ตอนที่ 222 ผู้ใดมีเสบียงผู้นั้นเป็นพี่ใหญ่

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 222 ผู้ใดมีเสบียงผู้นั้นเป็นพี่ใหญ่

เยียนอวิ๋นเกอใช้เสบียงเก่าใช้หนี้ ชำระหนี้ปี้นี้ให้สำนักเส้าฝู่อย่างราบรื่นสมบูรณ์

ทางองค์ชายสอง เซียวเฉิงเหวินนั้น นางก็ทำแบบเดียวกัน

คำเดียว อยากได้เสบียง ได้!

แต่มีเพียงเสบียงเก่า

หากรังเกียจเสบียงเก่าไม่ดี?

ขออภัย ปีนี้ไม่มีทางให้เสบียงได้

ทุกคนต่างต้องกินข้าว!

หรือไม่ในที่นาที่ไร้ผลผลิตยังมีรวงข้าวที่เหี่ยวเฉา สามารถนำไปใช้ได้

เซียวเฉิงเหวินโกรธจนหัวเราะออกมา

“คิดจะใช้เสบียงเก่ามาให้ข้า นางใจกล้าไม่น้อย”

ผู้ใดจะไปรู้ว่าเสบียงเก่าในมือของเยียนอวิ๋นเกอวางไว้นานเพียงใด

หนี่งปี?

สองปี?

หรือสามปี

เสบียงประเภทนี้ไม่อาจขายออกไปได้ในช่วงเวลาที่เงียบสงบ

ถึงแม้จะเป็นครอบครัวที่ยากจน เพียงแค่ยังมีหนทาง พวกเขาก็ย่อมไม่ซื้อเสบียงเช่นนี้มาบรรเทาความหิวโหย

ปีนี้ภัยแล้ง ชีวิตยากลำบาก เสบียงที่ขายไม่ออกในวันปกติกลายเป็นสิ่งของที่ต้องแย่งชิงกัน

อีกทั้งยังสามารถนำมาจ่ายหนี้

เซียวเฉิงเหวินครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะกำชับเฟ่ยกงกง “เจ้าบอกเยียนอวิ๋นเกอ ไม่เอาเสบียงเก่า หากนางยอมใช้เสบียงใหม่ปีนี้ใช้หนี้ ร้อยละห้าสิบ ข้าเอาเสบียงของนางเพียงร้อยละห้ามสิบ”

เฟ่ยกงกงพูดอย่างระมัดระวัง “คุณหนูสี่ให้คนมาบอกว่า ปีนี้เสบียงใหม่จะไม่ออกจากโกดังแม้แต่เมล็ดเดียว”

เซียวเฉิงเหวินขมวดคิ้ว “นางพูดเช่นนี้จริงหรือ”

เฟ่ยกงกงพยักหน้าระรัว “ให้กระหม่อมติดต่อกับหลิงฉางจื้อดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ตระกูลหลิงมีเสบียงเพียงพอ เพียงแต่ระยะทางยาวไกล ขนส่งมายังเมืองหลวงเสียหายเป็นจำนวนมาก”

เซียวเฉิงเหวินหยิบลูกคิดขึ้นมาคิดบัญชี

ปีนี้ภัยแล้ง เสบียงลดการผลิต ราคาขึ้นอย่างบ้าคลั่ง

ราคาเสบียงในเวลานี้ขึ้นสูงถึงหนึ่งหาบสองก้วน

เมื่อสิ้นสุดการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง ราคาเสบียงจะสูงขึ้นอัก ไม่แน่ว่าอาจขึ้นสูงถึงหนึ่งหายสามก้วน

ซื้อเสบียงจากตระกูลหลิง ไม่กล้าแม้แต่จะคิดคำนวณต้นทุน ตัวเลขน่าตกตะลึงเกินไป

เพียงแค่ความเสียหายก็เกือบครึ่ง

คิดอย่างไรก็ไม่คุ้มค่า

มีเงินนี้ สู้ซื้อเสบียงจากเยียนอวิ๋นเกอโดยตรงเสียดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่มีความเสียหาย

เซียวเฉิงเหวินพูดกับเฟ่ยกงกง “หาเยียนอวิ๋นเกอ บอกนาง เสบียงใหม่ร้อยละสี่สิบ ใช้เสบียงร้อยละสี่สิบใช้หนี้ทั้งหมดในปีนี้ ข้าถอยได้มากสุดเพียงเท่านี้ อย่าคิดจะใช้เสบียงเก่ามาหลอกข้า นอกจากนี้ทางตระกูลหลิงสามารถติดต่อได้ แต่เจ้าต้องไม่ออกหน้า ส่งพ่อค้าเสบียงไปแทน”

“กระหม่อมรับคำสั่ง!”

“ใช้เสบียงใหม่ร้อยละสี่สิบจ่ายหนี้? เขาฝันอยู่หรือ!”

เมื่อได้รับข่าวจากจวนองค์ชาย เยียนอวิ๋นเกอก็ปฏิเสธทันควัน

เวลานี้ ผู้ใดมีเสบียงผู้นั้นเป็นพี่ใหญ่

เรือนพักร่ำรวยลดการผลิต แรงกดดันสูง แต่นางเยียนอวิ๋นเกอมีเสบียง

ในโกดังมีเสบียงจำนวนมาก

เพียงแต่เสบียงใหม่น้อย เสบียงเก่ามาก

เสบียงใหม่เป็นที่ต้องการ สามารถขายได้ราคาดี นางจะใช้เสบียงใหม่ใช้หนี้ได้อย่างไร

ฝันไปเถิด!

“บอกคนผู้นั้น ปีนี้ข้าไม่มีเสบียงใหม่แม้แต่เมล็ดเดียว มีแต่เสบียงเก่า จะเอาหรือไม่ก็ตามใจ”

นางไม่มีทางเกรงใจเซียวเฉิงเหวินเพียงเพราะเห็นแก่หน้าของพี่รอง

เรื่องการค้าเป็นเรื่องของการค้า

ตอนนั้นเซียวเฉิงเหวินช่วยนางเจรจากับสำนักเส้าฝู่ ช่วยเหลือนางบุกเบิก นางซาบซึ้งใจอย่างมาก

ดังนั้นจึงสัญญาว่าจะให้เสบียงสองพันหาบแก่เขาทุกปี ไม่เก็บเงินแม้แต่สลึงเดียว แม้แต่ค่าขนส่งก็รับผิดชอบเอง

ต่อเนื่องหลายปี นางไม่บ่นแม้แต่น้อย

แต่ปีนี้ไม่ได้!

ระหว่างช่วงภัยแล้ง นางสามารถรักษาสัญญา เพียงแต่นางให้ได้แค่เสบียงเก่า

เขาไม่คิดดูว่าเวลานี้เสบียงราคาสูงเพียงใด

เสบียงสองพันหาบ แม้จะเป็นเสบียงเก่าก็สามารถแลกเป็นเงินได้หลายพันก้วน

สมัยนี้ เงินมีมูลค่า

มีกำลังในการจับจ่ายมาก

ตระกูลใดมีเงินหลายพันก้วนก็เพียงพอที่จะเป็นเจ้าถิ่นที่มีหน้ามีตา พัฒนาไปอีกกี่ปีก็อาจกลายเป็นผู้มั่งมีในท้องถิ่น

ต้องรู้ว่าถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาที่สภาพอากาศดี ส่วยทั้งปีของราชวงศ์ต้าเว้ยก็มีเพียงสามล้านถึงห้าล้านก้วน

เงินเพียงเท่านี้กลับเพียงพอต่อรายจ่ายทั้งหมดของราชสำนัก

เห็นได้ชัดว่ากำลังในการจับจ่ายของเงินในสมัยนี้แข็งแกร่งเพียงใด

มีเพียงปีนี้ที่เงินเฟ้อ กำลังการจับจ่ายของเงินจึงลดค่าลง

เมื่อภัยธรรมชาติผ่านไป ใช้เวลาเพียงสามเดือนถึงครึ่งปี ราคาสินค้าก็จะตกลงมา เงินยังคงจะแข็งค่าเหมือนเดิม

ระหว่างเยียนอวิ๋นเกอและเซียวเฉิงเหวินต่างเลือกที่จะใช้คนส่งสาร หากแต่ไม่ใช่การนั่งเจรจาต่อหน้า

ไม่จำเป็น!

เห็นได้ชัดว่าตกลงไม่ได้ หากนั่งลงเจรจากันคงจะทำร้ายกันเสียเปล่า

เยียนอวิ๋นเกอไม่รีบ เพราะสิทธิ์อยู่ในมือนาง

นางมีเสบียง นางเป็นใหญ่

เซียวเฉิงเหวินก็ไม่รีบ เขาอยากได้เสบียงในมือของเยียนอวิ๋นเกอ แต่ก็ไม่ได้รีบร้อนถึงขั้นยากจน

ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ยอมถอย ลำบากแต่บ่าวรับใช้ที่เป็นคนกลางส่งสาร

เรื่องนี้เยียนอวิ๋นฉีก็รู้

แต่นางไม่ได้แทรกแซง

ตอนพบหน้าน้องสี่ เยียนอวิ๋นเกอ นางไม่แม้แต่จะเอ่ยถึงเรื่องนี้

ตอนที่นางพูดคุยกับบ่าวรับใช้ นางพูดขึ้น “เรื่องการค้าย่อมต้องเป็นส่วนของการค้า ข้าลำเอียงช่วยเหลือผู้ใดล้วนไม่เหมาะสม ช่วยเหลือองค์ชาย น้องสี่ย่อมต้องโทษข้า ช่วยเหลือน้องสี่ องค์ชายย่อมต้องมีความเห็น สู้แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ปล่อยให้พวกเขาเจรจากันเอง อีกทั้งองค์ชายและน้องสี่ต่างมีทีท่าชัดเจน เรื่องนี้พวกเขาไม่ต้องการให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องแทรกแซง”

“ฮูหยินไม่กลัวองค์ชายเกิดความขัดแย้งกับคุณหนูสี่หรือเจ้าคะ”

“ไม่มีทาง องค์ชายและน้องสี่ต่างรู้ขอบเขตดี แม้จะเจรจาไม่สำเร็จ แต่ก็ไม่ถึงขั้นบาดหมาง”

สุดท้ายเยียนอวิ๋นเกอก็ยังคงเดินทางไปยังเรือนพักร่ำรวย

อย่างไรก็เป็นกิจการของตนเอง แม้จะดูไม่ได้เพียงใดก็ต้องไปดู

เสบียงใหม่เข้าโกดัง เมื่อมองดูเสบียงที่ไม่เต็มโกดัง เยียนอวิ๋นเกอก็หมดหนทางอย่างมาก

เยียนสุยพลิกดูบัญชี พร้อมรายงานตัวเลขให้นาง “เสบียงทั้งหมดลดผลผลิต โดยเฉพาะข้าว ลดลงเกือบร้อยละเจ็ดสิบ สามารถรักษาผลผลิตไว้ร้อยละสามสิบเพราะตอนเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิมีการกักเก็บน้ำที่เพียงพอ มิฉะนั้นข้าวในปีนี้คงเหมือนกับที่อื่น ไร้ผลผลิต”

เยียนอวิ๋นเกอปวดฟันอย่างมาก

ผลผลิตลดลงเกือบร้อยละเจ็ดสิบ เสบียงใหม่ที่เหลือร้อยละสามสิบก็มีคุณภาพแย่มาก

ปีนี้จะผ่านไปได้อย่างไร

นางออกคำสั่งทันที “ค่าแรงของทุกคนลดอีกร้อยละสี่สิบ ทุกคนต่างฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกัน”

นางก็หมดหนทาง

นางมีเสบียง แต่ผู้ใดก็ไม่อาจรู้ว่าภัยแล้งจะต่อเรื่องนานเพียงใด

เสบียงย่อมต้องมีวันหมด

หากเสบียงกินหมดแล้ว ภัยแล้งยังคงอยู่จะทำอย่างไร

เตรียมการไว้ล่วงหน้า เวลานี้ทำได้เพียงรับรองความต้องการในการใช้ชีวิตพื้นฐานของทุกคน

ผู้ใดให้เรือนพักร่ำรวยกักตุนไม่เพียงพอ

การบุกเบิกเพียงไม่กี่ปี ไม่อาจเทียบตระกูลขุนนางที่มีรากฐานแน่นหนาได้

อาทิตระกูลหลิง อย่าว่าแต่ภัยแล้งเพียงปีเดียว ถึงแม้ภัยแล้งเป็นสิบปี ตระกูลหลิงก็ไม่ต้องกลุ้มใจเพราะเสบียง

ตระกูลขุนนางอายุหลายร้อยปีมีรากฐานแน่นหนา มีการกักตุนที่อุดมสมบูรณ์ยากเกินว่าผู้ใดจะจินตนาการ

อย่างไรก็ตาม เยียนอวิ๋นเกอเริ่มกังวลเรื่องเสบียงแล้ว แต่ตระกูลหลิงยังสามารถเฉลิมฉลองได้

มันคือความแตกต่าง!

เยียนสุยได้ยินว่าค่าแรงลดอีกร้อยละสี่สิบ เขาอ้าปากแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา

จี้ผิงเสนอ “สู้กำจัดคนส่วนหนึ่งออกไปดีกว่า หลังจากการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงเสร็จสิ้น สิ้นปีแทบจะไม่มีงาน เลี้ยงคนไว้มากมายย่อมมีแรงกดดันมาก อีกทั้งยังสิ้นเปลืองเสบียง”

เยียนสุยถอนหายใจ เขาไม่อาจคัดค้านข้อเสนอของจี้ผิงได้

เสบียงลดผลผลิตลงร้อยละเจ็ดสิบทำให้เขาหมดความมั่นใจ

เยียนอวิ๋นเกอหยิบถั่วเหลืองขึ้นมากำหนึ่ง

แห้งแล้งขาดน้ำ คุณภาพของถั่วเหลืองไม่ดี

เครื่องปรุงหรือน้ำมันที่ทำออกมาล้วนคุณภาพต่ำ

นางปล่อยมือ ถั่วเหลืองกลิ้งหล่นลงไป

นางพูด “ทำทางน้ำ สร้างบ่อน้ำ พยายามชักนำน้ำจากแม่น้ำเว่ยเข้ามา”

จี้ผิงตกใจ “คุณหนู ทำเช่นนี้ต้องเสียเงินจำนวนมาก เพียงแค่เรือนพักร่ำรวยของพวกเราจะแบกรับงานที่ใหญ่เพียงนี้ได้อย่างไร”

ไม่ใช่ไม่อยากทำทางน้ำ แม้แต่ฝันยังอยาก

เพียงแต่งานใหญ่เกินไป แบกรับไม่ไหว

เยียนอวิ๋นเกอพูด “ข้าหาทางเอาเงินมาจากราชสำนัก”

เพียงแต่นางควรติดหนี้บุญคุณผู้ใด

การเอาเงินจากราชสำนักไม่ใช่เรื่องง่าย

นางควรติดหนี้บุญคุณองค์ชายสอง เซียวเฉิงเหวิน หรือหลิงฉางจื้อ หรือพระราชบุตรเขยหลิวเป่าผิง

อย่างไร นางไม่มีทางติดหนี้บุญคุณเยียนอวิ๋นฉวน

เพราะเยียนอวิ๋นฉวนไม่มีความสามารถในการควบคุมการตัดสินใจของราชสำนัก โดยเฉพาะเกี่ยวข้องกับเรื่องการสร้างทางน้ำ

คนที่นางรู้จักอย่างเซียวเฉิงเหวิน หลิงฉางจื้อหรือหลิวเป่าผิงล้วนสามารถทำเรื่องนี้ให้สำเร็จได้

เพียงแต่ติดหนี้บุญคุณมาก

ปวดหัว!

เรื่องที่ทำให้ปวดหัวยิ่งขึ้นคือ ด้ายป่าน ใยไหม ดอกนุ่นล้วนเผชิญกับผลผลิตที่ลดลงเช่นเดียวกัน

ซึ่งหมายความว่าโรงงานถักทอไม่มีวัสดุในการใช้ทอผ้า

สิ้นปีนี้ เยียนอวิ๋นเกอคาดหวังจะหาเงินจากผ้าผืน

เมื่อไม่มีวัสดุ นางจะใช้สิ่งใดทอผ้า ใช้สิ่งใดหาเงิน

หายนะไม่ได้มาเดี่ยวๆ เสียจริง

หายนะของภัยแล้งร้ายแรงกว่าภัยน้ำหลากอย่างมาก

สิ่งสำคัญคือกินเวลายาวนาน

ผลผลิตการเกษตรทั้งหมด ผลผลิตเศรษฐกิจทั้งหมดล้วนลดผลผลิต ปีนี้ไม่ต้องกินข้าวแล้ว

“ไม่มีอาจารย์ดูสภาพอากาศที่มีความสามารถดูว่าภัยแล้งจะจบสิ้นเมื่อใดกันหรือ”

เยียนอวิ๋นเกอถามออกมาจากใจ

สมัยนี้ อาจารย์ดูสภาพอากาศที่มีความสามารถหายไปอยู่ไหนกัน

หรือว่าล้วนหลบอยู่ในภูเขา ไม่ยอมออกมาแม้แต่ช่วงภัยแล้งหรือ

นางตัดสินใจ “ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหาอาจารย์ดูสภาพอากาศที่มีความสามารถมาไว้ข้างกาย”

ขาดแคลนผู้มีความสามารถ!

เยียนอวิ๋นเกอเดินไปดูที่ลานจัตุรัส ถึงแม้จะเป็นคนที่ทำงานอยู่ในเรือนพักก็มีสีหน้าอิดโรย

ชีวิตยากลำบาก ทุกคนต่างต้องประหยัดเสบียง กักตุนเสบียงเอาไว้

ไม่แน่ว่าเสบียงที่กักตุนเอาไว้จะสามารถช่วยชีวิตได้ในบางเวลา

เนื้อ กินไม่ได้

น้ำมัน ก็กินไม่ไหว

แต่ละวันกินเพียงข้าวต้มผักดอง สามารถอิ่มท้องก็เพียงพอ

ดังนั้นทุกคนต่างมีสีหน้าย่ำแย่

คนที่ทำงานทุกวัน มีเสบียงให้รับทุกวันยังเป็นเช่นนี้

ด้านนอกเรือนพัก ชาวนาเหล่านั้นจะมีชีวิตที่ยากลำบากเพียงใด

แต่ครอบครัวส่วนใหญ่ล้วนไม่มีทรัพย์สิน

พวกเขาไม่มีความสามารถในการต่อต้านกับความเสี่ยงแม้แต่น้อย

เมื่อภัยธรรมชาติมาเยือน ครอบครัวก็แตกสลาย

“การกักตุนสำคัญมาก!” เยียนอวิ๋นเกอพึมพำ

เยียนสุยรีบถาม “คุณหนูมีรับสั่งใดขอรับ”

เยียนอวิ๋นเกอส่ายหน้า “เพิ่มคนอีกหนึ่งเท่าดูแลโกดัง ตั้งเขตหวงห้าม ไม่อนุญาตให้คนแปลกหน้าใดเข้าใกล้โรงงานและโกดัง ให้โรงตีเหล็กผลิตอาวุธให้มากขึ้น เพิ่มคนเฝ้าระวังในทุกด่าน”

“คุณหนูกังวล?”

เยียนอวิ๋นเกอพูดอย่างจริงจัง “สิ้นสุดการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง ปีนี้ผลผลิตเป็นอย่างไร คิดว่าทุกคนต่างรู้ดี ฤดูหนาวใกล้เข้ามาแล้ว หากไม่อยากตายก็ต้องรีบเคลื่อนไหวกักตุนเสบียงในฤดูหลายนี้ เสบียงมาจากที่ใด นอกจากแย่งชิงมา ยังมีวิธีอื่นอีกหรือ

คิดว่ามีคนจำนวนมากจับจ้องเรือนพักร่ำรวยเอาไว้แล้ว ตรวจสอบผู้ลี้ภัยและผู้เช่าแปลงนาอย่างเข้มงวด หากพบว่ามีคนติดต่อกับผู้ลี้ภัยด้านนอก ยอมฆ่าผิดดีกว่าปล่อยผ่าน ขับไล่พวกเขาไปให้หมด ทางชาวบ้านท้องถิ่นก็ไม่อาจชะล่าใจ ไม่แน่ว่ามีคนแอบติดต่อกับโจรบนภูเขา”

*********艾琳小說***********