ตอนที่ 157 ใจกล้า

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 157 ใจกล้า
ถงหมัวมัวแหวกม่านเดินเข้ามาด้านใน ย่อกายทำความเคารพพลางรายงาน “คุณหนูใหญ่ เซียวรั่วไห่มาขอพบคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ”

“ให้เข้ามา…”

หญิงสาวถอดแหวนยิงธนูเก็บไว้ในหีบตามเดิม สั่งให้ชุนเถาเก็บหีบนี้ให้ดีเพราะนางจะนำไปยังหนานเจียงด้วย

เซียวรั่วไห่เดินเข้ามาด้านใน ทำความเคารพไป๋ชิงเหยียนเสร็จจึงรายงานเรื่องที่ฮ่องเต้พระราชทานแต่งตั้งไป๋จิ่นซิ่วเป็นฮูหยินเก้ามิ่งขั้นสูงสุด

“ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนเริ่มสรรเสริญองค์รัชทายาท บัดนี้ชาวบ้านในเมืองหลวงต่างสรรเสริญว่าองค์รัชทายาททรงมีเมตตา ฮ่องเต้ทรงมีคุณธรรม กล่าวว่าองค์รัชทายาททรงไม่ทอดทิ้งขุนนางผู้จักภักดี ทรงดูแลสตรีตระกูลไป๋อย่างดีขอรับ!”

ไป๋ชิงเหยียนเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ “ใช้ประโยชน์จากตระกูลไป๋จนได้คำสรรเสริญว่ามีเมตตามาเช่นนี้ ไม่น่าจะใช่แผนการขององค์รัชทายาท! ข้างกายขององค์รัชทายาทน่าจะมีคนเก่งกาจอยู่”

นางเพิ่งอาศัยบารมีขององค์รัชทายาทหาผลประโยชน์ให้ไป๋จิ่นซิ่ว องค์รัชทายาทก็ใช้ตระกูลไป๋สร้างชื่อเสียงอันดีงามให้แก่ตัวเอง ไม่ได้เสียเปรียบเลยสักนิด!

สำหรับฮ่องเต้แล้ว ราชโองการฉบับนี้เป็นสิ่งที่นางทูลขอเอาไว้ เขาเพียงแค่ประกาศราชโองการเร็วขึ้นหน่อยก็เท่านั้น ประกาศราชโองการก่อนการเดินทางไปรบถือเป็นการทำดีต่อนางและชาวบ้าน ได้ประโยชน์ทั้งสองด้านเช่นนี้ฮ่องเต้จะไม่ทรงพอพระทัยได้อย่างไรกัน

ถือว่า…ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายก็แล้วกัน

เซียวรั่วไห่พยักหน้า “คนที่ข้าสั่งให้ลอบตามองค์รัชทายาทไปรายงานว่าองค์รัชทายาทซึ่งยังไม่ได้ย้ายออกจากจวนฉีกลับไปถึงจวนได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็รีบร้อนออกจากจวนไปยังวังหลวงขอรับ ไม่นานก็มีราชโองการประกาศลงมา!”

เป็นดังที่คิดไว้จริงๆ มีคนแนะนำฉีอ๋อง ราชโองการประกาศลงมาได้อย่างถูกเวลาที่สุด

เซียวรั่วไห่กล่าวต่อ “บัดนี้จวนฉีอ๋องเต็มไปด้วยความปิติยินดีขอรับ ได้ยินว่าพอองค์รัชทายาทเสด็จกลับไปถึงจวนก็ตบรางวัลให้ฉินเซียนเซิงอย่างงาม น่าจะเป็นฉินเซียนเซิงผู้นี้แหละขอรับที่ออกความเห็นให้องค์รัชทายาท บัดนี้ฉินเซียนเซิงคือแขกกิตติมศักดิ์ของจวนฉีอ๋อง เมื่อสืบอย่างละเอียดจึงรู้ว่าฉินเซียนเซิงผู้นี้มีนามว่าฉินซ่างจื้อขอรับ”

ฉินซ่างจื้อ…

มิน่า

ไป๋ชิงเหยียนเม้มปากแน่น นึกไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายแล้วในชาตินี้ฉินซ่างจื้อจะกลายเป็นที่ปรึกษาข้างกายขององค์รัชทายาทอยู่ดี

ฉินซ่างจื้อเป็นคนมีความสามารถ ได้แต่หวังว่าชาตินี้องค์รัชทายาทจะไม่มองข้ามความสามารถของฉินซ่างจื้อ!

และก็หวังว่าวันหนึ่งนางและเขาจะไม่ต้องยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกันในราชสำนัก ไม่ใช่ว่านางกลัวการเป็นศัตรูกับฉินซ่างจื้อ นางแค่เสียดายความสามารถของเขาเท่านั้นเอง

ความสามารถและการวางแผนอย่างโหดเหี้ยมของตู้จือเวยเป็นดังคนถ่อย ต้องคอยป้องกันและหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา ทว่า ฉินซ่างจื้อไม่เหมือนกับตู้จือเวย แม้ฉินซ่างจื้อเป็นคนมีความสามารถและเจ้าแผนการ แต่ลึกๆ แล้วเขาเป็นคนดี ถือเป็นวิญญูชนคนหนึ่ง

“หากองค์รัชทายาทให้ความสำคัญกับฉินเซียนเซิงผู้นี้ การเดินทางไปยังหนานเจียงในครั้งนี้เราคงมีโอกาสได้พบเขา คอยระวังไว้ก็พอ!” ไป๋ชิงเหยียนมองไปทางเซียวรั่วไห่พลางกล่าวเสียงเบา “หรู่ซยงเล่า เราต้องเดินทางไปยังหนานเจียงอย่างกะทันหันเช่นนี้ ท่านเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วหรือไม่”

“คุณหนูใหญ่วางใจได้ขอรับ คนของเรากระจายตัวกันออกไปแล้ว พวกเขาจะติดตามขบวนกองทัพไปอย่างห่างๆ ไม่มีผู้ใดจับสังเกตได้แน่นอนขอรับ”

เซียวรั่วไห่ยังมีเรื่องกังวลที่ไม่ได้กล่าวออกไป ยอดฝีมือของพวกเรามีน้อยเกินไป การเดินทางไปยังหนานเจียงในครั้งนี้ของคุณหนูใหญ่ยังเสี่ยงอันตรายมากอยู่ดี

ชุนซิ่งแหวกม่านเดินเข้ามา ย่อกายทำความเคารพพลางเอ่ย “คุณหนูใหญ่ ฮูหยินกำลังเดินมาที่เรือนชิงฮุยเจ้าค่ะ”

ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า หันไปกล่าวกับเซียวรั่วไห่ “ลำบากหรู่ซยงแล้ว!”

ได้ยินคำกล่าวเช่นนี้ของไป๋ชิงเหยียน เซียวรั่วไห่รีบกล่าวบ่ายเบี่ยง จากนั้นเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว

ส่งเซียวรั่วไห่กลับไปแล้ว ไป๋ชิงเหยียนกลัวว่ามารดาจะรู้ว่านางผูกถุงทรายไว้ที่แขนและขาทุกวันจึงรีบสั่งให้ชุนเถาช่วยปลดออก จากนั้นออกไปรอต้อนรับมารดาที่หน้าประตู

เมื่อเข้ามาในห้อง ต่งซื่อกุมมือบุตรสาวเอาไว้พลางสั่งให้ทุกคนออกไปจากห้อง นางลากบุตรสาวไปยังห้องด้านในด้วยดวงตาที่แดงก่ำ นิ้วมือเรียวยาวจิ้มไปที่หน้าผากของบุตรสาวอย่างแรง “เจ้าช่างใจกล้านัก!”

ไป๋ชิงเหยียนรู้ว่ามารดาเอ่ยถึงเรื่องการเดินทางไปหนานเจียง นางกอดแขนต่งซื่อพลางประคองให้มารดานั่งลงที่ปลายเตียง เอ่ยถามเสียงเบา “วันนี้หลังจากที่จิ่นซิ่วกลับไป ท่านแม่ก็นั่งรถม้าออกไปข้างนอกเช่นกัน ท่านแม่ไปขอยืมคนจากท่านน้าชายหรือเจ้าคะ”

ต่งซื่อจะทำเช่นไรได้!

องค์รัชทายาทมาถามถึงเรื่องการเดินทางไปยังหนานเจียงถึงที่จวน แสดงว่าบุตรสาวของนางต้องเดินทางไปหนานเจียงอย่างแน่นอน ในเมื่อเปลี่ยนแปลงอันใดไม่ได้ สิ่งที่ต่งซื่อทำได้ก็คือดูแลความปลอดภัยของบุตรสาวให้ดีที่สุด ดังนั้นหลังจากส่งไป๋จิ่นซิ่วเสร็จแล้ว ต่งซื่อจึงสั่งให้คนเตรียมรถม้าเดินทางไปด้านนอกทันที นางไปขอยืมทหารหน่วยกล้าตายของตระกูลต่งให้ติดตามบุตรสาวของนางไปยังหนานเจียงด้วย อย่างน้อยจะได้คุ้มครองชีวิตบุตรสาวของนางได้

แต่ว่า เรื่องงานแต่งงานของอาเป่าและต่งฉางหยวนที่ต่งซื่อเคยปรึกษากับต่งเหล่าไท่จวินเอาไว้คงต้องเลื่อนออกไปก่อน

“ผู้มีเงินไม่นั่งอยู่ใต้คานบ้าน ผู้มีเงินไม่นอนขี่ม้า[1] บุรุษตระกูลไป๋เสียชีวิตไปหมดแล้ว เจ้าเป็นหลานสาวคนโตของตระกูล อีกทั้งยังเคยสาบานต่อหน้าดวงวิญญาณของท่านปู่และท่านพ่อของเจ้าว่าจะดูแลตระกูลไป๋! เหตุใดเจ้ายังกล้าทำเรื่องที่เสี่ยงอันตรายต่อชีวิตเช่นนี้ด้วย” ขณะที่กล่าวน้ำตาของต่งซื่อไหลพราก แววตามีทั้งความโมโหและความสงสาร

ไป๋ชิงเหยียนมองดูดวงตาทั้งสองข้างของมารดาที่แดงก่ำ นางกอดแขนมารดาแน่น ทุกครั้งต้องโมโหจนร้อนใจถึงขีดสุดท่านถึงจะเสียอาการเช่นนี้

ท่านแม่ร่ำเรียนมาน้อย แต่ทุกครั้งท่านพ่อจะโดนท่านแม่ต่อว่าจนเถียงกลับไม่เป็น ได้แต่กล่าวขอโทษ

จู่ๆ นางก็หวนนึกถึงเรื่องราวในวัยเยาว์ ใต้ต้นดอกซากุระที่เบ่งบาน ท่านพ่อโดนท่านแม่ต่อว่าจนเดินจากไปด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ แต่ไม่นานก็เดินถือกระถางดอกไม้กลับมาขอโทษท่านแม่ กล่าวเสียงเบาด้วยรอยยิ้ม “น้องหญิง ข้าผิดไปแล้ว”

ไป๋ชิงเหยียนเกยคางไว้บนบ่าของมารดา ข่มความรู้สึกเจ็บปวดที่อยู่ในใจ กล่าวเลียนแบบท่านพ่อด้วยเสียงแผ่วเบา “ท่านแม่ อาเป่าผิดไปแล้วเจ้าค่ะ!”

ต่งซื่อถลึงตาใส่บุตรสาว จ้องอยู่สักพักก็ร้องไห้ออกมาอย่างทนไม่ไหว รั้งตัวบุตรสาวมากอดไว้ในอ้อมแขน กระชับอ้อมกอดแน่น “ท่านแม่ ข้าจำเป็นต้องไปที่หนานเจียงเจ้าค่ะ หากต้องการปกป้องตระกูลไป๋ มีแค่ใจของชาวบ้านยังไม่เพียงพอเจ้าค่ะ มีเพียงกุมอำนาจทางทหารไว้ในมือเท่านั้นจึงจะทำให้ฮ่องเต้ทรงหวาดกลัวได้ จึงจะคุ้มครองตระกูลไป๋ให้ปลอดภัยได้อย่างแท้จริงเจ้าค่ะ”

หญิงสาวไม่คิดปิดบังมารดาอยู่แล้ว นางกล่าวอย่างจริงใจ “ข้าสลบไปสองวัน ข้าฝันถึงท่านพ่อ อาอวี๋ ข้าไม่อยากให้คนใดในตระกูลไป๋ต้องมีจุดจบเหมือนกับท่านพ่อและอาอวี๋อีกแล้วเจ้าค่ะ หากกล่าวอย่างตื้นๆ ข้าต้องการปกป้องท่านแม่ บรรดาท่านอาสะใภ้และน้องสาวเจ้าค่ะ หากกล่าวอย่างยิ่งใหญ่ ข้าอยากสานต่อปณิธานของท่านปู่เจ้าค่ะ!”

“ท่านแม่ คนเรามีชีวิตอยู่ได้เพียงไม่กี่สิบปีเท่านั้น แต่เหตุผลที่ตระกูลรุ่งเรืองยาวนานไม่สูญสลายไปตามกาลเวลา นอกจากการสืบทอดทางสายเลือดแล้ว ยังมีการสืบทอดความเชื่อด้วยเจ้าค่ะ! ข้าเป็นลูกหลานตระกูลไป๋ การสานต่อปณิธานและความเชื่อของตระกูลถึงจะเรียกว่าสืบทอดต่ออย่างแท้จริงเจ้าค่ะ! หากปณิธานของตระกูลไม่หลงเหลืออยู่แล้ว อีกไม่นานตระกูลก็คงเสื่อมสลายและถูกลืมไปตามกาลเวลาเจ้าค่ะ”

ได้ยินน้ำเสียงอ่อนนุ่มของบุตรสาว ความโกรธของต่งซื่อสลายไปจนหมดสิ้นเหลือเพียงความกังวลและความทุกข์ใจ ทั้งๆ ที่ควรถูกเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอมดังเช่นกุลสตรีทั่วๆ ไป ทว่ากลับต้องมาแบกรับหน้าที่ความรับผิดชอบดังเช่นบุรุษเช่นนี้

บุตรสาวมีปณิธานที่ยิ่งใหญ่ คนเป็นแม่อย่างนางจะห้ามลูกได้อย่างไรกัน

ต่งซื่อกัดริมฝีปากแน่น กุมมือบุตรสาว กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นอีก “ครั้งนี้ ท่านน้าชายของเจ้ามอบทหารหน่วยกล้าตายหนึ่งร้อยคนของตระกูลต่งที่มีอยู่ตอนนี้ให้ติดตามเจ้าไปหนานเจียงด้วย พวกเขาจะฟังคำสั่งของเจ้าเพียงคนเดียว! ท่านน้าชายของเจ้าสั่งให้คนขี่ม้าเร็วไปยังเติงโจวแล้ว คนที่เหลือจะตามเจ้าไปภายหลังและหาทางติดต่อกับเจ้าเอง…”

ตระกูลสูงศักดิ์ล้วนมีทหารหน่วยกล้าตายเป็นของตัวเอง ไม่ถือเป็นเรื่องแปลกอันใด ตระกูลใดมีอำนาจมากก็ยิ่งมีทหารหน่วยกล้าตายมาก มีเพียงตระกูลสูงศักดิ์เท่านั้นที่เลี้ยงดูทหารหน่วยกล้าตายจำนวนมากเช่นนี้ไหว หากกล่าวตามตรงแล้ว ทหารหน่วยกล้าตายก็คือกองกำลังส่วนตัวของแต่ละตระกูลนั่นเอง

ท่านน้าชายมอบกองกำลังส่วนตัวของตระกูลต่งให้นาง!

“ท่านแม่ ข้าจะไม่ทำให้ท่านยายและท่านน้าชายผิดหวังในตัวข้าเจ้าค่ะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงเบา

“ท่านยายและท่านน้าชายของเจ้าแค่อยากเห็นเจ้ากลับมาอย่างปลอดภัยเช่นเดียวกับแม่!” ต่งซื่อ

กล่าวอย่างสะอึกสะอื้น น้อยครั้งที่จะเผยด้านที่อ่อนแอให้บุตรสาวได้เห็นเช่นนี้ “แม่เสียท่านพ่อของเจ้าและอาอวี๋ไปแล้ว แม่ไม่อาจเสียเจ้าไปได้อีก เจ้ารู้ใช่หรือไม่”

———————————————

[1] ผู้มีเงินไม่นั่งอยู่ใต้คานบ้าน ผู้มีเงินไม่นอนขี่ม้า เป็นสำนวนเปรียบเทียบว่าไม่ทำเรื่องที่เป็นอันตรายต่อตัวเอง