่นปีถึงจะใช้การได้…
…หลงจู๊ใหญ่ผู้หนึ่งของพวกข้าเป็นคนจัดการเรื่องนี้…
…ท่านปู่เฝิงไม่คิดจะกลับมาที่จิงเฉิงแล้ว ตัดสินใจสร้างบ้านอยู่ข้างๆ หลุมฝังศพของภรรยาและบุตรชายของเขา ตั้งใจจัดระเบียบตำรับยาที่เขาทำการรักษามานานหลายปีให้เสร็จเรียบร้อย ยังมีบันทึกซิ่งหลินที่อาจารย์ของเขาส่งต่อมาให้อีก…
…เขายังไล่ศิษย์พี่เฝิงกลับมาที่จิงเฉิงด้วย บอกว่าศิษย์พี่เฝิงอายุยังน้อย จิงเฉิงเป็นเมืองเสือหมอบมังกรเร้นกาย ยังมีโอกาสได้เจอโรคแปลกๆ อีกมากมาย ซึ่งจะทำให้ฝีมือด้านการแพทย์ของศิษย์พี่เฝิงพัฒนาขึ้น…
…หลังปีใหม่ศิษย์พี่เฝิงของข้าก็ออกเดินทางมาจิงเฉิงแล้ว…”
ทั้งสองคนคุยสัพเพเหระไปด้วย พลางเดินมุ่งหน้าไปทางป่าท้อไปด้วย
ลู่หลิงกล่าวว่า “ผู้อื่นต่างพูดกันว่าใบเฟิง[2]ของภูเขาเซียงซานงดงาม แต่ความจริงแล้วใบเฟิงที่ป่าท้อของวัดต้าเจวี๋ยก็งดงามมากเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นคนรู้น้อย คนมาดูก็น้อย อีกสักระยะหนึ่ง พวกเรามาชมใบเฟิงอีกก็ยังได้”
เพียงแต่ว่าที่ทำให้พวกนางประหลาดใจก็คือบังเอิญเจอซือจูในป่าท้อ
นางสวมชุดเพ่ยจื่อผ้าไหมหังโจวสีแดงเข้มขอบสีเขียวอ่อนลายพืชน้ำ ทาปากสีแดงสด
หากเป็นยามปกติ นางแต่งกายเช่นนี้คงเข้ากับท่าทางหยิ่งทะนงของนาง ให้ความรู้สึกงดงามจนบีบคั้นผู้คนประเภทหนึ่ง
แต่ตอนนี้ ถึงแม้ผิวของนางยังคงขาวนวลเนียนดังเดิม ทว่านัยน์ตากลับหม่นหมองอับแสง ท่าทางที่ดูเหมือนหยิ่งทะนงนั้นเผยความมาดร้ายออกมาให้เห็นบ่อยครั้ง ไม่เพียงไร้ความงดงามดั่งเก่าก่อนเท่านั้น ตรงกันข้ามกลับทำให้คนสัมผัสได้ว่านางหวาดกลัวมาก คล้ายพยัคฆ์ที่ถูกถอดเขี้ยวเล็บ ดูหยิ่งยโสแต่ความจริงไม่น่าเกรงขามเลยแม้แต่น้อย
หวังซีกับลู่หลิงต่างหยุดฝีเท้าลงอย่างห้ามไม่อยู่
ซือจูกลับมองหวังซีด้วยสายตาเย็นชาเล็กน้อยครั้งหนึ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างและอวดดีว่า “หวังซี เจ้าตามข้ามา ข้ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับเจ้า”
หวังซีขมวดคิ้วเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น กล่าวว่า “เจ้ามีเรื่องอะไรก็พูดตรงนี้ได้เลย คุณหนูลู่เป็นสหายสนิทของข้า ข้าไม่มีเรื่องอะไรต้องปิดบังนาง”
คำพูดของนางทำให้ลู่หลิงที่เดิมทีจะหลบไปอยู่ด้านข้างดวงตาเป็นประกาย หัวใจอบอุ่น จากนั้นความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นก็ทะยานตามขึ้นมา นอกจากไม่จากไปแล้ว ยังกอดแขนของหวังซีเอาไว้แน่นอีกด้วย ท่าทางประหนึ่งว่าไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางเดินจากไป
ซือจูเห็นแล้วรู้สึกระคายตา ในหัวคิดว่าไม่รู้เหตุใดคนเหล่านั้นถึงอยากประจบประแจงลู่หลิงนัก นางก็แค่เด็กสาวที่ทั้งบื้อและโง่งมผู้หนึ่งที่ถูกผู้อื่นคิดบัญชีแล้วยังเรียกผู้อื่นว่า ‘พี่สาว’ อยู่ก็เท่านั้น
ในเมื่อนางอยากเป็นคนจ่ายค่างวด เช่นนั้นก็หาว่านางไม่ไว้หน้าก็แล้วกัน
ซือจูกล่าว “เช่นนั้นก็ดี คุณหนูลู่ก็ตามข้ามาด้วยก็แล้วกัน!”
หวังซีกลับไม่ได้รู้สึกว่าซือจูจะวางแผนทำอะไรตนได้ นางถึงขั้นคิดอย่างไร้เดียงสาว่าพวกนางสองคนเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ทำทีพูดเหมือนสนิทกันก็เท่านั้น คนอย่างซือจู เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาสั่งให้ข้าทำอะไรข้าก็ต้องทำอย่างนั้นด้วย?
“เป็นเจ้าที่มีเรื่องอยากคุยกับข้า หาใช่ข้ามีเรื่องอยากคุยกับเจ้า เจ้ายังจะวางท่าสูงส่งต่อหน้าข้าอีกหรือ” นางโกรธมากแต่ยิ้ม กล่าวว่า “เจ้ามีเรื่องอะไร ก็พูดมาให้ชัดเจนเสียที่นี่และเดี๋ยวนี้ หาไม่ข้าจะทำเสมือนไม่รู้ คิดเสียว่าพวกเราไม่ได้เจอกัน ข้าไปตามทางสว่างของข้า เจ้าเดินไปตามทางขรุขระของเจ้า พวกเราต่างคนต่างไปเหมือนน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง”
ซือจูไม่คิดว่าหวังซีจะมีท่าทีเช่นนี้ หัวแข็งเหมือนหินก้อนหนึ่งที่น้ำมันและเกลือล้วนซึมไม่เข้าเนื้อ
เช่นนั้นนางก็ไร้หนทางทำให้หวังซีไปที่ศาลาไผ่นิลสดับคลื่นอย่างที่เฉินเจวี๋ยต้องการแล้ว
สมองของนางขบคิดอย่างรวดเร็ว กล่าวว่า “เป็นเรื่องเกี่ยวกับเฉินลั่ว เจ้าก็ไม่อยากรู้หรือ”
ตรงกันข้ามเหตุนี้กลับทำให้หวังซีระแวดระวังตัวขึ้นมา
เบื้องหน้านางกับเฉินลั่วไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรต่อกัน แต่เวลานี้ซือจูกลับจงใจเอ่ยถึงเฉินลั่ว ทั้งยังมาหานางถึงที่ แค่มองก็รู้แล้วว่าหาได้มีเจตนาดี
นางไม่ค่อยมั่นใจนัก รู้สึกว่าเรื่องที่เฉินลั่วจัดการได้ไม่ดีตนมีความสามารถจัดการได้
มุมปากของนางยกขึ้น ยิ้มหยันพลางกล่าว “เรื่องของคุณชายรองเฉินเกี่ยวอะไรกับข้า? เจ้าควรไปหาคุณชายรองเฉินมิใช่หรือ หรือว่าตอนนี้คุณหนูซือไม่สะดวกไปพบคุณชายรองเฉิน ก็เลยจำเป็นต้องมีคนกลางสักคนหนึ่ง? ข้าดูแล้ว คุณชายใหญ่เฉินมิใช่คนเช่นนั้น แทนที่เจ้าจะมาหาข้า ไม่สู้ไปบอกคุณชายใหญ่เฉินตามตรง ให้เขาไปเจอคุณชายรองเฉินเป็นเพื่อนเจ้าดีกว่า นี่ถึงจะเรียกว่าเป็นวิธีผูกมิตร ท่านว่าอย่างไรเล่าคุณหนูซือ!”
ซือจูขบคิดครู่หนึ่งถึงเข้าใจว่าหวังซีหมายถึงอะไร
แต่ลู่หลิงหัวเราะ คิก ออกมาเสียงหนึ่งอย่างกลั้นไม่อยู่
หวังซีร้ายกาจจริงๆ ทั้งที่ซือจูกำลังพูดว่าหวังซีมีความรู้สึกพิเศษต่อเฉินลั่ว แต่พอหวังซีพูดออกมาแล้ว กลับกลายเป็นว่าซือจูกำลังจะแต่งงานกับเฉินอิงอยู่แล้ว ทว่ายังลืมเฉินลั่วไม่ได้ จึงอยากให้หวังซีช่วยเป็นคนกลางนำสารไปส่งให้เฉินลั่ว
เวลานี้ซือจูคงไม่กล้าใส่ร้ายหวังซีกับเฉินลั่วว่ามีอะไรในก่อไผ่ตามใจชอบอีกแล้วกระมัง
ทันใดนั้นใบหน้าของซือจูประเดี๋ยวซีดเผือดประเดี๋ยวเขียวครึ้ม นางกล่าวกับหวังซีด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “ไม่แปลกที่ผู้อื่นต่างพูดกันว่าเห็นอะไรก็เป็นอย่างนั้น เจ้ามีความคิดสกปรกขนาดนี้ได้อย่างไร หากเจ้าไม่กลัวว่าถึงเวลาแล้วเฉินลั่วจะเสียเปรียบ เจ้าก็ทำเสมือนไม่ได้เจอข้าก็แล้วกัน ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่ศาลาไผ่นิลสดับคลื่น หากเจ้าไม่มา ก็อย่าเสียใจภายหลังก็พอ”
กล่าวจบนางก็สะบัดแขนเสื้อจากไป
หัวคิ้วของหวังซีผูกเป็นปมแน่นอย่างห้ามไม่อยู่
ลู่หลิงกล่าวขึ้นว่า “พวกเราไปบอกพี่สาวเจวี๋ยดีหรือไม่ ในเมื่อเป็นเรื่องในบ้านของพวกเขา ให้นางออกหน้าจัดการดีที่สุดแล้ว”
หวังซีโบกมือห้ามลู่หลิงเอาไว้ กล่าวว่า “พวกเราไปบอกเฉินลั่วโดยตรง ให้เขาไปหาวิธีจัดการเองดีกว่า”
นางกลัวว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับเฉินเจวี๋ย เฉินเจวี๋ยจะฉวยโอกาสสร้างเรื่องได้
ลู่หลิงกล่าว “ก็ดีเหมือนกัน ซือจูบอกว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับเฉินลั่วมิใช่หรือ เช่นนั้นพวกเราก็ไม่ขอรับหนี้บุญคุณนี้เอาไว้ ให้นางเอาไปให้เฉินลั่วโดยตรงก็แล้วกัน”
หวังซีพยักหน้า ให้ไป๋กั่วไปจัดการเรื่องนี้
ลู่หลิงยังห่วงเล็กน้อยว่าไป๋กั่วจะจัดการเรื่องนี้ได้ดีหรือไม่ หวังซีกลับกล่าวยิ้มๆ อย่างไม่ใส่ใจนักว่า “หากนางจัดการได้ไม่ดี ข้ายิ่งทำได้ไม่ดีแล้ว แทนที่จะฝากความหวังไว้กับข้า มิสู้ฝากความหวังไว้กับไป๋กั่วดีกว่า!”
นางจำต้องรอฟังข่าว
ผลปรากฏว่าไป๋กั่วกลับมาเร็วกว่าที่หวังซีคาดการณ์เอาไว้เสียอีก พวกนางยังไม่ทันได้ไปกินอาหารเจของวัดต้าเจวี๋ยเลย ไป๋กั่วก็กลับมาก่อนแล้ว
ไป๋กั่วยอบกายทำความเคารพพลางกล่าว “คุณหนูใหญ่ คุณหนูลู่ ใต้เท้าเฉินก็อยู่ที่วัดต้าเจวี๋ยเหมือนกันเจ้าค่ะ องค์ชายสี่นัดใต้เท้าเฉินมากินอาหารเจที่วัดต้าเจวี๋ย ข้าก็เลยตรงไปรายงานเรื่องนี้ให้ใต้เท้าเฉินทราบเรียบร้อยแล้ว”
หวังซีกับลู่หลิงต่างประหลาดใจเป็นอย่างมาก ทั้งสองคนสบสายตากันครั้งหนึ่ง ต่างรู้สึกถึงความผิดปกติของเรื่องนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าผิดปกติตรงที่ใด
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องคิดแล้วดีกว่า” หวังซีกล่าวปลอบใจลู่หลิงยิ้มๆ “พวกเราแค่ต้องจำเอาไว้ว่าอย่าวิ่งพล่านไปทั่วและไม่คุยกับคนแปลกหน้าก็พอ มีคนมากมายขนาดนี้ ต่อให้เกิดอะไรขึ้นจริง ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนเป็นพยาน”
ลู่หลิงพยักหน้าอย่างไม่ชอบใจ จวบจนพวกนางออกจากวัดต้าเจวี๋ยแล้วก็ยังไม่มีเรื่องไม่คาดคิดอะไรเกิดขึ้น
นางยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ เมื่อกลับไปแล้วเล่าเรื่องนี้ให้เจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าฟังทันที
เจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าเองก็ไม่เข้าใจเหตุผลที่ซุกซ่อนอยู่ในเรื่องนี้เช่นกัน กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าฟังแล้วก็ให้รู้สึกสับสนยิ่ง แต่อย่างไรก็ตาม การที่เจ้ามีจิตใจระแวดระวังตัวเช่นนี้ถือเป็นเรื่องดี ต่อไปหากเจอเรื่องเช่นนี้อีก เจ้าก็ต้องเลียนแบบคุณหนูหวังจัดการปัญหาด้วยวิธีการเช่นนี้ถึงจะถูก”
ลู่หลิงพยักหน้าหงึกๆ รู้สึกว่ามันแปลกประหลาดอยู่ช่วงหนึ่ง แต่เมื่อมีเหตุการณ์ใหม่เกิดขึ้น นางก็โยนเรื่องนี้ทิ้งไปชั่วคราว
เจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่ากลับเก็บเรื่องนี้เอาไว้ในใจ เดินทางไปจวนจ่างกงจู่เป็นการเฉพาะครั้งหนึ่ง
ช่วงนี้จ่างกงจู่ไม่ได้เข้าวัง กำลังวุ่นอยู่กับเรื่องงานแต่งของเฉินอิง
เมื่อทราบวัตถุประสงค์การมาเยือนของเจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าแล้วก็ยิ้มเย็นไม่หยุด กล่าวว่า “เด็กสาวอย่างเฉินเจวี๋ยผู้นั้นหาได้มีสมองเท่าไรนัก”
ไม่อย่างนั้นตนไม่มีทางทนให้นางสร้างความวุ่นวายเช่นนี้ได้
นางคิดว่าตัวเองกำลังทำให้มารดาเลี้ยงเป็นทุกข์ แต่ไม่รู้เลยว่าเมื่อเวลาผ่านไป สิ่งที่ทุกคนคิดกับนางก็จะเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
“ต่อให้นางอยากทำเรื่องชั่วร้ายอะไรก็ดูออกได้อย่างง่ายดาย” จ่างกงจู่กล่าว
คนที่ต้องระวังคือสามีของเฉินเจวี๋ยที่เจิ้นกั๋วกงเป็นคนเลือกให้มากว่า คนผู้นั้นต่างหากที่กล้าหาญและมีแผนการเจ้าเล่ห์
น่าเสียดายที่แต่งกับเฉินเจวี๋ย
จ่างกงจู่ส่งคนไปจับตาดูสามีของเฉินเจวี๋ยเอาไว้
หวังซีและคนอื่นๆ กลับกินอาหารเจอย่างมีความสุขไปมื้อหนึ่ง เมื่อกลับถึงบ้านนางยังให้แม่ครัวที่บ้านลองทำตามสองสามอย่างอีกด้วย รู้สึกว่ารสชาติไม่ได้แย่ไปกว่าของวัดต้าเจวี๋ยสักเท่าไรนัก
ฟากเฉินลั่วกลับตื่นตัวขึ้นมาเป็นอย่างมาก เขาไม่เพียงให้คนไปจับตาดูเฉินเจวี๋ยเท่านั้น ยังให้คนไปจับตาดูหวังซีเอาไว้ด้วย
เดิมเขาคิดว่าขอเพียงตนอยู่เงียบๆ ก็ช่วยปกป้องหวังซีให้ปลอดภัยอยู่ใต้ปีกได้แล้ว ผู้ใดจะคิดว่าห่านป่าจะทิ้งร่องรอยเอาไว้ ทำให้เฉินเจวี๋ยค้นพบจนได้
แม้แต่เฉินเจวี๋ยยังค้นพบแล้ว เช่นนั้นหากคนอื่นมีเจตนา มิเท่ากับว่าแค่มองก็เห็นทะลุปรุโปร่งแล้วหรอกหรือ
เฉินลั่วถึงกับจินตนาการได้เลยว่าเฉินเจวี๋ยกำลังวางแผนอะไรอยู่
ใส่ร้ายเขากับหวังซีว่าแอบมีสัมพันธ์ลับกัน จากนั้นบีบบังคับให้เขาแต่งงานกับหวังซี
แต่เฉินเจวี๋ยกลับลืมไปว่า นอกจากเจิ้นกั๋วกงแล้ว เขายังมีจ่างกงจู่กับฮ่องเต้เป็นผู้อาวุโสฝ่ายเขาอยู่
แค่มารดาเขาผู้เดียวก็ทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก ทำเรื่องเล็กให้หายไปได้ แค่ให้เขารับหวังซีเป็นอนุภรรยาก็ทำลายแผนการของเฉินเจวี๋ยจนย่อยยับได้ในทันทีแล้ว
คิดถึงตรงนี้ เฉินลั่วรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย
เฉินเจวี๋ยไม่เคยทำอะไรสำเร็จแต่มักจะทำเสียเรื่องมาโดยตลอด!
หากหวังซีถูกบีบบังคับให้เป็นอนุภรรยาของเขาจริง นั่นต่างหากที่นำความเสื่อมเกียรติมาให้หวังซี!
หวังซีแสนดีขนาดนี้ สมควรได้รับสิ่งที่ดีที่สุดบนโลกใบนี้ เหตุใดต้องมาเป็นอนุภรรยาของผู้อื่นด้วย
ต่อให้คนผู้นั้นเป็นเขา เขาก็ยอมไม่ได้ดุจเดียวกัน
ต้องหาวิธีทำให้เฉินเจวี๋ยไม่มีแรงมายุ่งวุ่นวายกับเรื่องของเขาถึงจะใช้การได้
เฉินลั่วกับหลิวจิ้งช่วยกันคิดหาแผนการ
………………………………………………………………………