ตอนที่ 210 คนถูกถีบชอบถีบคน
จวบกระทั่งอสูรเมฆาอัคคีถูกย่อยสลายจนหมดสิ้น ได้ยินเสียงกรีดร้องน่าเวทนาไม่อาจทำอย่างไรได้ก่อนตายของพวกมัน ฉินจิ่วเกอก็หัวเราะอย่างชั่วร้าย ไอปีศาจพวยพุ่งรอบด้าน สูบกลืนโลหิตอสูรที่เหลืออยู่บนพื้นจนหมด
“เคล็ดลมปราณปีศาจแม้จะดี แต่ผลกระทบก็สาหัสไม่แพ้กัน หากไม่ระวัง อาจร่วงหล่นกลายเป็นมารร้าย”
หลังจัดการกับอสูรเมฆาอัคคีได้แล้ว ฉินจิ่วเกอก็นั่งขัดสมาธิ โคจรเคล็ดลมปราณเร้นลับในสมองเล่มนั้น ผนวกกับไอม่วงที่ห้อมล้อมเหนือพฤกษาสวรรค์ ไม่นานความคิดในแง่ลบที่เกิดจากเคล็ดปีศาจก็ถูกกำจัด ผลสะท้อนถูกปัดเป่าจางหาย
ใต้หล้า มีเพียงฉินจิ่วเกอเท่านั้นที่ทำได้
ต่อให้เป็นตัวตนอย่างจ้วนหลุนหวัง ก็ไม่มีทางเพิกเฉยพลังกัดกร่อนที่เคล็ดปีศาจนำพามาได้อย่างสมบูรณ์
บุญคุณเกิดจากการทำร้าย การทำร้ายเกิดจากบุญคุณ เทวาไร้ใจ มีเพียงไอม่วงหงเหมิง*แห่งยุคเซียนเทียน รังสรรค์สรรพสิ่ง กลับกลายเป็นรากฐานอันน่าอัศจรรย์ของมหาวิถี
ลืมเลือนเป็นตาย บดขยี้หยินหยาง ข้ามนรกอวิชา
ครึ่งชั่วยามให้หลัง ฉินจิ่วเกอก็ยืดตัวขึ้น กำหมัดที่แข็งดั่งเหล็กไหล รวมถึงผิวหนังราวหยกสล้าง
เคล็ดลมปราณเร้นลับและไอม่วงอันเป็นปริศนานี้ สะกดพลังของเคล็ดหมื่นมารทมิฬได้อย่างชะงัด หนุนเสริมยับยั้งซึ่งกันและกัน
หลังฝึกปรือไปได้ไม่นาน ฉินจิ่วเกอก็รู้สึกได้ว่าถึงแม้ระดับวรยุทธ์ของมันจะยังอยู่ที่พิสุทธิ์ไพศาลขั้นกลาง แต่เทียบกับก่อนหน้าพลังของมันกลับกล้าแข็งกว่ากันถึงสามส่วน
“ฮ่าฮ่า วิเศษไปเลย!”
ฉินจิ่วเกอชูหมัดขึ้นฟ้าอย่างยินดี
แล้วก็นึกถึงศึกทางฝั่งซ่งเล่อขึ้นมาได้ สองมนุษย์ชั้นพิสุทธิ์ไพศาลประมือกับราชันอสูรครึ่งก้าวสู่กลั่นดวงธาตุ ไม่ว่าจะมองยังไงก็ไม่เห็นทางชนะอยู่เลย
แต่มีพระเอกอยู่ด้วย เชื่อว่าคงไม่มีปัญหา
หลังปะทะอย่างดุเดือดกับราชันอสูรหนังเหนียวนี้มาได้ครึ่งชั่วยาม ซ่งเล่อก็รู้สึกว่าตัวเองจะตายมิตายแหล่ ความรู้สึกที่ถูกบีบให้ต้องเงื้ออาวุธขึ้นสู้ แต่ไม่ได้ผลตอบรับใดๆ กลับมานี้ ช่างไม่ต่างจากหญิงโสเภณีที่ถูกพวกไร้น้ำยาระรานไม่หยุดหย่อนเลยจริงๆ!
“ยื้อไว้ก่อน!” ลั่วเฉินใบหน้าซีดขาวอยู่บ้าง ภายใต้แสงอาทิตย์ เม็ดเหงื่อใสกระจ่างหยดลงจากปลายคาง ส่องประกายวาววับเหมือนผลึกห้าสี
กระบี่ยาววาดระบำดั่งมังกรเหิน วิถีวาดโค้งดั่งสายรุ้ง
เงาร่างประเดี๋ยวนุ่มนวล ประเดี๋ยวปราดเปรียว เคลื่อนวูบไหวอยู่ตรงหน้าราชันอสูร ตั้งแต่ต้นจนจบยังคงรักษาความเป็นต่อเหนือราชันอสูรไว้ได้อย่างง่ายดาย
ส่วนซ่งเล่อทำหน้าที่โจมตีราชันอสูรจากด้านข้าง หอบหายใจจนลำคอแห้งผาก ปริมาณของศิลาวิญญาณที่ต้องดูดซับเสริมพลังไม่เพียงพอต่อการใช้งาน
“พี่ซ่งไม่ต้องกลัว ดาวช่วยชีวิตของท่านมาแล้ว!”
ฉินจิ่วเกอขณะวิ่งเยาะย่างเข้ามาก็ต้องร้องวะว้าวในใจ พระเอกช่างสมกับที่เป็นพระเอกจริงๆ ดูการเคลื่อนไหวดุจสายลมวสันต์นั่นสิ ดูท่าร่างสง่างามปานมังกรท่องเวหานั่นสิ ช่างหล่อเหลาบาดใจถึงเพียงไหน
หันกลับมามองซ่งเล่อ ฝ่ายนี้ล้มลุกคลุกคลานเหมือนลาป่วย ตะเกียกตะกายเหมือนสุนัขตะกายกำแพง วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนมาทางมัน
ราชันอสูรเองก็ดูเหมือนจะมองออกว่าซ่งเล่อเหลือพลังไม่มาก มันจึงยิ่งกระหน่ำโจมตีซ่งเล่อดุจอสนีบาตฟาดทลาย
ส่วนกระบี่ยาวของลั่วเฉิน ถึงแม้จะขีดข่วนผิวหนังของมันจนสร้างความระคายเคืองอยู่บ้าง แต่ก็ไม่คุกคามถึงชีวิต
“พี่ฉิน ในที่สุดท่านก็มา!” ซ่งเล่อปีติยินดีจนน้ำตานองหน้า
ฉินจิ่วเกอเองก็น้ำตารื้นด้วยความชอกช้ำ “โฮฮ ขอโทษด้วยที่มาช้า!”
“ความสัมพันธ์พวกเราช่างแน่นแฟ้นเหมือน…ช่วยด้วย!” ซ่งเล่อพอเห็นราชันอสูรไล่กวดมาจากข้างหลังก็กระโดดตัวลอยด้วยความหวาดผวา เปิดทางให้ฉินจิ่วเกอต้องเผชิญหน้ากับราชันอสูรอย่างทรงเกียรติแทน
ทางฝั่งฉินจิ่วเกอก็กำลังสงสัยใคร่ครวญ คำที่จะพรรณนาถึงความแน่นแฟ้นแห่งมิตรภาพนั้นมีมากเกินไปจริงๆ
ตัวอย่างเช่นกิ่งทองใบหยก สหายผู้รู้ใจ รักกันปานจะกลืนกินเป็นต้น แต่ไฉนคำพรรณนาแห่งมิตรภาพระหว่างมันกับซ่งเล่อ อีกฝ่ายถึงได้ใช้คำว่าช่วยด้วยเล่า?
ขณะกำลังใคร่คิดจนสมองแทบระเบิดแต่ก็ยังไม่เข้าใจ ฉินจิ่วเกอก็เห็นซ่งเล่อตาลีตาเหลือกกระโดดหลบฉากออกไป ทางด้านหลังคือก้อนเนื้อสมบุกสมบันสีชมพูสดใสพุ่งเหยียดมาเต็มฝีเท้า
“ช่วยด้วย!” ฉินจิ่วเกอปากอ้าตาค้าง สีหน้าตรงกับซ่งเล่อทุกระเบียดนิ้ว
ลั่วเฉินเห็นแล้วก็ตกใจ ขนลุกชี้ชัน ทิ้งตัวดิ่งลงดั่งราชันทรราช อาภรณ์บนตัวสะบัดพึ่บพั่บ
ฉินจิ่วเกอยังคงตะลึงตาค้าง ร่างตรึงแน่น หากตนถูกราชันอสูรนั่นพุ่งชน คงมิแคล้วร่างแหลกแหกกระเชอ
ร้อนรนจนทำอะไรไม่ถูก พลันพบเห็นน้องรองทิ้งตัวลงจากเวหา ท่วงท่าบารมีราวเทพสวรรค์จุติลงสู่หล้า อาภรณ์ที่เลิกไหวเล็กน้อย ปลายเท้าที่แยกจากกันอย่างพอเหมาะ ไอพลังที่ควบรวมไว้ที่ตันเถียน สุดท้ายก็ควบรวมผนึกพลังอย่างเหี้ยมหาญ
ปง!
เสียงฝ่าเท้ากระทบเนื้อดังขึ้นคราหนึ่ง พร้อมร่างฉินจิ่วเกอที่ปลิวลิ่วตามลูกเตะของลั่วเฉิน “หลีกไปให้พ้น นอกจากจะไม่ช่วยแล้วยังเพิ่มภาระอีก!”
“อ๊ากก!” ฉินจิ่วเกอถูกลั่วเฉินเตะกระเด็น คนลอยละลิ่ว เพราะคาดการณ์ไว้ก่อนจึงเอามือปิดหน้าเตรียมไว้แล้ว ยามร่วงตกกระทบพื้น จึงไม่เสียโฉมให้เป็นที่น่าอับอาย
ลั่วเฉินหมุนตัวกลับ สองมือห่อหุ้มด้วยพลังวิญญาณ กระชับกระบี่ยาวในมือต้านรับการจู่โจมจากก้อนเนื้อยักษ์ อสูรเมฆาอัคคีพละกำลังเปี่ยมล้น กีบเท้าทั้งสี่กระทืบลงกับพื้นจนสั่นสะเทือน ดินยุบยวบลงเป็นแถบ
เคร้ง!
ลั่วเฉินรับแรงปะทะจากอสูรตัวโตจนถอยไปไกลร้อยลี้ หากไม่ใช่เพราะมันได้รับมรดกบรรพกาลจากมหาอสูรล้างโลกา เพียงแค่พลังปะทะสุดไพศาลของอสูรเมฆาอัคคี พิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุดก็ยังต้านรับไม่อยู่!
“เทพราชันทลายสวรรค์!”
“ฝ่ามือกิเลนครองฟ้า!”
ฉินจิ่วเกอและซ่งเล่อหนึ่งซ้ายหนึ่งขวา สำแดงเคล็ดวิชาประจำกาย พลังวิญญาณชนชั้นพิสุทธิ์ไพศาลกวาดกระหน่ำจู่โจมดั่งสายฟ้าแลบ!
“พิฆาตสวรรค์!”
คนทั้งสามผนึกกำลัง ใช้เคล็ดวิชาที่ทรงพลังที่สุดสยบราชันอสูรที่สิ้นเรี่ยวแรงไปมากไว้
ฉินจิ่วเกอและซ่งเล่อระดมพลังยุทธ์ใส่ไม่ยั้ง ทะลุทะลวงเข้าถึงหูของอสูรเมฆาอัคคีทั้งซ้ายขวา ระเบิดใส่กะโหลกศีรษะของราชันอสูร
ลั่วเฉินละมือ ฝืนทนอาการเลือดลมตีกลับภายในร่าง ส่งพิฆาตสวรรค์ออกใส่เป็นการทิ้งทวน บังคับกระบี่ยาวในมือตัดคว้านกลางอากาศราวลูกข่าง
โฮกโฮก!
ปราการที่ไม่อาจทะลวงของอสูรเมฆาอัคคีถูกฉินจิ่วเกอและซ่งเล่อกลุ้มรุมโจมตีจนแตก ตามด้วยกระบี่ยาวอันฉวัดเฉวียนของลั่วเฉิน ประหนึ่งน้ำเย็นไหลรวมสู่ธารธารา รัดพันแก่นทารกของราชันอสูรไว้อย่างเหนียวแน่น
แก่นทารกขนาดกำปั้นอันเปราะบางไร้แรง ไหนเลยจะต้านทานคมประกายแห่งศาสตราบรรพกาลนั้นได้
เพียงพริบตา แก่นทารกก็แตกสะบั้น ราชันอสูรล้มลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง สั่นกระตุกเป็นระยะๆ ในที่สุดราชันอสูรครึ่งก้าวสู่กลั่นดวงธาตุตัวนี้ก็ถูกสังหาร!
หลังจากที่ราชันอสูรตกตาย ภายในป่าพลันเกิดการระส่ำระส่ายขนาดใหญ่ขึ้น กว่าที่ราชันอสูรชั้นกลั่นดวงธาตุตัวจริงเสียงจริงจะมาถึง คนทั้งสามก็หลบหนีไปไกลแล้ว หลังจากเร่ร่อนหลบหนีสัตว์อสูรกล้าแกร่งหลายชนิดพ้นแล้ว ในที่สุดก็มาถึงบึงมารมรณา
“ข้าได้ยินว่าบึงมารมรณาแห่งนี้ ต่อให้เป็นมหายุทธ์กลั่นดวงธาตุมาเองก็ยังไม่อาจรอดชีวิตกลับออกมาได้”
ยืนอยู่นอกตะเข็บบึง ซ่งเล่อกล่าวขึ้นอย่างระแวดระวัง ไม่กล้าส่งเสียงดังเกินควร ด้วยกลัวว่าจะไปรบกวนวิญญาณร้ายภายในบึง
บึงแห่งนี้ทอดไกลไร้จุดสิ้นสุด มองไม่เห็นก้น น่ากลัวว่าลึกลงไปกว่าหนึ่งพันเมตร อาจมีปากประตูที่นำไปสู่ทางเข้าวังมุจจุราชเก้านรกภูมิอยู่ก็ได้ ขุมนรกแห่งความชั่วช้าอันสุดหยั่งคาด
ฉินจิ่วเกอนั่งยองๆ อยู่ข้างรอยต่อ มองดูความมืดมิดที่มองไม่เห็นนิ้วทั้งห้าด้านล่าง จากนั้นจึงลองใช้เคล็ดหมื่นมารทมิฬส่องสำรวจดู
ที่มันและเฒ่าเสวียเยว่ฝึกปรือคือเคล็ดลมปราณชนิดเดียวกัน หลังส่องสำรวจอยู่พักหนึ่งก็ไม่พบร่องรอยพลังแห่งกฎเกณฑ์ของเฒ่าเสียเยว่หลงเหลืออยู่ ในอดีตชนชั้นกลั่นดวงธาตุที่เคยเข้าไปในบึงมารมรณา ล้วนต้องตกตายภายใต้พลังแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสิ้น
ฉินจิ่วเกอลืมตายิ้มๆ ในใจสงบสำรวม เมื่อปราศจากพลังแห่งกฎเกณฑ์ คิดลงไปสำรวจสักระยะหมื่นเมตรก็สมควรไม่ใช่ปัญหา
ส่วนลึกลงไปกว่านั้น แม้แต่เฒ่าเสียเยว่ในตอนนั้นยังต้องปิดปากเงียบไม่ยอมแง้มพราย และถูกขังอยู่นานนับพันปีจนเกือบร่อแร่
“วาสนาที่เจ้าว่าอยู่ใต้บึงมารมรณานี้แน่นะ?” ลั่วเฉินหันมามองฉินจิ่วเกออย่างอับจนคำพูด เจ้าหมอนี่ฉีกยิ้มได้ชั่วช้านัก ไม่อาจฝากความไว้ใจได้เลย
ฉินจิ่วเกอผงกศีรษะให้ลั่วเฉินอย่างตื่นเต้น ทั้งยังทำมือทำไม้ให้ศิษย์น้องกระโดดลงไปเป็นคนแรก
เมื่อมีพระเอกเปิดทาง ซึ่งเท่ากับเพิ่มไอพ่นติดจรวดยามเหาะเหิน ต่อให้ไม่อยากเจ๋งสักขนาดไหนก็ยังยาก
ลั่วเฉินและซ่งเล่อหันมาสบตากัน อย่าบอกนะว่าตอนรบราพัวพันอยู่กับอสูรเมฆาอัคคี ฉินจิ่วเกอถูกเดรัจฉานพวกนั้นทุบตีจนสมองพิการไปแล้ว?
“แค่กๆ” ลั่วเฉินกระแอมไอออกมาสองที กล่าวอย่างนุ่มนวล “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านลองทบทวนดูอีกทีดีหรือไม่ ไม่แน่ท่านอาจจำผิดไปก็ได้”
“เป็นที่นี่แน่นอน!” ฉินจิ่วเกอกระทืบเท้า ท่าทางตื้นเต้นยินดียิ่ง “รีบลงไปได้แล้ว พอลงไปแล้วเดี๋ยวเจ้าก็รู้เองว่ามันดีแค่ไหน”
ชัดแล้ว ศิษย์พี่ใหญ่สมองพิการแล้วจริงๆ ลั่วเฉินลอบบอกกับตัวเองในใจ จากนั้นล่าถอยไปสามก้าวห้าก้าว ด้วยกลัวว่าจะถูกผีผลัก
ซ่งเล่อยังไม่ได้แสดงท่าทีตอบสนอง มันเป็นคนซื่อตรงยิ่ง จึงก้าวเข้ามาสองก้าวแล้วชะโงกตัวดู “พี่ฉิน เหตุใดท่านถึงได้ยิ้มอัปลักษณ์เยี่ยงนั้น หรือว่าตะคริวจะรับประทานหน้าท่าน? ให้ข้าพาท่านไปหานักปรุงยาสักหน่อยดีหรือไม่”
“เลิกพล่ามไร้สาระสักที รีบลงไปได้แล้ว!” ฉินจิ่วเกอเริ่มหมดความอดทน ด้านล่างคือมหาวาสนาเชียวนะ
“ถ้ากระสันขนาดนั้นเจ้าก็ลงไปเองสิ” ลั่วเฉินแสดงจุดยืนชัดเจน มันไม่ได้โง่
ฉินจิ่วเกออับจนหนทาง จึงได้แต่หันมาล่อลวงซ่งเล่อ “พี่ซ่ง ท่านลองก้าวเท้าออกมาอีกสองก้าว ใช่ๆ อีกนิดนึง น่านล่ะ”
ซ่งเล่อผู้เถรตรงและไม่ประสีประสาก็ปฏิบัติตามคำสั่งของฉินจิ่วเกออย่างว่าง่าย เดินจนเข้าใกล้รอยแยกบนพื้นอันดำมืดนั้นเข้าไปทุกที
ฉินจิ่วเกอค่อยๆ ย่องมาอยู่ข้างหลังซ่งเล่อด้วยความประสงค์ร้าย ขยับแข้งขยับขารีดเค้นพลัง หัวเข่าส่งเสียงลั่นอย่างที่พร้อมจะระเบิดพลังได้ทุกเมื่อ
“พี่ฉิน ท่านทำอะไร” สัมผัสได้ว่าฉินจิ่วเกอมาอยู่ข้างหลัง ซ่งเล่อก็เริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัย
“รับประทานลูกถีบข้า!”
เพียงได้ยินเสียงฉินจิ่วเกอกู่ร้อง สุ้มเสียงกระหึ่มอยู่สี่จังหวะ สร้างความตกใจแก่ซ่งเล่อจนตัวแข็งทื่อ
จากนั้น ฉินจิ่วเกอก็ยันเท้าออก ถีบเข้าเต็มบั้นท้ายของซ่งเล่ออย่างปราดเปรียวและแม่นยำเป็นที่สุด
ลั่วเฉินตาโต พบเห็นเส้นโค้งอันสวยงาม ราวกับผีเสื้อปีกหักที่กำลังกระพือปีกบินทั้งที่บาดเจ็บไปทั่วร่าง ร่ายระบำอย่างเศร้าสร้อยอยู่กลางเวหา
จากนั้น ผีเสื้อก็ร่วงตกลงกับพื้น จมหายไปกับความมืดมิดใต้บึง พร้อมเสียงกรีดร้องโหยหวนอันลากยาว เนิ่นนานยังไม่จางหายไปจากการได้ยิน
ฉินจิ่วเกอชักเท้ากลับ ท่วงท่าตระหง่านสูงส่ง แสดงสีหน้าพึงใจกับการก่อวีรกรรมในครั้งนี้
“ฮี่ฮี่ ศิษย์น้อง เจ้าว่าเจ้าจะลงไปก่อน หรือจะให้ข้าลงไปก่อนดี?” เมื่อถีบซ่งเล่อลงไปได้แล้ว ฉินจิ่วเกอก็รู้สึกสดชื่นเหมือนได้เกิดใหม่ หันมาหรี่ตาถามศิษย์น้องของมัน
ลั่วเฉินกะพริบตาปริบๆ จากนั้นยกกระบี่ยาวขึ้นขวางลำตัว
โฮกก!
จากในป่า เสียงกู่ของสัตว์อสูรดังขึ้นก่อน ตามมาด้วยเสียงตะกุยเท้าอันกึกก้อง แม้แต่ศิลาหมื่นปียังต้องป่นสลาย สัตว์อสูรชั้นกลั่นดวงธาตุที่ตระหนักถึงการคงอยู่ของพวกฉินจิ่วเกอเป็นจ่าฝูงวิ่งนำทัพออกมา
“ศิษย์น้อง สมควรทราบว่าเป็นก็คือตาย ตายก็คือเป็น ด้านล่างมีโลกอีกใบรอเราอยู่ ยังคงรีบกระโดดลงไปจะดีกว่า”
ฉินจิ่วเกอหยุดอยู่หน้ารอยแยก อ้าแขนออกกว้าง ท่วงท่าราววิหคที่พร้อมต้านกระแสน้ำอันเชี่ยวกราก ทนทายาดต่อความยากลำบากโดยไม่ย่อท้อ
ลั่วเฉินหัวเราะออกมาสองคำ มันตบเท้าเบาๆ จากนั้นพลันดีดตัวข้ามระยะห้าสิบเมตร ภาพติดตายังไม่ทันจางหาย ลั่วเฉินก็บรรลุถึงตรงหน้าฉินจิ่วเกอ ฝ่าเท้าจมหายเข้าไปในช่องท้องของอีกฝ่ายอย่างหมายมั่น
“จ๊ากกก!”
ฉินจิ่วเกอกรีดร้องตามแบบซ่งเล่อ คนร่วงหายลงไปในหลุม ร้องโหยหวน
แขนขาปัดป่ายไปมาในอากาศ ร่างยังคงร่วงดิ่งลงเบื้องล่าง
อย่างที่ปราชญ์วิญญูว่าไว้ คนถูกถีบ คือคนชอบถีบคน*
รอจนฉินจิ่วเกอถูกลั่วเฉินยันลงไปในหลุม สัตว์อสูรชั้นกลั่นดวงธาตุถึงค่อยมาถึง พลังแผ่พุ่งทั่วสารทิศ ฝุ่นทรายน้ำหนักแสนจินฟุ้งกระเซ็น บดบังฟ้าดินสุริยัน
ลั่วเฉินขยับอาภรณ์ขึ้นเล็กน้อย สะบัดไล่ฝุ่นละอองที่ติดตามตัว โดยไม่แม้แต่จะเหลือบมองอสูรตัวนั้น คนก็กระโดดหายเข้าไปในรอยแยกทันที ประดุจดั่งแมลงปอที่เข้าคลุกคลีดอกบัวแรกแย้ม
การเคลื่อนไหวเยือกเย็นไร้แตกตื่น ไม่ช้าไม่เร็ว พอดิบพอดีเป็นที่ยิ่ง ราวประกายแสงพาดผ่าน
อสูรกลั่นดวงธาตุพอเห็นเหยื่อกระโดดหายลงไปในหลุม ร่างที่สามารถบดขยี้ภูเขาเลาเกาของมันก็พลันหยุดดังเอี๊ยด บนพื้นเกิดรอยลึกลากยาวมาแต่ไกล
เมื่อเหยื่อของมันหายลงไปในหลุมแล้ว อสูรกลั่นดวงธาตุตัวนั้นก็ไม่ไล่ล่าต่อ เพียงส่งเสียงคำรามออกมาสองสามครั้ง สุดท้ายก็สะบัดตูดเดินจากไป
.
.
.
หงเหมิง* คือสภาวะก่อนกำเนิดจักรวาล คือแหล่งต้นกำเนิดของทุกสสารในจักรวาล
踹人者,人恒踹之 * คนถูกถีบ คือคนชอบถีบคน สุภาษิตจีนใช้กับคำไหนก็ได้ เช่น คนถูกเหยียด คือคนชอบเหยียดคน ในบทนี้ ฉินจิ่วเกอถีบซ่งเล่อก่อน ดังนั้นมันจึงถูกลั่วเฉินถีบ