เกาะแห่งความฝัน
บ้านของเหล่าแฟรี่ ดินแดนที่ไม่ได้มีแสงแดดส่องผ่านเข้ามามากนัก
นั้นเป็นเพราะว่ามีดาวเคราะห์สีม่วงที่ชื่อว่าเฮลยาวินได้ปกคลุมท้องฟ้าไปกว่าครึ่งซึ่งบดบังพระอาทิตย์เอาไว้
ดังนั้นมันเลยมีเวลาเพียงแค่ 3 ชั่วโมงเท่านั้นในแต่ละวันที่เป็นช่วงเวลาที่แสงอาทิตย์จะส่องลงมาได้
และอีก 18 ชั่วโมงที่เหลือนั้นเป็นช่วงเวลาพลบค่ำก่อนรุ่งสาง
แต่ที่น่าแปลกคือถึงแม้ว่าดาวเคราะห์เฮลยาวินจะบดบังพระอาทิตย์เอาไว้แต่แสงกว่าครึ่งก็ยังทะลุผ่านมาถึงเกาะแห่งความฝันนี้ได้ดังนั้นโลกใบนี้เลยย้อมไปด้วยแสงสีม่วงจนกว่าจะถึงช่วงพระอาทิตย์ขึ้น
ท้องฟ้าผืนนี้เป็นสีม่วง ก้อนเมฆก็เป็นสีม่วง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นสีม่วง
โลกสีม่วงใบนี้ที่ดูราวกับว่าเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา ราวกับว่าเป็นเพียงแค่ความฝัน
นั้นอาจจะเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเกาะแห่งนี้ถึงได้ถูกเรียกว่าเกาะแห่งความฝัน
อีกทั้งเกาะแห่งนี้ยังเป็นเกาะที่ลอยอยู่เหนือท้องฟ้า
เนื่องจากว่าแฟรี่เหล่านี้ไม่เคยที่จะได้ลงไปจากเกาะแห่งนี้ พวกเขาเลยไม่เคยรู้ว่ายังมีโลกใบอื่นๆนอกจากเกาะแห่งนี้อยู่อีก
ราวกับเป็นเพียงแค่ความฝัน พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในโลกของตนเอง
ค่ำคืนในป่าแห่งความฝันมีเวลาประมาณสามชั่วโมง
แต่มันยังไม่มืดมากนักในตอนนี้เพราะว่าเหล่าจิตวิญญาณทั้งหลายที่กำลังซ่อนตัวอยู่ใต้พื้นดินได้มาทีละตนๆทำให้เกาะแห่งนี้นั้นสว่างไสวขึ้น
เหล่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณได้หันหน้าของพวกเขาไปมองเหล่าจิตวิญญาณที่มีสีสันสวยงามระยิบระยับราวกับหิ่งห้อยและด้วยเหตุนี้เองพวกเขาเลยไม่ต้องกลัวว่าจะหลงทางในเกาะแห่งความฝัน
แฟรี่แห่งรุ่งอรุณไม่ใช่ความฝัน
เพียงแค่เพราะว่าชีวิตของพวกเขาราวกับว่าเป็นแค่ความฝัน
“ช่างงดงาม”
เจ้าหญิงลำดับที่สองของเผ่ารุ่งอรุณมาริลินมักจะปีนขึ้นไปที่ยอดภูเขาที่สูงที่สุดทางด้านตะวันออกของเกาะแห่งความฝันนี้เสมอในตอนที่พระอาทิตย์กำลังขึ้น
มันเป็นเพราะว่าจากที่นี้เธอสามารถที่จะมองเห็น ‘ท้องทะเล’ ที่อยู่ด้านใต้ของเกาะแห่งนี้ได้อย่างเลือนลางสถานที่ซึ่งได้รับการกล่าวขานกันว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่เพียงแค่ในตำนาน
โลกทั้งใบที่ปกคลุมไปด้วยน้ำอย่างนั้นเหรอ?
มันฟังดูเหมือนเรื่องราวแฟนตาซีที่มีอยู่แค่ในความคิด
ในตอนที่เหล่าแฟรี่ตนอื่นๆพอใจกับการใช้ชีวิตที่มีความสุขในแต่ละวัน เธอกลับไม่รู้สึกมีความสุขไปกับชีวิตเช่นนั้น
เช่นเดียวกับท้องทะเลนี้
การมองดูไปที่มันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้มาริลินมีความสุข
หลังจากที่ได้จ้องมองไปยังท้องทะเลเป็นเวลานานกว่าที่เธอจะรู้ตัวพระอาทิตย์ก็ได้ขึ้นเสียแล้ว
มันเป็นช่วงเวลาที่โลกใบนี้ทั้งหมดจะกลายมาเป็นสีฟ้า
ท้องฟ้าที่เป็นสีฟ้าและโลกของน้ำที่อยู่ไกลออกไปก็เป็นสีฟ้าเช่นกัน
ในโลกแห่งนี้ที่เต็มไปด้วยสีม่วงมาริลินกลับรักสีฟ้า
ในขณะที่เธอเพลิดเพลินไปกับทิวทัศเช่นนี้นั้นทำให้เธอเหม่อลอยไปชั่วขณะหนึ่ง
“…!”
สายลมเริ่มที่จะโบกพัดไปมาแรงขึ้น
ในวินาทีนั้นมาริลินได้รีบซ่อนตัวภายใต้ต้นไม้และต้นไม้ที่เธอได้ซ่อนตัวอยู่ได้เคลื่อนไหวด้วยตัวมันเองเพื่อปกคลุมตัวของเธอเอาไว้
เหล่าสัตว์ทั้งหลายต่างพากันวิ่งไปรอบๆเพื่อหาที่ซ่อนตัวใต้พื้นดินและเหล่านกและจิตวิญญาณที่กำลังโบยบินในท้องฟ้าก็ได้หายไปเช่นกัน
ฟิ้ว…!!
บางสิ่งบางอย่างได้บินออกมาจากด้านใต้ของเกาะแห่งนี้
ในไม่ช้ามันก็ได้ร่อนผ่านเกาะแห่งความฝัน
‘ปีศาจสายลม’
เหล่าปีศาจที่อยู่ดีๆก็ปรากฎตัวขึ้นมาในวันหนึ่งพร้อมกันสายลม
พวกเขาดูเหมือนกับเหล่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณ
มีผิวหนังที่อ่อนนุ่มพร้อมแขนและขาสองข้าง
แต่ถึงอย่างนั้นไม่เหมือนกับเหล่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณที่มีปลายหูแหลม,ดวงตาสีม่วงและเส้นผมสีม่วง พวกเขามีปลายหูที่โค้งมน ตาสีน้ำตาลและเส้นผมสีน้ำตาล
อีกทั้งยังมีอุปกรณ์คล้ายปีกที่ติดอยู่ที่ด้านหลังของพวกเขาซึ่งทำมาจากไม้และกระดาษ ซึ่งเป็นเครื่องจักรที่สามารถทำให้เหล่าปีศาจสายลมพวกนี้บินไปในท้องฟ้าได้
เป็นเครื่องมือที่น่ากลัวซึ่งสามารถที่จะควบคุมสายลมได้
สิ่งมีชีวิตที่เกิดจากธรรมชาติเหล่านี้กล้าที่จะควบคุมมัน
จากมุมมองของเหล่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณแล้ว สิ่งที่มีลักษณะเป็นเครื่องจักรเช่นนี้นั้นช่างน่าสะพรึงกลัวแต่ปีศาจแห่งสายลมเหล่านี้ก็ทรงพลังมากเกินไปสำหรับพวกเขาที่จะได้ทำอะไรได้
‘ไม่นะทางนั้นมัน…!’
มาริลินอ้าปากค้างเมื่อเธอได้เห็นว่าปีศาจสายลมพวกนั้นกำลังมุ่งหน้าไปที่ไหน
ไม่ใช่ว่านั้นเป็นทางที่เผ่าของเธออยู่งั้นเหรอ?
ประชากรของเผ่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณนั้นถูกปกป้องโดยธรรมชาติดังนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะถูกค้นพบโดยสายตาของเหล่าปีศาจสายลมพวกนี้
เพราะว่าธรรมชาติสามารถที่จะทำให้หมู่บ้านของเธอดูเหมือนกันว่าเป็นเพียงแค่ต้นไม้ทั่วไป,แม่น้ำ หรือไม่ก็ก้อนหินที่พบได้ทั่วไปได้
แต่ในตอนนี้
ไม่ใช่ว่าปีศาจสายลมพวกนี้กำลังบินไปด้วยความมั่นใจราวกันว่าพวกเขารู้ว่าพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปที่ไหนอย่างนั้นเหรอ?
‘ข้าต้องรีบไปบอกให้คนอื่นรู้!’
มาริลินสัมผัสไปที่ต้นไม้อย่างเร่งรีบ
ต้นไม้ทั้งหมดในธรรมชาติที่อยู่ในเกาะแห่งความฝันนั้นมีรากที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกันเป็นรากเดียวทำให้สามารถที่จะติดต่อสื่อสารผ่านมันไปได้ในทุกที่บนเกาะแห่งนี้
ดังนั้นเหล่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณจะใช้มันในการติดต่อใครอีกคนที่อยู่ห่างไกลออกไป
มันก็ผ่านมาตั้งห้าปีแล้วตั้งแต่ที่ปีศาจสายลมพวกนี้เริ่มต้นบุกรุกเข้ามาที่เกาะแห่งความฝันนี้
แต่อย่างไรก็ตามเหล่าแฟรี่ก็ยังคงไม่มีวิธีที่จะตอบสนองต่อหายนะนี้ได้
……………………………………………………..
……………………………………………………..
ยามค่ำคืนได้มาเยื่อน
แม้ว่าจะช่วงเวลาเพียงสามชั่วโมงในแต่ละวันแต่เป็นเพราะว่ามันเป็นช่วงเวลาที่มีพลังงานในธรรมชาติหนาแน่นที่สุดทำให้มันเป็นช่วงเวลาที่สมบูรณ์แบบสำหรับการจัด ‘พิธีเฉลิมฉลอง’
เหล่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณทั้งหมดได้มารวมตัวกันที่ ‘ต้นไม้แห่งรุ่งอรุณ’ ซี่งมีปลายยอดสูงขึ้นไปในท้องฟ้าในขณะที่พวกเขาได้คุกเขาลงและสวดภาวนา
ต้นไม้แห่งรุ่งอรุณ
เป็นสิ่งที่ได้รับตกทอดถอดมาจากรุ่นสู่รุ่นมันสามารถพูดได้เหล่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณรุนแรกสุดที่เกิดมาจากการเบ่งบานออกมาจากดอกไม้ของพวกเขาเมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาใดก็ตามก็จะได้รับความช่วยเหลือโดยต้นไม้นี้ทุกครั้งในตอนที่มีบ้างสิ่งที่เป็นอันตรายเกิดขึ้น
แต่อย่างในก็ตามมันก็ตั้ง 300 ร้อยปีมาแล้วที่ต้นไม้แห่งรุ่งอรุณไม่ได้ตอบรับคำขอของพวกเขา
มันหมดพลังงานแล้วอย่างนั้นเหรอ?
หรือว่ามันตายไปแล้ว?
หรือไม่ใช่เป็นเพราะว่าพวกเขาขอความปรารถนามากเกินไปจนทำให้ต้นไม้นี้หยุดฟังคำวิงวอนของพวกเขาไปเสียแล้วไปแล้ว
พวกเขาไม่รู้เลย
แต่ว่านี้เป็นสิ่งเดียวที่เหล่าแฟรี่พวกนี้สามารถที่จะทำได้
ปีศาจพวกนั้นทรงพลังมากเกินไปสำหรับพวกเขาที่จะจัดการด้วยได้ดังนั้นก็เหมือนเช่นเคย พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสวดภาวนาวิงวอนของความช่วยเหลือ
‘…มีแฟรี่ที่ตายมากเกินไปแล้ว’
ผู้ที่กำลังทำพิธีอยู่ในฐานะนักบวชคือเจ้าหญิงลำดับที่สอง มาริลินซึ่งกำลังร่ายรำอย่างพลิ้วไหลอยู่รอบๆต้นไม้ตนนี้
มันก็เป็นเวลา 3 ปีมาแล้วตั้งแต่ที่เจ้าหญิงลำดับที่หนึ่งอาริลินได้ปลีกวิเวกออกไปอยู่ตัวคนเดียว
ตั้งแต่นั้นมาเจ้าหญิงลำดับที่สองได้รับหน้าที่ในการดูแลเหล่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณทั้งหลายแทน
อื้อ…
หื้อ…
ท่ามกลางพิธีที่กำลังดำเนินอยู่เสียงร้องไห้ได้ระเบิดออกมาจากทุกทิศทาง
แม้ว่าเธอจะรีบกลับมาเตือนว่าปีศาจพวกนั้นกำลังจะมาบุกรุกที่นี้แล้วแต่มันก็ยังสายเกินไป เหล่าแฟรี่จำนวนมากได้ตายไปก่อนที่พวกเขาจะทันได้ซ่อนตัว
ปีศาจพวกนั้นหาบ้านของพวกเขาพบได้อย่างไร?
นั้นเป็นเพียงคำถามเดียวที่ยังคงครอบงำอยู่ในใจเธอ?
‘ได้โปรดเถอะ ท่านแม่ได้โปรดนำทางลูกด้วย’
พิธีที่ยาวนานถึงสามชั่วโมงนี้ได้เข้าสู่จุดพีคแล้วในขณะที่เสียงของดนตรีจากเหล่าแฟรี่ได้ปกคลุมไปทั่วต้นไม้แห่งรุ่งอรุณนี้
ทันใดนั้นเองที่ด้านบนของแทนบูชาที่อุทิศให้กับตันไม้แห่งรุ่งอรุณ แสงสีฟ้าได้ระเบิดออกมาและบางอย่างได้ปรากฎขึ้นแทน
“…!”
เหล่าแฟรี่ทั้งหมดที่ได้มองไปทางแท่นบูชาล้วนเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
เมื่อเห็นว่ามีตัวตนบางอย่างที่มีผมและดวงตาสีดำปรากฎขึ้นเบื้องหน้าของพวกเขา มาลิรีนถึงกับถอยหลังกลับไป
“อ้า ปีศาจจจ…!”
ใบหูที่โค้งมน เป็นสัญลักษณ์ของปีศาจพวกนั้น
ในขณะที่เธอผงะถอยหลังกลับไปด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว เธอได้เห็นบางสิ่งบางอยู่ที่อยู่ตรงอกของเขา
“…ดอกไม้จิตวิญญาณสีเงินงั้นเหรอ?”
แล้วชายคนที่มีดวงตาสีดำคนนั้นก็ได้มองดูไปที่ตนเอง
ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกต้อง เขากำลังมองไปที่ไหนสักที่ตรงอากาศที่ว่างเปล่าเบื้องหน้าเขา
[2…1…0]
[การเดินทางเสร็จสิ้น]
[คุณได้กลายมาเป็นคนผ่านทางที่เกาะแห่งความฝัน]
[…กำลังดำเนินการแก้ไข]
[คุณได้กลายมาเป็นผู้นำทางแห่งจิตวิญญาณของเกาะแห่งความฝัน]
……………………………………………………..
……………………………………………………..
ฉันไม่เคยได้รับการต้อนรับโดยอาหารพื้นเมืองของต่างโลกมาก่อน
“นี่เป็นจานพิเศษของพวกเราเหล่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณ ‘น้ำผึ้งที่เจ็ดแห่งบายัม’ ครับ”
ปลายหูที่แหลม
ดวงตาและเส้นผมที่มีสีม่วง
พร้อมทั้งการปรากฏตัวด้วยรูปลักษณ์ที่สวยงานและหล่อเหลา
มันดูเหมือนว่านี้เป็นจะโลกของเหล่า ‘แฟรี่’
และแค่เพียงฉันมีดอกไม้จิตวิญญาณสีเงินพร้อมกับการปรากฏตัวขึ้นในจังหวะที่สมบูรณ์แบบ ฉันเลยได้รับการดูแลที่พิเศษแตกต่างไปจากที่เคย
มันเป็นเพราะฉันโชคดี?
หรือว่า
‘นี่เธอทำอะไรลงไปใช่ไหม?’
<ไม่มีทางค่ะ ฉันไม่ได้มีความสามารถที่จะแทรกแซงกับพล็อตเรื่องของโลกใบนี้>
ฉันก็คิดว่างั้น
เพราะถ้าเธอสามารถที่จะแทรกแซงได้ เธอคงจะฆ่าเหล่าตัวเอกทั้งหลายโดยที่ไม่จำเป็นจะต้องมีฉันตั้งแต่แรกแล้ว
<แค่เพียง…ครั้งนี้เท่านั้น ที่ฉันคิดว่าโลกใบนี้น่าจะให้จุดเริ่มต้นที่ดีกว่าที่อื่นให้กับคุณนะคะ>
‘ฉันก็ว่างั้นเหมือนกัน’
ฉันมักจะเลือกโลกตาคำแนะนำของคุณลูกค้าด้วยความระมัดระวังเสมอแต่ไม่เคยมีสักอันเลยที่ฉันได้รับจุดเริ่มต้นที่ดี
ฉันคิดว่ามันคงจะคล้ายๆกันไม่ว่าฉันจะเลือกโลกใบไหนก็ตาม
‘มันจะดีแค่ไหนกันนะถ้าหากว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นทุกครั้ง’
<…มันเป็นไปไม่ได้ค่ะ ที่มันเป็นไปได้ในครั้งนี้เพราะว่าฉันรู้สึกถึง ‘การเชื่อมต่อกับพล็อต’ ที่เข้มแข็งค่ะ>
การเชื่อมต่อกับพล็อตนี้น่าจะเป็นดอกไม้จิตวิญญาณสีเงินที่ฉันถืออยู่ในมือแน่นอน
หลักฐานก็คือคนพวกนั้นที่ได้เรียกตัวเองว่าเหล่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณหรือแฟรี่ยามเช้าหรือไม่ก็คงจะอะไรสักอย่างทำนาองนี้แหละ ที่ไม่สามารถแม้แต่จะละสายตาของตนไปจากกระถางดอกไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะได้เลย
“เธอรู้สึกที่ขึ้นหรือยัง?”
[งืม…]
“มีอะไรที่เธอต้องการอีกไหม?”
[…ฉันอยากจะดื่ม]
เจ้าดอกไม้นี้กำลังแสดงความละโมบไปทางไวน์แฟรี่ที่วางอยู่บนโต๊ะ
“แค่ตอนนี้ปากของเธอก็ชุ่มไปด้วยไวน์พวกนี้แล้วมั้ง”
[ฉันไม่มีปากสักหน่อย…]
เจ้าดอกไม้นี้ดูเหมือนว่าจะอยู่ในสภาพที่ดีขึ้นแล้วในตอนนี้สังเกตได้จากการที่มันกำลังพูดจาไร้สาระนี้อยู่
เป็นข้อพิสูจน์ที่ว่าที่นี้มีสภาพแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์สำหรับมัน
ฉันได้ขอแฟรี่เหล่านี้ให้นำบางสิ่งที่ ‘ดีต่อจิตวิญญาณ’ มาให้ฉันและพวกเขาก็นำดินที่ดีที่สุดที่พวกเขามีมาให้ฉัน
ไม่ว่าจะมองยังไงก็ตาม มันเป็นทางเลือกที่ถูกต้องที่สุดแล้วที่มายังโลกใบนี้
นองจากนี้…
“…จานพิเศษอย่างนั้นเหรอ?”
ชามขนาดใหญ่ที่อยู่บนโต๊ะของฉันและภายในของมันก็มีบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายกับซุปน้ำอยู่
พวกเขาบอกว่านี้เป็นจานพิเศษ
“ถูกแล้ว! ด้วยการผสมหยดน้ำผึ้งที่มาจากหินแห่งอาชิลที่จะได้รับมาทุกๆหนึ่งปี น้ำผึ้งสีเขียวจากผีเสื้อซานตาตรอม และน้ำผึ้งจากเมลอนคามาแบบพูนช้อน…”
“เออ เข้าใจแล้วๆ ฉันก็กินมันเดี่ยวนี้เลย”
“ครับ!”
เมื่อแฟรี่ชายที่อยู่เบื้องหน้าของฉันตนนี้ได้หยุดพูด ฉันได้กินน้ำผึ้งนี้ไปบางส่วนและรู้สึกเต็มไปด้วยความประหลาดใจที่มันค่อนข้างจะอร่อยเลยที่เดียว
“ปกติแล้วพวกนายกินเจ้านี้งั้นเหรอ?”
“แน่นอนครับ! พวกเราไม่กินสิ่งมีชีวิตเหมือนกับพวกปีศาจที่ป่าเถือนพวกนั้น ป-ปีศาจพวกนั้นตัดสัตว์ทั้งหลายด้วยมีด เผาพวกมันด้วยไม้แล้วก็กินสัตว์พวกนั้น…เออ แค่ข้าคิดเกี่ยวกับมันก็สยองแล้วนะครับ”
“…”
“อ้า มีอะไรอย่างนั้นหรือครับ?”
“…ไม่มีอะไร ฉันก็แค่รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับแนวคิดเรื่องศีลธรรมของตัวเองนะ”
แฟรี่เหล่านี้กล่าวว่าพวกเขาไม่เคยที่จะทำร้ายธรรมชาติเลย
นั้นเป็นคำกล่าวที่ว่าพวกเขาไม่กินแม้แต่สลัดที่ทำจากผักดัวยซ้ำ
อาหารของพวกเขาล้วนประกอบด้วยน้ำผึ้งเท่านั้น
ที่แปลกไปกว่านั้นดูเหมือนว่าน้ำผึ้งของพวกเขาจะมีสารอาหารที่สำคัญครบถ้วนในตัวมันเองซะด้วยสิ
และถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นจานพิเศษแบบนี้ ฉันคิดว่ามันก็คงจะไม่ได้ต่างกันมาเท่าไหร
แฟรี่ชายตนนี้ได้ออกไปหลังจากที่ฉันได้กินน้ำผึ้งพวกนี้ไปบางส่วน
น้ำผึ้งนี้สามารถที่จะเติมเต็มกระเพราะของฉันได้ดังนั้นฉันเลยจัดการทำให้ชามนี้มันว่างเปล่าจากนั้นค่อยลุกขึ้นและเดินเข้าไปหาหน้าต่าง
ในตอนที่ฉันผลักกรอบไม้เพื่อเปิดหน้าต่างนี้ออกราวกับว่าเพียงแค่สัมผัสมันเบาๆมันก็จะค่อยๆขยับเปิดออกด้วยตัวมันเองอย่างช้าๆ
…มองไปที่หน้าต่างนี้แล้ว ฉันก็สังเกตเห็นว่าสิ่งก่อสร้างทั้งหมดที่ฉันคิดว่าได้ทำมาจากไม้นั้นจริงๆแล้วเป็นต้นไม้ที่มีชีวิตที่ถูกทำให้เหมือนเป็นสิ่งก่อสร้างต่างหาก
“บ้าน่า มันเป็นไปได้ยังไงกันเนี่ย?”
ฉันไม่สามารถที่จะทำใจเชื่อได้ลงว่าต้นไม้นี้ได้เปลี่ยนตัวเองให้มีรูปร่างเหมือนกับสิ่งก่อสร้างได้
เมื่อฉันได้มองออกไปนอกหน้าต่างและได้เห็นหมู่บ้านนี้ ฉันรู้สึกว่าฉันกำลังตกหลุมรักมันราวกับว่าเป็นเพียงแค่ความฝัน
โลกใบนี้ช่วงสวยงามจริงๆ
สวยเกินกว่าที่จะนำไปเทียบกับโลกที่ฉันอยู่ได้
โลกที่เต็มไปด้วยสีม่วงทอดยาวออกไปจนลับขอบฟ้า
แสงสีชมพูที่สาดใกล้เข้ามา ได้สลักฉากที่น่าจดจำซึ่งไม่สามารถพบเห็นได้บนโลกไว้ในใจฉัน
เหล่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณทั้งหลายที่เคลื่อนที่ได้อย่างอิสระไปในอากาศและเหล่าหมู่ไม้ซึ่งดูคล้ายกับทางด่วนในโลกมนุษย์
การที่ฉันจะไปรอบๆแบบนั้นได้ฉันจำเป็นที่จะต้องได้รับการช่วยเหลือเล็กน้อยจากชุดสูทและสกิลของฉัน
มันโชคดีที่ร่างกายของฉันนั้นยืดหยุ่น
ก๊อก ก๊อก!
– ข้าสามารถเข้าไปได้ไหมค่ะ?
“ได้สิ”
ได้ยินคำตอบของฉัน ประตูได้เปิดออกและหญิงสาวที่มีเส้นผมสีม่วงที่ถักเป็นโพนี่เทลเอาไว้ได้เข้ามา
หญิงสาวคนนี้คือเจ้าหญิง มาริลินที่ได้แนะนำฉันในวันนั้น
มองมาที่ฉันเธอลังเลไปชั่วขณะหนึ่งและพูดขึ้น
“ท่านผู้นำทางค่ะ ท่านรู้ไหมว่าทำไมข้าถึงได้เรียกท่านมาที่นี้?”
ฉันไม่รู้หรอก
“รู้สิ”
แต่ฉันต้องแกล้งทำเป็นว่ารู้
“ใช่แล้วค่ะ…เหมือนอย่างที่ท่านรู้ พวกเราได้รับภัยคุกคามจากเหล่า ‘ปีศาจสายลม’ ถึงแม้ว่าพวกเราจะเคลื่อนย้ายที่อยู่อาศัยเป็นประจำและได้รับการซ่อนตัวจากความช่วยเหลือของธรรมชาติก็แล้ว ปีศาจเหล่านั้นก็ยังค้นหาพวกเราพบอยู่ดีค่ะ”
ตามการอธิบายของเธอ พวกมันได้ใช้เวทมนตร์ที่น่าสะพรึงกลัว
ด้วยเสียงคำรามที่น่าสะพรึงกลัวดังก้องออกมา เธอนึกย้อนไปถึงโลกที่ถูกเผาไหม้ไปด้วยเปลวไฟในขณะเดียวกันก็มีหลายคนที่เสียชีวิตจากการที่ร่างกายของพวกเขาถูกเจาะทะลุในตอนที่แท่งอะไรสักอย่างในมือของพวกมันได้ชี้มาทางพวกเขา
“เวทมนตร์ที่น่าสะพรึงกลัว”
ฉันไม่มีเงื่อนงำเลยว่าเวทมนตร์พวกนั้นมันคืออะไร
ตายจากการที่มีแท่งอะไรสักอย่างชี้มาอย่างนั้นเหรอ?
ฉันไม่เคยได้ยินถึงเวทมนตร์เช่นนั้นเลย
ร่วมทั้งความสามารถในการบินบนท้องฟ้าเช่นกัน
แต่เรื่องพวกนั้นไม่ได้สำคัญสำหรับฉัน
ในท้ายที่สุด นี้เป็นเพียงแค่ ‘เรื่องเล่า’ ดังนั้นฉันแค่ต้องไปตามสายน้ำแห่งโชคชะตาและค้นหาความจริงด้วยตัวเอง
ฉันได้มองไปทั่วทั้งเผ่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณแล้วและไม่มีสักคนที่มีแฮชแท็กอยู่เหนือหัว
นั้นหมายความว่าตัวเอกจะต้องเป็นหนึ่งใน ‘ปีศาจ’ เหล่านั้น
“เธอรู้ไหมว่าปีศาจพวกนั้นอยู่ที่ไหนในตอนนี้?”
“ค-ค่ะ…ทางเหนือของเกาะแห่งความฝัน ที่ ‘หุบเขายักษ์หินแห่งการหลับไหล’ พวกมันตั้งค่ายอยู่ที่นั้นค่ะ”
“โอเค งั้นไปกันเถอะ”
ถ้าหากว่ามีปีศาจอย่างที่ว่ามาอยู่จริงๆหละก็ ทางที่ดีที่สุดคือการยืนยันมันด้วยตนเองให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
……………………………………………………..
……………………………………………………..
เหล่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณใช้นกขนาดยักษ์ที่เรียกว่าอินทรีแผงคอขาวสำหรับการเดินทาง
ทำไมอินทรีย์ที่มีแผงคอถึงไม่ได้เรียกมันว่าสิงโต ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันแต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตามมันก็เป็นโลกของแฟรี่อยู่แล้ว
(ผู้แปล : คงจะเป็นกรีฟฟอนนะครับ)
โดยที่มาริลินนั่งอยู่ด้านหน้าและฉันได้นั่งอยู่ด้านหลังอินทรีตัวนี้ จากนั้นมันก็ได้บินขึ้นอย่างช้าๆ
เวลาในตอนนี้คือ 18.30
ซึ่งมันควรจะเป็นเวลาที่พระอาทิตย์ตกดินแต่มันกลับเป็นว่ามันกำลังจะเข้าสู่ช่วงรุ่งเช้าแล้วในตอนนี้
บินขึ้นไปยังท้องฟ้ายามราตรีอันแสนมืดมน โลกใบนี้ได้หายไปอย่างช้าๆ
แล้วฉันก็รู้สึกว่าสิ่งที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้นเอง
เป็นโลกแห่งเวทมนตร์ที่ไร้ซึ่งคำใดจะมาอธิบายมันได้
น้ำตกที่ไหลออกจากผาหินขนาดมหึมานับสิบที่กำลังลอยอยู่บนท้องฟ้าและระหว่างแต่ละหน้าผาก็มีเถาวัลที่รัดพวกมันเข้าไว้ด้วยกัน
นี้ไม่ใช่สิ่งที่ใครสักคนได้สร้างเอาไว้
มันเป็นเพียงแค่สิ่งที่ธรรมชาติได้สร้างเอาไว้ให้กับเหล่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณ
ด้วยเวลาอันยาวนาน พวกเราได้บินฝ่าอากาศและผ่านหน้าผาขนาดมหึมาพวกนี้และก่อนที่ฉันจะรู้ตัวพวกเราได้ผ่านสำแสงสีม่วงออกมาแล้ว
“มันคือจิตวิญญาณแห่งทางช้างเผือกค่ะ วันนี้เป็นรุ่งอรุณสุดท้ายแล้วสำหรับฤดูกาลนี้”
“…”
ฉันไม่ได้พูดอะไรกลับไป
หรือถ้าจะให้ถูกต้องกว่านั้น ฉันไม่สามารถที่จะพูดอะไรกลับไปได้
อินทรีนี้บินได้เงียบจริงๆ
เพื่อที่จะหลีกเลี้ยงการถูกค้นพบจากเหล่าปีศาจพวกนั้น
แต่มาริลินคงจะต้องเครียดมากแน่ๆ เพราะว่าเหงื่อของเธอไหลออกมาเต็มไปหมด
ถูกต้องแล้ว
แค่คิดว่าพวกตนกำลังมุ่งหน้าไปยังฐานทัพของพวกปีศาตที่ระเบิดบ้านของพวกตนทั้งหมด
ฉันไม่รู้ว่าปีศาจพวกนี้แข็งแกร่งมากเท่าไรแต่การที่จะหลีบหนีออกมานั้นเป็นไปได้
ในที่สุดหลังจากที่บินมาหลายชั่วโมงร่องรอยค่ายของปีศาจเหล่านี้ก็ปรากฏขึ้นสู่สายตาของพวกเขา
มันสามารถที่จะสันนิฐานได้จากการที่ได้เห็นควันไฟที่ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าจากในระยะไกล
เพราะว่าเหล่าแฟรี่นั้นไม่ได้ใช้ไฟ
“…ไฟ”
จู่ๆฉันก็รู้สึกท้องไส้ปั่นปวน
เมื่อพวกเราได้มาถึงค่ายของปีศาจพวกนี้ความรู้สึกพวกนั้นของฉันก็เพิ่มมากขึ้น
เส้นผมและดวงตาสีน้ำตาล
รูปลักษณ์ที่คล้ายกับแฟรี่แต่มีใบหูที่โค้งมน
เอกลักษณ์ของปีศาจพวกนั้นก็คล้ายๆกันในแต่ละคน
“…มนุษย์งั้นเหรอ?”
ใช่แล้ว
ดังนั้นเวทมนตร์ที่น่าสะพรึงกลัวที่เหล่าแฟรี่ได้พูดถึงคงจะต้องเป็นวิทยาศาสตร์
ไม่ว่าใครก็ตามสามารถที่จะเดาในเรื่องนี้ได้แต่ฉันไม่ได้คิดถึงเป็นไปได้นี้เลยในตอนแรก
เพราะว่ารูปแบบของโลกใบนี้นั้นไม่ใช้เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่กำลังถูกรุกรานแต่ค่อนข้างที่จะเป็นมนุษย์ที่กำลังทำการรุกรานเผ่าพันธุ์อื่นอยู่ต่างหาก
“หืม…”
ดังนั้นเหล่าปีศาจพวกนี้ ไม่สิ มนุษย์พวกนี้นั้นมีเครื่องร่อนที่ดูมีเอกลักษณ์และปืนใหญ่จำนวนมากอยู่โดยรอบค่ายของพวกเขารวมไปถึงสิ่งที่ดูคล้ายกับปืนไรเฟิลในมือพวกเขาก็ด้วย
เมื่อได้ตรวจสอบได้ยังพวกเขาอย่างช้าๆ ฉันได้ยิ้มออกมาบางๆ
อาวุธปืนที่พวกเขาใช้งานนั้นเก่ากว่าอุปกรณ์ของฉันมากนั้น
“นี้ไม่ใช่ว่าเรื่องมันอาจจะง่ายกว่าที่ฉันได้คิดไว้อย่างนั้นหรอกเหรอ?”