ตอนที่ 221 ออกจากเมืองหลวง

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 221 ออกจากเมืองหลวง

เยียนอวิ๋นถงและหลิวเป่าจูหวานปานน้ำผึ้ง

เยียนอวิ๋นเกอทนดูไม่ไหว แต่ละวันแทบจะตาบอด

หลิวเป่าจูยังดี ยังรู้จักข่มใจตัวเองต่อหน้าคนอื่น

แต่เยียนอวิ๋นถงไม่มีความละอาย ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลัง ดวงตาของเขาแทบจะเกาะติดอยู่บนตัวของหลิวเป่าจู

เยียนอวิ๋นเกอบอกได้เพียง “ทนไม่ได้”

หลิวเป่าจูเขินอายจนใบหน้าแดงก่ำ นางมองค้อนเยียนอวิ๋นถงหนึ่งที

เยียนอวิ๋นถงหัวเราะอย่างไม่สนใจ อีกทั้งยังได้ใจอย่างมาก

เยียนอวิ๋นเกอพูดทันที “นอกจากมีความจำเป็น อย่าได้โผล่หน้าต่อหน้าข้า”

เยียนอวิ๋นถงกลับพูด “น้องสี่อิจฉา! อิจฉาที่ข้ากับพี่สะใภ้เจ้ารักกัน!”

ถุย!

หน้าหนาเสียจริง

บางครั้ง เซียวฮูหยินก็หวงเล็กน้อย

บุตรที่เลี้ยงเติบโตมาอย่างยากลำบาก เวลานี้กลับมีแต่ภรรยาทั้งใจ นางก็อดเสียใจไม่ได้

โชคดีที่นางปรับตัวได้เร็ว ไม่แทรกแซงชีวิตของคนหนุ่มสาว อีกทั้งยังไม่ถ่ายทอดวิธีการอยู่ร่วมกันของสามีภรรยาใดๆ

นางกับเยียนโส่วจ้านเป็นสามีภรรยาที่นอนร่วมเตียงแต่มีฝันที่ต่างกัน ดังนั้นจึงไม่มีประสบการณ์ที่ประสบความสำเร็จให้ถ่ายทอด

ดังนั้นนางจึงไม่ชี้แนะบุตรชายและสะใภ้ในทางที่ผิด

หลังจากแต่งงาน เยียนอวิ๋นถงก็ต้องคำนึงเรื่องกลับแคว้นซ่างกู่แล้ว

เขาตัดสินใจไม่ได้ว่าต้องออกจากเมืองหลวงก่อนหรือหลังวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาของฝ่าบาท ดังนั้นจึงขอคำชี้แนะจากเซียวฮูหยินผู้เป็นมารดา

เซียวฮูหยินยืนกราน “เจ้ากับเป่าจูต้องออกจากเมืองหลวงก่อนวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาของฝ่าบาท อย่าได้อยู่ถึงหลังวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาเด็ดขาด”

น้ำเสียงที่จริงจังเช่นนี้ เยียนอวิ๋นถงจึงต้องจริงจังตาม “ท่านแม่กังวลว่าจะเกิดเรื่องหลังวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาของฝ่าบาทหรือ”

เซียวฮูหยินพูด “กลัวแต่เรื่องไม่คาดฝันเท่านั้น วันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาของฝ่าบาทตรงกับช่วงเวลาหลังการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง ปีนี้เสบียงลดลงหรืออาจไม่มีผลผลิต เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาทย่อมไม่พอพระทัย ระยะนี้ในราชสำนักกำลังวุ่นวาย เห็นได้ชัดว่าราชสำนักย่อมต้องมีการเคลื่อนไหวใหญ่ เจ้าในฐานะแม่ทัพ หากยังอยู่ในเมืองหลวงต่อ เกรงว่าจะเกิดหายนะ เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องไม่คาดฝัน เจ้ารีบออกจากเมืองหลวงจะดีกว่า”

“ท่านแม่เล่า ท่านแม่กับน้องสี่จะมีอันตรายหรือไม่ ยังมีพี่ใหญ่ นางเป็นตัวแทนของท่านโหวผิงอู่ อีกทั้งยังเป็นนายหญิงของตระกูลสือ ฝ่าบาทจะทรงกลั่นแกล้งนางหรือไม่”

“เจ้าไม่ต้องกังวลข้ากับอวิ๋นเกอ ยิ่งไม่ต้องกังวลพี่ใหญ่ของเจ้า พวกข้าเป็นสตรี ฝ่าบาทไม่มีทางกลั่นแกล้งพวกข้า แตกต่างกับเจ้า เจ้าเป็นบุรุษตระกูลเยียน อีกทั้งยังเป็นแม่ทัพ เมืองหลวงไม่ใช่ที่ที่เจ้าควรอยู่นาน ไม่กี่วันนี้ เจ้ากับเป่าจูรีบเก็บสัมภาระ ออกจากเมืองหลวงไปก่อนวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา”

ท่าทีของเซียวฮูหยินแน่วแน่

ถึงแม้จะอาลัย แต่ก็ต้องให้เยียนอวิ๋นถงรีบออกจากเมืองหลวง

ไม่มีสิ่งใดสำคัญกว่าความปลอดภัย

วันอื่น แม่ลูกย่อมมีวันที่ได้พบหน้ากัน

เยียนอวิ๋นถงรับปาก

หลังจากเงียบไปชั่วครู่ เขาก็ถามคำถามที่อยากถามมานาน

“ท่านแม่ยังจะกลับจวนโหวหรือไม่”

คนที่มีคำถามเหมือนเขามีไม่น้อย

คนส่วนใหญ่ล้วนคิดว่าเมื่อเซียวฮูหยินมาเมืองหลวง นางก็จะไม่กลับตระกูลเยียนที่แคว้นซ่างกู่

แต่เซียวฮูหยินกลับพูด “ข้าย่อมต้องกลับจวนโหว”

หัวใจของเยียนอวิ๋นถงสบายใจทันที

เขายิ้ม “ท่านแม่จะกลับเมื่อใด ให้คนไปบอกข้าล่วงหน้า เมื่อถึงเวลาข้านำทัพไปต้อนรับท่านแม่ที่ชายแดนโยวโจว”

เซียวฮูหยินยิ้มตาหยีด้วยความดีใจ “ได้! รอข้าตัดสินใจกลับไป ข้าย่อมจะเขียนจดหมายกลับไปให้เจ้ามารอรับ”

“สัญญา”

เยียนอวิ๋นถงดีใจอย่างมาก

เพียงแค่ท่านแม่ยังยอมกลับไป บ้านยังคงเป็นบ้าน

หากท่านแม่ไม่อยู่ บ้านก็ไม่ใช่บ้าน

เซียวฮูหยินหาเวลาว่างคุยกับลูกสะใภ้อย่างหลิวเป่าจู

นางแนะนำอีกฝ่ายมากมาย กำชับหลายเรื่อง

จวนท่านโหวกว่างหนิงที่กว้างใหญ่ ผู้ใดใช้ได้ ผู้ใดใช้ไม่ได้ ผู้ใดเชื่อได้ ผู้ใดเชื่อไม่ได้ เซียวฮูหยินรู้ดีอย่างยิ่ง

นางมอบหมายความสัมพันธ์กับผู้คนที่นางสะสมมานานหลายปีให้หลิวเป่าจูทั้งหมด

“เมื่อกลับไปถึงจวนโหว เจ้าเคารพเฉินฮูหยินเพียงต่อหน้าเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวนาง เจ้าต้องรับมืออำนาจในการดูแลจวนอย่างรวดเร็ว หากเฉินฮูหยินยอมคืนให้แต่โดยดีก็แล้วไป แต่หากนางไม่ยอม เจ้าก็ไม่ต้องเกรงใจนาง ทางท่านโหวเจ้าไม่ต้องกังวล ข้าเขียนจดหมายกลับไปเตือนเขาแล้ว เรื่องภายในจวน เขาอย่าได้แทรกแซง หากเขาลำเอียง อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจเยียนอวิ๋นฉวน”

เยียนโส่วจ้านมีเบี้ยอยู่ในมือ เซียวฮูหยินก็มีเบี้ยอยู่ในมือ

สามีภรรยาต่างเกรงกลัวซึ่งกันและกัน ทั้งสองฝ่ายต่างพยายามควบคุมไม่ให้ฉีกหน้ากัน

เมื่อมีคำพูดของเซียวฮูหยิน หลิวเป่าจูยิ่งมีความมั่นใจมากขึ้น

นางรับปาก “ท่านแม่วางใจ หลังจากข้ากลับไปจะรีบรับมืออำนาจในการดูแลจวนทันที”

เซียวฮูหยินเตือนนาง “ควรโบยก็โบย ควรด่าก็ด่า แสดงความน่าเกรงขามของนายหญิงน้อยออกมา ไม่จำเป็นต้องกลัวผู้ใด หากวันใดเยียนอวิ๋นฉวนแต่งงาน ภรรยาของเขาก็ไม่อาจอยู่เหนือเจ้าได้ เจ้าเป็นนายหญิงน้อยที่แท้จริง”

หลิวเป่าจูกลับกังวล “หากวันหนึ่งนายน้อยใหญ่แต่งงานกับคุณหนูตระกูลขุนนางจริงจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ”

“ถึงแม้เขาจะแต่งงานกับคุณหนูตระกูลขุนนาง พวกเขาสามีภรรยาก็จะอยู่ในเมืองหลวง พวกเขาเอื้อมมือไปไม่ถึงจวนโหว เจ้ายังคงเป็นใหญ่”

“ข้าเข้าใจแล้ว! ขอบพระคุณท่านแม่ที่ชี้แนะ”

ช่วงเวลาแห่งการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงของเมืองหลวง

เยียนอวิ๋นถงและหลิวเป่าจูนำสัมภาระหลายสิบคันรถ องครักษ์ติดตามนับพันเดินทางออกจากเมืองหลวง

เซียวฮูหยินอาลัยอาวรณ์อย่างมาก ดวงตาของนางแดงก่ำ

จากกันคราวนี้ ไม่รู้อีกกี่ปีจึงจะได้พบกันอีกครั้ง

เยียนอวิ๋นเกอส่งพี่ชายและพี่สะใภ้ออกจากประตูเมืองไปจนถึงศาลาสิบลี้ด้วยตนเอง

เยียนอวิ๋นเฟยเสียดายอย่างมาก “ตอนที่เด็กคลอดไม่ได้เห็นท่านน้า น่าเสียดาย”

เยียนอวิ๋นถงก็รู้สึกเสียดาย

แต่สถานการณ์เป็นเช่นนี้ เขาจำเป็นต้องออกจากเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว

“น้องสี่กลับเถิด! ดูแลท่านแม่แทนข้าให้ดี ดูหลานชายกำเนิดออกมา สิ่งสำคัญคือหากเกิดเรื่อง ย่อมต้องปกป้องท่านแม่ให้ดี ให้คนส่งข่าวให้ข้า”

“พี่สองและพี่สะใภ้เดินทางปลอดภัย หากมีข่าวดีรีบเขียนจดหมายมาบอกข้า ให้ข้าดีใจกับพวกท่าน”

เยียนอวิ๋นถงหัวเราะร่าด้วยความดีใจ “น้องสี่วางใจ หากมีข่าวดี ข้าจะบอกเจ้าทันที”

หลิวเป่าจูแอบหยิกเยียนอวิ๋นถง

เยียนอวิ๋นถงเจ็บ ดังนั้นจึงยิ้มกัดฟัน

เยียนอวิ๋นเกอรู้สึกขบขัน

หลิวเป่าจูเดินขึ้นหน้าสองก้าว พูดกับนาง “น้องสี่ พี่สองของเจ้าอยู่ในค่ายทหารตลอด จดหมายไปมาไม่สะดวกนัก ข้าจะเขียนให้เจ้าแทน เจ้ารังเกียจหรือไม่”

เยียนอวิ๋นเกอรีบพูด “ข้าดีใจยังไม่ทัน จะรังเกียจได้อย่างไร ตกลงตามนี้ ข้าจะรอจดหมายจากพี่สะใภ้”

“ข้าไม่คุ้นเคยกับจวนโหว ต่อจากนี้อาจต้องขอคำชี้แนะจากน้องสี่”

“พี่สะใภ้ไม่ต้องเกรงใจ”

เมื่อมีพบย่อมต้องมีวันจากลา

เยียนอวิ๋นเกอขี่ม้าขึ้นเนินเขาเล็ก มองขบวนรถม้าจากไปจนกระทั่งมองไม่เห็นหางขบวน

นางทำหน้าเศร้าโศกด้วยความอาลัย

พี่สองเป็นคนที่สร้างความสุขให้ทุกคน นับจากที่เขามาถึงเมืองหลวง แต่ละวันล้วนมีแต่ความประหลาดใจ

เวลานี้เขาจากไปแล้ว ทำให้ใจของนางรู้สึกเศร้าโศก

อาเป่ยขี่ม้าเฝ้าอยู่ข้างกายนาง

“แดดร้อน คุณหนูกลับไปเถิด! เดี๋ยวจะคล้ำเอา!”

เยียนอวิ๋นเกอถาม “หากข้าตัวดำ จะไม่มีคนมากมายสนใจเรื่องหมั้นหมายของข้าใช่หรือไม่”

“คุณหนูพูดเรื่องใดกัน ทุกคนกังวลเรื่องหมั้นหมายของท่านไม่ใช่เพราะท่านผิวขาวงดงาม หากแต่เพราะคุณหนูถึงวัยที่ต้องหมั้นหมายแล้ว”

เยียนอวิ๋นเกอหันหน้าไปมองค้อนอาเป่ย

พูดจาเป็นหรือไม่!

จำเป็นต้องพูดความจริงหรือ

เหตุผลที่ตื้นเขินเพียงนี้ นางจะไม่รู้หรือ

นางเป็นสาวรับใช้คนสนิทได้อย่างไร แค่นี้ก็ดูไม่ออก

อาเป่ยหยิ่งผยอง “บ่าวแค่พูดตามความจริง ตักเตือนให้คุณหนูมองความจริง อย่าไร้เดียงสาเจ้าค่ะ”

กรี๊ดดด…

ผู้ใดก็ได้มาเก็บอาเป่ยไปทีเถิด!

เมื่อควบม้าลงมาจากเนินเขา นางก็เปลี่ยนไปขึ้นรถม้าแทน

การเก็บเกี่ยวในช่วงฤดูใบไม้ร่วงสมควรจะเป็นช่วงเวลาที่น่ายินดีที่สุดในหนึ่งปี

แต่เยียนอวิ๋นเกอกลับไม่มีความสนใจไปดูผลประกอบการปีนี้ของเรือนพักร่ำรวย

คิดว่าผลประกอบการปีนี้จะทำให้นางเป็นโรคหัวใจ

อาเป่ยเตือนนาง “คุณหนูยังติดหนี้สำนักเซ่าฝู่อยู่”

เยียนอวิ๋นเกอกลอกตา “อย่างน้อยหลายปีก่อนก็จ่ายหนี้คืนไปส่วนมากแล้ว ปีนี้ผลประกอบการไม่ดี ควรไปเจรจากับสำนักเซ่าฝู่เสียหน่อย”

ไม่บอกว่ายกหนี้ทั้งหมด แต่ก็ควรยืดเวลาการจ่ายหนี้

มิฉะนั้น หากนางเบี้ยวหนี้ สำนักเซ่าฝู่ก็จะไม่ได้สิ่งใดทั้งสิ้น

การเจรจากับสำนักเซ่าฝู่ไม่ราบรื่นนัก

เพียงเพราะเวลานี้สำนักเซ่าฝู่ขาดแคลนเสบียง หัวหน้าของสำนักเซ่าฝู่ถูกฮ่องเต้หย่งไท่ทรงตำหนิมาหลายครั้งแล้ว

ทำให้ทั้งสำนักเซ่าฝู่เหมือนกำลังเผชิญศึกหนัก ไม่ยอมปล่อยเสบียงผ่านไปแม้แต่เมล็ดเดียว

เยียนอวิ๋นเกออยากจะยืดเวลาการจ่ายหนี้ สุดท้ายแล้วก็คือหนี้ในปีนี้ไม่จ่ายแล้ว เมื่อใดที่ภัยธรรมชาติผ่านไป เมื่อนั้นจึงจะจ่ายหนี้

สำนักเซ่าฝู่จะยอมได้อย่างไร

“คุณหนูสี่ ไม่มีผู้ใดทำการค้าแบบท่าน ปีนี้ทุกคนต่างยากลำบาก อย่างน้อยท่านก็จ่ายเสบียงส่วนหนึ่งตามสัญญา เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็สามารถช่วยท่านขอขยายเวลาการจ่ายหนี้จากด้านบน แต่ท่านมาถึงก็จะยืดเวลา ไม่ยอมให้เสบียงแม้แต่เมล็ดเดียวจะได้อย่างไร! ข้าส่งมอบงานไม่ได้ หากด้านบนถามขึ้นมา อาจจะให้เรือนพักร่ำรวยของท่านจ่ายหนี้ทั้งหมดให้ครบในคราวเดียวก็ได้”

เยียนอวิ๋นเกอดื่มชา นางพูดอย่างไม่รีบร้อน “ยาก! ปีนี้เรือนพักร่ำรวยแทบจะไม่มีผลประกอบการ นอกจากนี้ยังมีคนจำนวนมากรอกินข้าว ข้าจะไปหาเสบียงจากที่ใด”

“ข้าไม่สนใจว่าท่านจะหาเสบียงมาจากที่ใด อย่างไรปีนี้ท่านก็ต้องให้เสบียงส่วนหนึ่งแก่สำนักเซ่าฝู่”

เยียนอวิ๋นเกอวางถ้วยชาลง “เช่นนี้ดีกว่า ข้ายังมีเสบียงเก่าอยู่เล็กน้อย ข้าใช้เสบียงเก่าใช้หนี้”

ขุนนางสำนักเซ่าฝู่ปากกระตุก “หากข้าจำไม่ผิด เสบียงเก่าในมือของคุณหนูสี่ล้วนซื้อจากสำนักเซ่าฝู่ท่านใช้เสบียงเก่าของสำนักเซ่าฝู่ใช้หนี้สำนักเซ่าฝู่ ไม่เหมาะสมหรือไม่”

เยียนอวิ๋นเกอเลิกคิ้วยิ้ม “ล้วนเป็นเสบียง ท่านไม่พูด ข้าไม่พูด ผู้ใดจะรู้ว่าเป็นเสบียงเก่า อีกอย่าง สำนักเซ่าฝู่ต้องการเสบียง แต่ไม่ได้บอกว่าต้องการเสบียงเก่าหรือเสบียงใหม่ของปีนี้ อีกอย่าง ปีนี้จะมีกี่คนมีเสบียงใหม่ที่เพียงพอ”

ขุนนางสำนักเซ่าฝู่ขมวดคิ้วมุ่น ไตร่ตรองภายในใจ

เยียนอวิ๋นเกอพูดอีก “พวกเราร่วมมือกันมาหลายปี ท่านช่วยข้าก็เหมือนช่วยตัวเอง ท่านไม่อยากให้ทางข้าเกิดปัญหาใด เพียงแค่สามารถเก็บหนี้ในปีนี้ได้ ช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้ ใต้เท้าก็อาจจะมีโอกาสได้เลื่อนขั้นก็ไม่แน่”

เลื่อนขั้น?

ขุนนางสำนักเซ่าฝู่หวั่นไหว

มีเพียงเขาทำหน้าที่สำเร็จ ผู้อื่นล้วนไม่สำเร็จ เขามีโอกาสได้เลื่อนขั้นจริง

ถึงแม้จะไม่ได้เลื่อนขั้น แต่ก็จะมีภาพจำที่ดีขึ้นต่อด้านบน

เขาเคาะโต๊ะเบาๆ แต่ยังคงตัดสินใจไม่ได้

เยียนอวิ๋นเกอบอกเขา “หากรับเสบียงเก่า ข้าสามารถจ่ายเสบียงจำนวนร้อยละห้าสิบ”

“ร้อยละห้าสิบจริงหรือ”

“ไม่มีคำหลอกลวงอย่างแน่นอน”

“ได้! ข้าให้ท่านใช้เสบียงเก่าใช้หนี้”