การประลองนี้สิ้นสุดลงด้วยความพ่ายแพ้ของเซเลสเต้

มันเป็นผลลัพธ์ที่ทุกคนคิดไว้

ตั้งแต่แรกการประลองนี้ก็เป็นสิ่งที่มีไว้ให้สำหรับปรมาจารย์เพื่อให้ ‘บทเรียน’ กับฝ่ายตรงข้ามอยู่แล้ว

แต่แทนที่พวกเขาจะได้ดูปรมาจารย์คนนั้นให้บทเรียนกับอีกฝ่ายในการประลองความสนใจของทุกคนกลับไปอยู่ที่เซเลสเต้กับซอดัมแทน

ยอดมนุษย์แรงค์ D ที่เกือบจะโจมตีโดนแรงค์ S เต็มๆและอีกหลายต่อหลายครั้งที่เธอสามารถบล็อกหรือหลบการโจมตีเหล่านั้นได้

ภายใต้การให้คำแนะนำของชายที่ชื่อว่ายูซอดัม

ความหมายบ้าอะไรกันที่อยู่เบื้องหลังสิ่งที่เขาได้พูดไประหว่างการประลองกันแน่?

แต่เรื่องนั้นมันไม่ได้สำคัญแล้ว

สิ่งที่สำคัญก็คือเพลงดาบที่ถูกสอนให้โดยยูซอดัมมีประสิทธิภาพมากจนสามารถที่จะต่อกรกับคนที่ ‘ความความสามารถด้านกายภาพแข็งแกร่งกว่าตนเองได้’

……………………………………………………..

……………………………………………………..

‘บ้าเอ้ย…’

อาเรนนั่งจิบไวน์อยู่ในมุมหนึ่งของร้านอาหารในโรงแรมอย่างเงียบๆ

หลังจากที่งานทั้งหมดได้จบลงมันมักจะมีปาร์ตี้หลังงานเสมอและในปีนี้ เหล่าปรมาจารย์ทั้งหมดก็ได้มารวมตัวกันที่ร้านอาหารใน ‘โรงแรมเจเอส’ ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาไม่เกินสามปีก่อนเพราะว่างานอภิปรายที่ถูกจัดขึ้นที่เกาหลี

ในขณะเดียวกันยูซอดัมและเทเลอร์ได้หายตัวไปโดยที่พวกเขาได้บอกไว้ว่ามีบางที่ที่จะต้องไปดังนั้นอาเรนจึงไม่ต้องเจอพวกเขาอีกแม้ว่าเขาจะยังอารมณ์เสียอยู่เลยก็ตาม

อาเรนรู้ดี

ความจริงที่ว่าเหล่าปรมาจารย์ทั้งหลายเข้าหายูซอดัมเพื่อที่จะให้ของขวัญหรือแลกเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์หลังจากงานได้จบลงเพราะว่าคนพวกนี้เห็นถึงความเป็นไปได้

แต่เรื่องพวกนั้นไม่ได้สิ่งที่สำคัญกับเขาในตอนนี้

‘…เกิดอะไรขึ้นกับเครื่องรางพวกนี้กันแน่?’

มีเครื่องรางสี่อันที่ยังคงปกติดี

แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีปัญหาอยู่ที่เครื่องรางที่มีความสามารถเสริมแกร่ง,เสริมความเร็ว และช่วยเล็ง

สิ่งประดิษฐ์พวกนี้ทำงานไม่เป็นปกติอีกเลยหลังจบการประลองเป็นต้นมา

ไม่ว่าอัดอากาศและลดแรงเสียดทานจะมีประโยชน์สำหรับอาเรนแค่ไหน ความแข็งแกร่งด้านร่างกายของเขาอย่างดีที่สุดก็ยังเป็นแค่แรงค์ B

‘บ้าที่สุดเลย เครื่องราวพวกนี้เลือกช่วงเวลาเจ๊งในตอนที่แย่ที่สุดซะได้…ฉันคงต้องโทรไปอีกแล้วสินะ’

คิดไปแล้ว อาเรนก็กำไปที่ข้อมือของตน

มันก็เป็นเวลาสักพักแล้วที่ความเจ็บปวดพวกนี้ได้เริ่มเกิดขึ้น

อาการพวกนี้เริ่มที่จะกำเริบขึ้นตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน ทำให้เขาต้องใช้ยาแก้ปวดอยู่บ่อยครั้ง แต่ความเจ็บปวดพวกนี้จะยกระดับขึ้นในตอนที่เครื่องรางถูกปิดการใช้งาน

ราวกับว่าความเจ็บปวดที่ถูกระงับไว้ได้ระเบิดออกมา

ด้วยเหงื่อที่เย็นเยียบบนใบหน้าของเขา เขาได้นวดไปที่ข้อมือของตน

ทันใดนั้นเอง

ตูม!!

“อ-อะไรนะ!”

ตึกของโรงแรมนี้กำลังสั่น

“วู้! วู้!”

[เกตที่ผิดปกติได้ปรากฎขึ้น!]

[เกตที่ผิดปกติได้ปรากฎขึ้น!]

[ประชาชนทั้งหลาย โปรดดำเนินการตามมาตรการการอพยพในทันที]

“หา อะไรกันเนี่ย”

“ในเวลาแบบนี้อะนะ…”

มันไม่ได้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติในทุกวันนี้แม้ว่ามันจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งในอดีต

ในปัจจุบันเกตและดันเจี้ยนทั่วไปจะถูกทำนายไว้โดย ‘นักทำนาย’ บนโลกแต่ในตอนนี้ เกตนี้มันปรากฏขึ้นมาโดยที่ไม่มีใครคาดได้เลย

[เกตได้ถูกระบุแล้วว่าเป็นแรงค์ A ซึ่งมีตำแหน่งอยู่ที่ดาดฟ้าของโรงแรมเจเอส]

[หน่วยสนับสนุนฉุกเฉินกำลังเดินทางไปยังพื้นที่เป้าหมายดังนั้นประชาชนที่อยู่ในบริเวณนี้โปรดอยู่ในความสงบและทำการอพยพโดยด่วน]

“บ้าเอ้ย มันอยู่ที่ดาดฟ้าของตึกนี้!”

“ให้ทุกคนอพยพออกไปเร็ว”

ในขณะที่ผู้คนเริ่มต้นที่จะเคลื่อนที่กันอย่างรวดเร็ว อาเรนก็ได้ยืนขึ้นเช่นกัน

การปราบปรามเกตแรงค์ A นั้นยากมากสำหรับเขาเช่นกันตั้งแต่ในตอนที่เขาไม่รู้ว่าเครื่องรางของตนมันจะทำงานได้ไหม

แต่อย่างไรก็ตามผู้คนโดยรอบไม่ได้ปล่อยในเขาอยู่คนเดียว

“ฮันเตอร์อาเรนครับ!”

เจ้าหน้าที่วัยกลางคนที่สวมใส่อยู่ในชุดสูทและเด็กเสิร์ฟอีกสี่ถึงห้าคนรีบตรงไปที่อาเรน

“ฮันเตอร์อาเรนครับ ถ้าคุณไม่ได้ติดขัดอะไร คุณสามารถที่จะขึ้นไปบล็อกเกตบนหลังคาได้ไหมครับ? มันจะต้องใช้เวลาเล็กน้อยก่อนที่กำลังสนับสนุนจะเดินทางมาถึงนะครับ ผมดีใจมากเลยที่มีฮันเตอร์อาเรนอยู่ที่นี้กับเราในตอนนี้”

“…อ้า”

แม้เกตอาจจะอยู่บนดาดฟ้าแต่แน่นอนว่ามอนสเตอร์จะต้องลงมา และสร้างความหายนะไปทั่วทั้งตึกแน่ในตอนที่พวกมันลง

มันจะต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งก่อนที่กำลังเสริมและหน่วยฉุกเฉินอื่นๆจะมาถึง

และพวกเขาคิดว่าอาเรนซึ่งมีแรงค์ S คนนี้จะต้องสามารถยื้อเวลาไว้ได้อยู่แล้ว

“เออ”

“โชคดีจริงๆเลยครับ ที่ฮันเตอร์อาเรนอยู่ที่นี่”

“นั้นสิโล่งใจเลยหละ”

อย่างไรก็ตามอาเรนไม่ได้สามารถที่จะตอบกลับไปได้

ทำไมถึงได้เกิดเรื่องพวกนี้ขึ้นกัน?

เพราะว่าเขาโชคร้ายนะเหรอ?

หรือเพราะว่าสภาพอากาศที่แย่

เขาไม่รู้เลย

แต่มันเป็นสถานการณ์ที่เขาไม่สามารถที่จะพูดว่าไม่ออกไปได้เท่านั้นเอง

“…ฮ่าฮ่า แน่นอนๆ ผมจะไปเดวนี้แหละครับ”

พูดไปเช่นนั้น เขากำมือของตัวเองแน่นแล้วรีบสวมชุดอีเทอร์อย่างรวดเร็วโดยใช้ตัวปล่อยอีเทอร์พกพา

ถึงแม้ว่ามันจะมีพลังป้องกันที่น้อยกว่าชุดสูทอีเทอร์เกรด 3 มันก็ยังง่ายต่อการสวมใส่,พกพาสะดวก และเป็นอุปกรณ์ที่มีต้นทุนในการสร้างหลายพันล้านวอนราวกับว่ามันเป็นไอเทมที่อยู่ในเกรด ‘มีชื่อ’

พร้อมด้วยดาบอีเทอร์แรงค์ ‘มีชื่อ’ ในมือของเขา ในที่สุดอาเรนได้มุ่งตรงไปยังชั้นดาดฟ้าแผ่นหลังของเขาได้หายไปจากสายตาของทุกคน

อึก

เสียงของมอนสเตอร์ที่ได้ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างดังออกมา

บวกกันเสียงกรีดร้องของเหล่าผู้คนมากมาย

เขาเดาว่ามันจะต้องมาจากผู้คนที่อยู่บนชั้นดาดฟ้าที่ถูกโจมตีโดยมอนสเตอร์เหล่านั้น

แต่แม้จะได้ยินเสียงพวกนั้น อาเรนก็ไม่ได้ก้าวออกไป

เมื่อปราศจากเครื่องรางอย่างมากเขาก็เป็นได้แค่แรงค์ B

มันชัดเจนที่เขาจะตายถ้าเขาพยายามที่จะจัดการกับเกตแรงค์ A นี้

‘นี่…นี่มันเป็นไปไม่ได้ ฉันทำมันไม่ได้หรอก’

หากเขาเปิดประตูออกหละก็มันจะเข้าสู่ชั้นดาดฟ้าทันที

นั้นเป็นเหตุผลที่ทำให้อาเรนไม่สามารถที่จะเปิดประตูนี้ได้

มันดีกว่าที่จะแค่เสียเกียรติ

‘ใช่แล้ว แค่ฉันวิ่งหนีไปในตอนนี้’

คิดได้ดังนั้นแล้ว ในจังหวะที่อาเรนได้หมุนตัวกลับไปและพยายามที่จะหนีออกมา

“พวกเรามาช่วยแล้วครับฮันเตอร์อาเรน”

“…อะไรนะ?”

เบื้องหน้าของเขาเป็นเหล่าปรมาจารย์ดาบทั้งหลายโดยที่แต่ละคนมีตัวปล่อยอีเทอร์อยู่ในมือได้ยืนตัวตรงอยู่

…อีกแล้ว ปรมาจารย์พวกนี้

ในอีกความหมายหนึ่ง พวกคนธรรมดา

เขาไม่รู้ว่าคนพวกนี้ได้เอาตัวปล่อยอีเทอร์ของพวกเขามาจากไหนในตอนที่อยู่ในภาวะฉุกเฉินเช่นนี้แต่นี้ไม่ใช่เกตที่คนธรรมดาจะจัดการกับมันได้

“ทุกคนครับ พวกคุณไม่สามารถที่จะจัดการกับมันได้หรอก! มันจะเป็นความตายที่น่าสมเพชแทนนะครับ!”

“พวกเรารู้ดีแต่คนบริสุทธิกำลังล้มตายอยู่ครับ ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่ได้มีพลังพิเศษใดๆก็ตามแต่พวกเราก็ใช้ชีวิตของพวกตนเปรียบดังคบดาบมาทั้งชีวิตแล้วมันจะเป็นไปได้อยู่นะครับที่จะใช้ชีวิตของพวกเราในการต้านมอนสเตอร์พวกนั้นไว้ก่อนที่กำลังสนับสนุนจะมาถึงนะครับ”

พูดออกไปเช่นนั้นปรมาจารย์ทั้งหลายได้เปิดประตูออกและก้าวออกไปด้วยความภาคภูมิใจ

อาเรนยิ้มออกมาอย่างเศร้าๆและโค้งหัวของตนเองลง

ร่างกายของพวกเขาแข็งแกร่งเพียงแค่แรงค์ F เท่านั้นเอง

อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ยังพยายามที่จะต่อสู้กับศัตรูที่เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะรับมือ

‘อะไรคือแรงค์ B หรือ S’

เขานึกย้อนกลับไปถึงคำที่เทเลอร์ได้พูดกับเขาออกมาในทันที

‘เพียงแค่เพราะว่าเขาเป็นแค่ฮันเตอร์แรงค์ F แล้วคุณค่าความเป็นคนของเขาจะเป็นเพียงแค่แรงค์ F งั้นหรอ?’

เขาเข้าใจความหมายของคำพูดพวกนั้นในตอนนี้เอง

ทั้งที่เป็นแรงค์ B แต่เขากลับกำลังจะทำสิ่งที่ให้อภัยไม่ได้เพียงเพราะเจอกับเกตแรงค์ A ที่ปรากฎขึ้นตรงหน้าในขณะที่ยูซอดัมกลับเอาชีวิตรอดมาได้ในสนามรบตั้ง 15 ปีด้วยการเป็นเพียงแค่แรงค์ F

เขาเงยหน้าของตนเองขึ้นอีกครั้ง

แม้ว่าข้อมือของเขา ร่างกายทั้งร่างของเขาจะเจ็บปวดและเครื่องรางพวกนี้ก็ยังไม่สามารถทำงานได้อย่างเหมาะสม

…แต่แล้วอย่างไรหละ ยังไงซะเขาก็ยังคงเป็นฮันเตอร์อยู่ดี

“เชี่ย…นี้มันวันห่าอะไรกันวะเนี่ย…”

พูดเช่นนั้น อาเรนได้กระแทกประตูออกไปยังดาดฟ้า

ถึงแม้ว่าความสามารถของเขาจะอ่อนแอลง แต่สิ่งที่ส่องประกายออกมาจากดวงตาของเขาในตอนนี้นั้นเจิดจรัสยิ่งกว่าตอนที่เป็นแรงค์ S ซะอีก

……………………………………………………..

……………………………………………………..

วันถัดมา

การตื่นมาพร้อมกับความปวดหัวตึบๆที่กำลังรุมเร้า ฉันหันหน้าไปมองในทันทีเมื่อรู้สึกถึงน้ำหนักของบางสิ่งที่อยู่บนแขนของตน

เทเลอร์ที่อยู่ใต้ผ้าห่มกำลังหลับสนิทในท่าทีแขนของเธอพันรอบแขนของฉันไว้แน่น

เพราะว่าพวกเราดื่มกันหนักเกินไปเมื่อคืนนี้ พวกเราเลยมาอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่เช่นนี้

เช็คไปที่โทรศัพท์ของตน มีสายเรียกเข้ามาจากฮันเตอร์บางคนและบางคนก็เป็นเหล่าปรมาจารย์

ส่วนใหญ่เกี่ยวกับการนัดมาทานอาหารด้วยกัน

[ลีจุนซอก : คุณพอจะมีเวลามาทานมื้อเที่ยงกับผมสักมื้อไหมครับ?]

มันมีสายที่มาจากลีจุนซอกเช่นกัน

ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมชายคนนี้ถึงได้มาสนใจในตัวฉัน

แม้แต่ตอนที่ฉันจะกลับมาที่บ้านเมื่อวานนี้ เขาก็ยังชวนฉันไปกินปิ้งย่างเกาหลีแต่ฉันได้ปฏิเสธไป

[เซเลสเต้ : ขอบคุณมากนะคะ สำหรับเรื่องเมื่อวาน]

สำหรับในตอนนี้ ฉันเลือกที่จะตอบเซเลสเต้กลับ

[ยูซอดัม : ทำได้ดีมาก]

ฉันก็ได้รับผลประโยชน์มามากเช่นกันดังนั้นมันเป็นการได้รับทั้งสองด้าน

การซ่อนตัวอยู่ภายใต้ตระกูลคอสแตนตีนิควรที่จะป้องกันลอสเดย์จากการทำสิ่งใดก็ตามกับฉันไปได้สักพักหนึ่ง

บางทีสำหรับในตอนนี้ ฉันอาจจะอยู่กับพวกเขาจนกระทั้งฉันสามารถที่จะสร้างขุมกำลังของตนเองขึ้นมาได้

หลังจากที่เกือบจะไม่สามารถดึงแขนของเทเลอร์ออกไปได้ ฉันได้คลานไปทางทีวีเก่าๆของตนและเปิดดูข่าว

มันเป็นแค่ความเคยชิน

กับการที่ต้องเปิดดูข่าวหรือไม่ก็รายการทอล์กโชว์ในตอนเช้าเพื่อให้มันมีเสียงภายในบ้าน

[ข่าวด่วน! มีดันเจี้ยนที่ผิดปกติที่ได้ปรากฏขึ้นที่ชั้นดาดฟ้าของโรงแรมเจเอสในช่วงเวลาราวๆหนึ่งทุ่มตรงเมื่อเย็นวานนี้]

“หะ?”

ถ้ามันเป็นโรงแรมเจเอสหละก็มันจะต้องเป็นที่ๆเหล่าปรมาจารย์ทั้งหลายอยู่กันเมื่อวานนี้อย่างแน่นอน

ฉันชักเริ่มจะสนใจขึ้นมาและยิ่งได้ฟังไปมากเท่าไหรเรื่องก็เริ่มที่จะน่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ

[ต้องขอบคุณความพยายามของเหล่าปรมาจารย์ดาบทั้งหลายและฮันเตอร์แรงค์ S ที่อยู่ในเหตุการณ์ซึ่งได้ผนึกกำลังร่วมกันบล็อกทางเข้าดันเจี้ยนนี้ไว้จนกระทั้งกำลังเสริมมาถึงได้ทันเวลาโดยที่ไม่มีผู้เสียชีวิตใดๆเลยสักคนค่ะ]

[ฮันเตอร์แรงค์ S ‘อาเรน’ ได้กล่าวไว้ว่าหากว่าตนไม่ได้รับความช่วยเหลือจากปรมาจารย์กลุ่มนี้หละก็เขาคงจะไม่สามารถช่วยเหลือพลเรือนกลุ่มนี้ได้โดยไร้ข้อผิดพลาดเช่นนี้แน่…]

“โอ้ว?”

อาเรนไม่ใช่คนประเภทที่จะพูดอะไรแบบนี้

หรือว่าเขาเปลี่ยนไปแล้วอย่างนั้นเหรอ?

นี้ทำให้ฉันประหลาดใจมาก

“ไม่ว่าจะทางไหนก็ตาม มันอาจจะเป็นหายนะได้”

สภาพของอาเรนนั้นเลวร้ายเป็นอย่างมากและฉันได้ปิดการใช้งานสิ่งประดิษฐ์พวกนั้นของเขาไปแล้วแต่ฉันไม่คิดว่าเกตจะมาปรากฏขึ้นแบบนี้

แม้ว่าอาเรนอาจจะทำให้สิ่งประดิษฐ์พวกนั้นกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิมแต่มันไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถกลับใช้เวทมนตร์จากมันได้อีก

เพราะร่างกายของเขาในตอนนี้ได้รับภาระจากสิ่งประดิษฐ์พวกนี้มากเกินไปจากการใช้งานที่ผ่านมา

ถ้าเขายังใช้สิ่งประดิษฐ์เหล่านี้ไปมากกว่านี้ด้วยร่างกายที่มีสภาพย่ำแย่แบบนั้นอีกหละก็…

บางสิ่งที่เลวร้ายคงจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน

“เฮ้”

“…หืม”

“เธอต้องการราเมนบ้างไหม?”

“ฟูว…”

เธอพูดอะไรนะ?

อาการเมาค้างของเธอดูเหมือนว่าจะหนักมากจนถึงขั้นที่เธอไม่สามารถจะพูดได้อย่างคนปกติเลย

ฉันเดินไปที่ซิงค์ล้างจานอย่างเบาๆ

ฉันวางแผนไว้ว่าจะทำราเมนเป็นอาหารเช้าแล้วก็ค่อยติดต่อไปยังผู้หวนคืนต่างมิติที่ฉันได้เจอเพื่อที่จะค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ‘มูริม’ ในตอนมื้อเที่ยง

และฉันก็ต้องทำการค้นคว้าเกี่ยวกับเวทมนตร์ในตอนบ่ายๆ

ฉันได้เรียนรู้มามากเลยจากอาเรน

แต่ถึงอย่างนั้นในทันทีที่ฉันมีความคิดเช่นนั้นเจ้าพืชที่อยู่ในช่องเก็บของก็ได้คร่ำครวญออกมา

[แม่มด…แม่มด]

“อะไร?”

ฉันเองกระถางดอกไม้ออกมาจากช่องเก็บของอย่างรวดเร็วและเห็นว่ามันกำลังเหี่ยวเฉาและสั่นเทา

[มันเจ็บ…]

“มันเจ็บ?”

[งืม ฉันเหนื่อย…]

คิดดูแล้วกระถางดอกไม้ก็มีขีดจำกัดของตัวมันเองนี่น่า

นอกจากนี้ ที่นี้เป็นในยุคสมัยใหม่ทำให้ฉันไม่มีทางเลือกนอกจากการสร้างสภาพแวดล้อมชั่วคราวด้วยการใช้คริสตัลอีเทอร์และวัสดุจากต่างโลก

ฉันต้องใช้มาตรการที่เหมาะสม

“บ้าเอ้ย ฉันควรจะต้องทำยังไงดี?”

ห้องสมุดของแม่มดขาวเพียงแค่เขียนไว้อย่างง่ายๆว่า ‘สภาพแวดล้อมที่ปรารถนา’ มันไม่ได้บอกว่าจะต้องทำยังไงถ้าสถานการเช่นนี้เกิดขึ้น

ห้องสมุดนั้นเป็นเพียงแค่ทักษะค้นหา

แต่อย่างไรก็ตามคุณลูกค้าที่มีความรู้ครอบคลุมในส่วนนี้ได้ให้คำตอบกับฉันอย่างรวดเร็ว

<การเคลื่อนย้ายไปยังสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์จะทำให้จิตวิญญาณสามารถหายใจได้ค่ะ>

<การได้สัมผัสกับวัสดุชั้นดีสำหรับจิตวิญญาณไม่ว่าจะอันไหนก็ตามสามารถที่จะปรับปรุงสุขภาพของมันได้ค่ะ>

“…เป็นความคิดที่ดี”

มันดีแต่มันเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวอย่างแท้จริงด้วยงานจำนวนมากที่ฉันจำเป็นต้องสะสางให้เสร็จที่โลกในตอนนี้

ทั้งเรื่องผู้หวนคืนต่างมิติ,นักเวทย์ปริศนาที่มีตัวตนอยู่บนโลก และการสร้างเพลงดาบของตนเองเพื่อใช้ในการดึงดูดเหล่าปรมาจารย์ทั้งหลาย

สำหรับในตอนเริ่มต้นสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดยังพอไปต่อได้แต่ในท้ายที่สุดฉันก็ยังต้องการความแข็งแกร่งเพื่อให้รับมือกับปัญหาที่จะตามมาจากเรื่องพวกนี้อยู่ดี

และเพื่อที่จะได้รับมาซึ่งความแข็งแกร่งฉันจะต้องล่าเหล่าตัวเอกเหมือนกับสิ่งที่ฉันกำลังจะทำในตอนนี้

“มันแย่แค่ไหน?”

[มากค่ะ…]

เดิมที ดอกไม้จิตวิญญาณสีเงินนี้ก็มาจากต่างโลกอยู่แล้ว

มันไม่ได้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในยุคปัจจุบันดังนั้นแม้ว่าฉันจะซ่อนมันไว้ในช่องเก็บของมากเท่าที่จะเป็นไปได้ก็ตามแต่สุดท้ายแล้วมันก็ยังมีขีดจำกัดของมัน

ฉันไม่รู้ว่าดอกไม้นี้จะสามารถเบ่งบานแล้วกลายมาเป็นจิตวิญญาณได้ไหมในเมื่อมันบอบบางมากจนไม่รู้ว่าจะรอดชีวิตไปได้หรือป่าวในตอนนี้ด้วยซ้ำ

“ส่งรายการภารกิจมาให้ฉัน”

กลืนยาแก้เมาค้างลงไป ฉันได้เตรียมเครื่องจ่ายอีเทอร์ของตนเองในขณะที่กำลังต้มน้ำสำหรับราเมน

เหมือนที่คาดไว้เลยในตอนที่ฉันได้เช็คไปที่รายการ ภารกิจมากมายได้ปรากฏขึ้นมา

เมื่อคิดเกี่ยวกับมันแล้ว

ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตามมันอาจจะมี สถานที่ที่มีความเกี่ยวข้องกับเวทมนตร์ควรจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดถ้าฉันต้องการที่จะได้รับวัสดุชั้นยอดสำหรับจิตวิญญาณ

<ไม่ควรเลือกโลกที่เป็นรูปแบบมนุษย์ค่ะ>

<โลกที่มีสายพันธุ์ที่สวนทางกับความเข้าใจของคนปกติสามารถที่จะจัดหาสภาพแวดล้อมที่ดีกว่าสำหรับจิตวิญญาณได้ค่ะ>

“เธอหมายความว่าอะไร?”

<ตั้งแต่ที่คุณได้เริ่มล่าตัวเอกคนถึงตอนนี้ โลกส่วนมากที่คุณได้ไปมาล้วนคล้ายคลึงกับโลกที่คุณอยู่ค่ะ>

<แต่โปรดจำเอาไว้ว่ายังมีโลกอีกมากที่ไม่ได้เป็นแบบนั้นค่ะ>

หมายความว่ามีโลกอีกมากที่มีสภาพแวดล้อมแตกต่างออกไปจากโลกใบนี้

“อืม…”

โลกเช่นนั้นจะต้องมีสิ่งที่น่าสนใจจำนวนมากซึ่งต้องมากกว่าโลกของเหล่านักเวทย์ธรรมดาๆอย่างแน่นอน

[ฉันหายใจไม่ออก ช่วยฉันด้วย…]

“อดทนหน่อยนะ ฉันกำลังมองหาสถานที่ที่เธอจะต้องชอบอยู่ในตอนนี้”

[กำลังจะตายแล้ว…]

“เธอจะไม่ตาย”

[คุณจะตายแทนฉัน…]

“ทำไมเธอถึงได้พูดจาเรื่อยเปื่อยแบบนี้เนี่ย?”

ในขณะที่กำลังค้นหาโลกที่มีความเกี่ยวข้องจากรายการภารกิจ ‘ระบบของโลก’ ก็มีหนึ่งอันที่โดดเด่นออกมา

มันเป็นโลกของตัวเอกเลเวล 61

แฟรี่_แห่ง_รุ่งอรุณ_ไม่ใด้_เป็นเพียง_แค่_ความฝัน

แฟนตาซี ความฝัน

กลยุทธ์ การแตกหัก

รัก_ต้องห้าม

…แฮชแท็กพวกนี้แปลกมาก

ความฝัน,รักต้องห้าม,กลยุทธ์ และการแตกหักอย่างนั้นเหรอ?

ในตอนแรกมันก็ค่อนข้างจะยากอยู่แล้วที่จะเข้าใจความหมายในแฮชแท็กของระบบ

ฉันได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและเปลี่ยนสเตตัสของฉันในทันที

ฉันกำลังจะจากไปในวันนี้ดังนั้นฉันจะไม่ติดต่อใคร

มันสะดวกที่จะทำแบบนี้เพราะว่ามันยังคงมีอีกหลายสิ่งที่จำเป็นต้องพูดคุยกับคนอื่นๆอีก

“เทเลอร์ กินราเมนด้วยหละ ฉันจะจากไปสักพักนะ”

เทเลอร์เด้งขี้นมาในทันทีและคลานเข้ามาแล้วจับไปที่แขนของฉัน

“นาย…นายจะไปที่แปลกๆนั้นอีกแล้วใช่ไหม?”

เทเลอร์พูดออกมาด้วยดวงตาที่เปิดกว้าง

ด้วยความที่รู้จักกับเธอมา 15 ปี น้ำเสียงแบบนั้น ฉันสามารถบอกได้เลยว่าเธอยังคงอยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่

“มันเร่งด่วนนะ”

“…นายต้องไปจริงๆอย่างนั้นเหรอ?”

“ใช่”

“โอเค…”

หลังจาที่ได้ยินคำตอบของฉัน เทเลอร์ก็นอนราบลงไปกับพื้นในทันที

ฉันรู้สึกกังวลยังไงก็ไม่รู้

ความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยเช่นนี้นั้นแปลกสำหรับฉัน

ฉันวางราเมนไว้ที่ด้านข้างของเธอและพูดกับคุณลูกค้า

“ไปกันเถอะ”

[กำลังเดินทาง สู่ เกาะแห่งความฝัน โลกของตัวเอกเลเวล 61 ฮันนีล]