หลิวจ้งคิดว่าหากอยากจัดการเฉินเจวี๋ย ควรเริ่มจากฐานราก “ย้ายพี่เขยของท่านไปที่ค่ายเทียนจินเป็นอย่างไร”
เขารู้ว่าเฉินลั่วกับเฉินอิงไม่ถูกกัน จึงไม่ค่อยเกรงใจสามีของเฉินเจวี๋ยไปด้วย
“ตอนนี้ค่ายเทียนจินกลายเป็นพื้นที่อันตรายไปแล้ว” เขาคิดถึงข่าวที่สืบมาได้ในช่วงนี้ “จวนชิ่งอวิ๋นโหวจับตาดูค่ายเทียนจิน ฮ่องเต้จับดูค่ายเทียนจิน และขุนนางใหญ่หลายท่านในสภาก็จับตูค่ายเทียนจิน เจ้าไม่รู้หรือว่าพอคนในกองพลขนนกได้ยินว่าอาจถูกย้ายไปอยู่ค่ายเทียนจิน ก็ตกใจจนขนลุกขนพอง กลัวว่าตัวเองจะถูกเลือก ต่างพากันหาทางหลีกเลี่ยงเส้นทางนี้!”
ท่าเรือเทียนจินยังไม่ถูกเปิดเผย แต่ช้าเร็วหลุมขนาดใหญ่หลุมนี้ก็ต้องถูกเปิดเผยออกมาอยู่ดี ถึงเวลาก็คอยดูว่าผู้ใดจะรับกระดานนี้ไป
“เกรงว่าท่านกั๋วกงคงไม่ยอม” เฉินลั่วกล่าวอย่างสบายๆ “เขาคือคนที่พ่อข้าหามาสอดส่องดูแลพี่สาวของข้า เพื่อป้องกันเรื่องที่พวกเขาสองพี่น้องหัวช้า ฉะนั้นจะปล่อยให้เขาถูกย้ายไปค่ายเทียนจินง่ายๆ ได้อย่างไร!”
กล่าวถึงตรงนี้ มุมปากของเขายกยิ้มขึ้น กล่าวต่อไปว่า “แต่อย่างไรก็ตาม ความคิดนี้ของเจ้าช่วยเตือนสติข้า มิใช่ว่ายังมีหนิงผินอยู่อีกผู้หนึ่งหรอกหรือ สาเหตุที่พ่อข้ากระตือรือร้นขนาดนี้ ก็มิใช่เพราะคิดว่าสักวันหนึ่งจะได้ปีนขึ้นไปจากลำขาท่อนใหญ่ของหนิงผินหรอกหรือ ฉะนั้นจะปล่อยให้นางเสียเปล่าไม่ได้ ยังมีองค์ชายสี่อีก หากต้องไปปกครองต่างเมืองจริง ค่ายเทียนจินก็เป็นสถานที่หนึ่งที่ไม่เลวนัก”
หลิวจ้งพลันเข้าใจความหมายของเฉินลั่ว
โดยปกติแล้วจะไม่ให้องค์ชายไปปกครองเมืองที่เจริญและมั่งคั่งเกินไป ไม่อย่างนั้นหากภาษีของที่นั่นถูกอ๋องศักดินายึดเอาไปกว่าครึ่ง ฮ่องเต้จะทำอย่างไร
สถานที่ที่มีตำแหน่งที่ตั้งค่อนข้างพิเศษอย่างค่ายเทียนจินก็ไม่อาจให้อ๋องศักดินาไปปกครองเช่นกัน
หาไม่แล้วหากอ๋องศักดินาคิดก่อกบฏขึ้นมา ก็สั่งเคลื่อนกองพลมาพิชิตจิงเฉิงได้อย่างง่ายดาย
ที่เฉินลั่วพยายามเสนอองค์ชายสี่ คงเป็นเพราะไม่พอใจที่องค์ชายสี่ล่อลวงเขาไปวัดต้าเจวี๋ยกระมัง
หลิวจ้งกล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นด้านคุณหนูซือ ต้องส่งของขวัญไปให้หรือไม่”
ถึงซือจูจะมีนิสัยเอาแต่ใจเย่อหยิ่ง แต่ดีร้ายก็เติบโตมาจากจวนแม่ทัพใหญ่ เป็นคนที่ตระกูลซือฟูมฟักเลี้ยงดูเพื่อเตรียมส่งตัวเข้าวังหลวง อย่างไรก็มีฝีมืออยู่หลายส่วน ไม่น่าจะเรียกหวังซีไปที่ศาลาแห่งนั้นอย่างเรียบง่ายเช่นนั้นถึงจะถูก
ที่มากไปกว่านั้นก็คือนางอาจจะกำลังส่งสัญญาณเตือนเฉินลั่วกับหวังซีอยู่
เฉินลั่วเหยียดปาก กล่าวว่า “พฤติกรรมสามขวบส่งผลไปจนแก่ได้ แม้ข้าไม่เชื่อว่าซือจูมีเจตนาดีอะไร แต่นางก็ได้กระทำเรื่องดีเรื่องหนึ่งจริงๆ อย่างไรก็ต้องส่งของขวัญไปให้ ให้พี่สาวแสนดีท่านนั้นรู้ข่าวด้วยเป็นดีที่สุด ไม่เช่นนั้นงิ้วฉากนี้คงไม่สนุกครึกครื้นเท่าที่ควร”
หลิวจ้งขานรับด้วยรอยยิ้ม ให้คนส่งเงินทองและไข่มุกอัญมณีไปให้ซือจูในนามของจ่างกงจู่
ในจำนวนนั้นซือจูชอบกำไลทองคำสลักลายนกเฟิ่งสีแดงเพลิงชมตะวันคู่นั้นจริงๆ เอามาถือเล่นกว่าครึ่งค่อนวัน
ตานหมัวมัวมองแล้วกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง กล่าวว่า “หากรู้แต่เนิ่นๆ ว่าท่านมีแผนการเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องห้ามเอาไว้แล้ว นี่ท่านยังไม่ได้แต่งเข้าไปเลย ก็ทำให้พี่สาวสามีไม่พอใจแล้ว ต่อไปแต่งเข้าไปแล้วจะทำอย่างไรเจ้าคะ”
ซือจูร้อง “เพ้ย” เสียงหนึ่ง กล่าวว่า “สตรีออกเรือนแล้ว ทั้งยังเรียกตัวเองว่ากูไหน่ไนอย่างนาง มีสิทธิ์สอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องตระกูลเดิมตั้งแต่เมื่อใดกัน ข้ากำลังห่วงอยู่พอดีว่าจะไม่มีโอกาสแสดงอำนาจให้นางดู นางก็วิ่งเข้ามาด้วยตัวเองก่อนแล้ว อยากให้หวังซีเป็นอนุภรรยาของเฉินลั่ว นางฝันเฟื่องแล้ว!”
นางไม่อยากต้องเจอหน้าหวังซีทุกวันหรอกนะ
ตานหมัวมัวพึมพำกล่าว “แต่ท่านรับปากนายหญิงติงแล้ว…”
“อะไรที่เรียกว่าข้ารับปากนายหญิงติงแล้ว เป็นนางที่ให้ข้าทำเช่นนั้น ข้าเพียงไม่ได้ปฏิเสธก็เท่านั้น” ซือจูทำแล้วไม่ยอมรับ รู้สึกเบิกบานใจยิ่งนัก “นางคิดว่านางเป็นอะไร ยังมาชี้นิ้วสั่งการต่อหน้าข้าอีก หากข้าไม่ให้บทเรียนนางสักหน่อย นางจะไม่คิดว่าข้ารังแกได้ง่ายหรอกหรือ”
ที่สำคัญคือนางไม่อยากมีชีวิตร่วมชายคาเดียวกับหวังซี
แค่ตอนนี้ที่อาศัยอยู่ด้วยกันในจวนหย่งเฉิงโหวก็ทำให้นางรู้สึกเกินจะทานทนแล้ว หากให้นางกับหวังซีอาศัยใต้ชายคาจวนเจิ้นกั๋วกงไปตลอดชีวิตอีก นางต้องเป็นบ้าแน่!
ตานหมัวมัวไม่รู้จะพูดอะไรดี
แต่ด้านเฉินเจวี๋ยลำบากอยู่บ้างจริงๆ
นางคิดไม่ถึงว่าซือจูจะไม่เชื่อฟังคำสั่งของนาง ยังแหวกหญ้าให้งูอย่างเฉินลั่วตื่นอีกด้วย เฉินลั่วเองก็ไม่รู้ว่าใช้วิธีอะไร ถึงกับต้องการให้สามีของนางย้ายไปเป็นผู้บังคับบัญชาที่ค่ายเทียนจิน ต้องรู้ว่า สามีของนางเพิ่งตั้งหลักในเฉิงโจวได้อย่างมั่นคง กำลังเตรียมแสดงฝีมือในที่แห่งนี้ การย้ายครั้งนี้ มิเท่ากับทุกอย่างต้องสูญเปล่าหรอกหรือ
เฉินเจวี๋ยไม่มีทางเลือก จำต้องไปขอร้องเจิ้นกั๋วกง
ถึงเจิ้นกั๋วกงจะไม่ชอบเฉินลั่ว ทว่าก็เข้าใจบุตรชายผู้นี้ดียิ่ง หากเขาไม่ถูกผู้อื่นรังแก ก็ไม่มีทางหาเรื่องใครก่อน ช่วงนี้เขากับชิ่งอวิ๋นโหวเจ้ามาหาข้าข้าไปหาเจ้าอยู่บ่อยๆ ก็เหน็ดเหนื่อยมากพอแล้ว บุตรสาวผู้นี้ยังเป็นคนเข็นไม่ขึ้นอีก เขากล่าวตัดบทเฉินเจวี๋ยที่ฟ้องไม่หยุดเสียทีว่า “เจ้าไม่ต้องพูดมากแล้ว เจ้าบอกมาเถอะว่าตอนนี้เจ้าต้องการอะไร”
“ให้สามีอยู่ที่เฉิงโจวต่อไปเจ้าค่ะ” เฉินเจวี๋ยกล่าวอย่างเป็นทุกข์ “พวกเราหาใช่ตระกูลซือ ที่จะต้องย้ายไปทั่วทุกที่เพื่อเงินทองจำนวนไม่เท่าไร”
สาเหตุที่ตระกูลซือไม่มีฐานที่มั่นคงของตัวเองก็เพราะต้องโยกย้ายขึ้นเหนือล่องใต้อยู่ตลอด คนเพิ่งจะคุ้นเคยกับสถานที่ก็ต้องจากไปอีกแล้ว ดูสวยงามเหมือนช่อดอกไม้ ทว่าไร้ซึ่งกำลังคนที่มีความสามารถและจงรักภักดี
เจิ้นกั๋วกงยังหวังให้บุตรเขยคอยช่วยเหลือเฉินอิงอยู่ ย่อมไม่อยากให้เขาย้ายไปย้ายมาอยู่แล้ว จึงใช้อำนาจบางส่วนช่วยให้บุตรเขยได้อยู่ที่เฉิงโจวต่อไป
แต่เฉินลั่วยังคงไม่ปล่อยเฉินเจวี๋ยไป นำเรื่องนี้ไปบอกกล่าวให้แม่สามีของเฉินเจวี๋ยทราบโดย ‘บังเอิญ’ ถึงแม้แม่สามีของเฉินเจวี๋ยจะเป็นคนซื่อและจริงใจ แต่ก็เป็นคนมีสมองผู้หนึ่ง นางเข้าใจวัตถุประสงค์ที่ซ่อนอยู่ในเรื่องนี้ได้ทันที ตรึกตรองครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายปรึกษากับบุตรชายว่า “ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร เฉินอิงกับเฉินลั่วก็เป็นพี่น้องกัน ไม่ว่าพวกเจ้าจะยืนอยู่ฝั่งไหน ล้วนถูกบีบให้อยู่ตรงกลางอย่างลำบากใจอยู่ดี ข้าว่ารอเฉินอิงแต่งงานเสร็จแล้ว เจ้าพาภรรยาของเจ้าไปเฉิงโจวเสีย หากไม่มีเรื่องอะไรก็ไม่ต้องกลับมา”
จากนั้นก็กล่าวโน้มน้าวเฉินเจวี๋ยว่า “พวกเจ้าแต่งงานกันมานานขนาดนี้แล้วเรื่องบุตรก็ยังคงไร้วี่แวว เพราะฉะนั้นถึงพูดกันว่าสามีภรรยาใหม่ต้องอยู่ด้วยกันถึงจะใช้การได้ รอคุณชายใหญ่แต่งงานแล้ว เจ้าไปอยู่เฉิงโจวสักระยะหนึ่ง รอมีบุตรแล้ว เจ้าจะกลับจิงเฉิงก็ดี หรือให้ข้าไปดูแลเจ้าที่โน่นก็ดี นี่ต่างหากคือสิ่งสำคัญ”
แม่สามีพูดจนเฉินเจวี๋ยต้องก้มศีรษะยอมลงให้
ถ้าผู้อื่นเป็นเหมือนนางคงถูกแม่สามีพูดกระทบกระทั่งไปนานแล้ว แต่แม่สามีของนางเป็นคนซื่อและจริงใจ จึงไม่เคยว่าอะไรมาโดยตลอด ทว่าครั้งนี้ถึงกับเอ่ยปากแล้ว นางจึงไม่อาจเพิกเฉยได้
นางรับคำเสียงเบาว่า “เจ้าค่ะ” แล้วก็ถูกแม่สามีลากตัวไปเยี่ยมเยียนคนนั้นคนนี้ทั่วไปหมด ด้วยเหตุนี้เฉินเจวี๋ยจึงไม่มีเวลากลับบ้านเดิมไปช่วยจัดการเรื่องงานแต่งของเฉินอิง
จวบจนผ่านพ้นวันไหว้บรรพบุรุษในวันที่หนึ่งเดือนสิบเอ็ดแล้ว พ่อบ้านประจำเรือกสวนไร่นาแต่ละแห่งก็เริ่มทยอยเดินทางเข้าเมืองหลวงมาให้ตรวจสอบบัญชี และส่งมอบของขวัญประจำเทศกาล นางก็เลยยิ่งไม่สะดวกออกจากบ้านสามี
ด้านหวังซีถึงแม้ไม่ต้องดูแลเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ ทว่าก็ได้รับจดหมายจากพี่ชายใหญ่ของนางฉบับหนึ่ง บอกว่าเดิมทีเขาจะเดินทางถึงเมืองหลวงกลางเดือนสิบเอ็ด แต่ปรากฏว่าระหว่างทางบังเอิญเจอตัวแทนของตระกูลเฝิงแห่งหูโหว ทั้งสองคนตัดสินใจร่วมกันซื้อขนสัตว์จากร้านแห่งหนึ่งของภาคตะวันตกเฉียงเหนือ หากการซื้อขายครั้งนี้ประสบความสำเร็จ ในอีกห้าปีกิจการค้าขนสัตว์ของตระกูลหวังจะต้องไม่ต่างจากกิจการค้าผ้าไหมอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้จึงกลัวว่าจะไม่ได้มาจิงเฉิงในช่วงเดือนสิบเอ็ดนี้แล้ว ให้นางรอถึงเดือนสามของปีหน้าก่อนค่อยว่ากันอีกที
หลงจู๊ใหญ่ที่มารายงานข่าวให้นางทราบยังกระซิบบอกนางด้วยว่า “การค้าครั้งนี้ถือเป็นเรื่องเล็ก เรื่องที่สำคัญก็คือตอนที่คุณชายใหญ่เดินทางผ่านชังโจว ได้รู้จักกับผู้บังคับบัญชาท่านหนึ่งของค่ายชังโจวโดยบังเอิญ พี่เขยของเขาเป็นที่ปรึกษาท่านหนึ่งในกรมกลาโหม พวกเขามีเส้นทางทำการค้าส่งเสบียงให้เก้าเหล่าทัพ ทว่ายังตามหาพ่อค้าที่ไว้ใจได้ไม่ได้”
หวังซีได้ยินแล้วหัวใจเต้นตึกตัก
การขนส่งเสบียงให้กองทัพ มิใช่เรื่องทำเงินได้ ทั้งยังอันตรายมากอีกด้วย แต่ถ้ามีโอกาสได้ทำการค้าเช่นนี้ ก็จะได้กลายเป็นวาณิชหลวง ทำเงินได้มหาศาล
กิจการของตระกูลหวังถือว่าใหญ่โตมากพอ ไม่จำเป็นต้องเป็นวาณิชหลวงก็ได้ แต่ถ้ามีโอกาสเช่นนี้ ก็ไม่อยากปล่อยไปเปล่าๆ เหมือนกัน
หวังซีอดลดเสียงลงไม่ได้ กล่าวว่า “เรื่องนี้เชื่อถือได้หรือไม่ หากเป็นเรื่องดีเช่นนั้นจริง พี่ชายใหญ่ยิ่งไม่ต้องเดินทางมาจิงเฉิงสักครั้งหนึ่งหรอกหรือ”
หลงจู๊ใหญ่ยิ้มกว้างจนเหมือนพระศรีอริยเมตไตรย กระซิบกล่าวว่า “ตระกูลหวังของพวกเราร่ำรวยแบบเจียมเนื้อเจียมตัวมาโดยตลอด ครั้งนี้หากต้องการรับทำการค้านี้จริง ก็จำต้องเผยตัวออกสู่สาธารณะ ถึงเวลาจะรับทำการค้านี้จริงหรือไม่ จะดำเนินการอย่างไร ราชสำนักกำหนดให้พวกเราวางเงินมัดจำบางส่วนไว้กับกรมคลัง ต้องวางเงินเท่าไร ตระกูลหวังต้องแยกบ้านหรือไม่ ให้ส่วนหนึ่งเป็นวาณิชหลวงทำการค้าให้หลวง อีกส่วนหนึ่งรับผิดชอบการค้าเดิมต่อไป ให้สกุลสายหลักเผยตัวออกสู่สาธารณะ หรือให้สายรองเป็นคนออกมาดี สิ่งเหล่านี้ล้วนมิใช่เรื่องที่ตกลงกันได้ภายในหนึ่งวันสองวัน คุณชายใหญ่ย่อมต้องเดินทางกลับสู่จงครั้งหนึ่งก่อน…
…ด้วยเหตุนี้ จึงมอบหมายให้ข้าเป็นคนจัดการตรวจสอบบัญชีของร้านค้าในจิงเฉิงทั้งหมด คุณชายใหญ่ยังกลัวว่าท่านจะรู้สึกเบื่อ จึงสั่งเอาไว้ว่าถึงเวลาให้ข้าพาท่านไปด้วย ตอนที่หลงจู๊ของแต่ละที่มารายงานบัญชี ท่านเองก็จะได้ฟังด้วย”
กล่าวขึ้นอีกครั้งหนึ่งว่า “ส่วนผู้ที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลังผู้บังคับบัญชาท่านนั้น หากพูดออกมาท่านเองก็รู้จักดี คือชิงผิงโหวนั่นเอง”
“หา!” หวังซีรู้สึกมึนงงสมองไม่พอให้ใช้การไปแล้ว ถามว่า “มิใช่บอกว่ามีความสัมพันธ์กับกรมกลาโหมหรอกหรือ”
หลงจู๊ใหญ่ยิ้มตอบว่า “แน่นอนว่ามีสายสัมพันธ์กับกรมกลาโหม แต่หน่วยราชการที่แข็งแกร่งดุจเหล็กไหลก็เปลี่ยนขุนนางบ่อยเหมือนสายน้ำไหล ขุนนางของกรมกลาโหมก็เปลี่ยนแปลงบ่อย ทว่าจวนชิงผิงโหวไม่เปลี่ยน คนที่ส่งเสบียงทหารให้พวกเขาได้ ย่อมต้องเป็นคนที่พวกเขาไว้ใจ!”
หวังซีรีบเอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นอยากให้ข้าช่วยออกหน้าไปหาสักครั้งหรือไม่!”
“ไม่ต้องขอรับ!” หลงจู๊ใหญ่ยิ้มกล่าว “เรื่องเช่นนี้ท่านทำเป็นไม่รู้เรื่องเป็นดีที่สุด ไปมาหาสู่กับจวนชิงผิงโหวเหมือนปกติก็พอแล้ว รอให้คุณชายใหญ่จัดการเรื่องทางโน้นเรียบร้อยแล้ว ท่านค่อยพาสะใภ้ใหญ่ไปทำความรู้จักสักครั้งก็พอ”
หวังซีถามอย่างตื่นเต้นยินดีว่า “พี่สะใภ้ใหญ่จะมาจิงเฉิงหรือ”
หลงจู๊ใหญ่พยักหน้า “หากการค้านี้สำเร็จ สะใภ้ใหญ่ก็ต้องเดินทางมาจิงเฉิงสักครั้งหนึ่งเช่นกัน”
บางเรื่องที่เปิดเผยสู่สาธารณะได้ วิธีที่ดีที่สุดคือนำของขวัญไปส่งให้ยามสตรีไปมาหาสู่กัน
หวังซีพยักหน้าหงึก กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าเข้าใจแล้ว รอพี่สะใภ้ใหญ่มาถึงแล้ว ข้าย่อมนำทางให้ดีได้อย่างแน่นอน” จากนั้นนางอดถามไม่ได้ว่า “เหตุใดเรื่องราวถึงได้บังเอิญขนาดนี้”
ต่อให้ตอนนั้นนางช่วยให้คุณหนูรองอู๋รอดพ้นจากการเป็นตัวเลือกพระชายาของวังหลวงไปได้ แต่จวนชิงผิงโหวก็ไม่จำเป็นต้องตอบแทนพวกเขาด้วยของขวัญชิ้นใหญ่ขนาดนี้ก็ได้นี่นา!
หลงจู๊ใหญ่เองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน เขากล่าว “เป็นเรื่องที่บังเอิญอยู่บ้างจริงๆ แต่พวกเราสืบไปสืบมาแล้ว พบว่าการซื้อขายครั้งนี้เป็นเรื่องจริง ลองทำดูได้ขอรับ”
หวังซีพยักหน้า
ผู้อาวุโสในบ้านมีประสบการณ์มากกว่านาง ในเมื่อผู้ใหญ่ทำการสืบมาอย่างละเอียดแล้ว ก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร
ด้านเฉินลั่วหลังจากที่หาเรื่องให้เฉินเจวี๋ยทำได้แล้ว เขาก็อารมณ์ดีขึ้นมาก ถามหลิวจ้งว่า “ตระกูลหวังไม่ได้สงสัยอะไรหรอกกระมัง”
“ไม่ขอรับ!” หลิวจิ้งยิ้มตอบ “การค้านี้มอบให้ผู้ใดไม่มอบ? ยิ่งไปกว่านั้นมีสายสัมพันธ์ของคุณหนูหวังอยู่ด้วย อีกทั้งเมื่อก่อนจวนชิงผิงโหวก็เคยทำการค้ากับตระกูลหวังมาก่อน จึงประจวบเหมาะพอดี ตอนนี้เพียงรอคุณชายใหญ่ตระกูลหวังเดินทางมาจิงเฉิงในปีหน้าเท่านั้นแล้ว”
เฉินลั่วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
มีเรื่องให้ทำก็ดี ทุกคนต่างไปจัดการธุระของตัวเองจะได้ไม่มายุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก
……………………………………………………….