ตอนที่ 211 จอมปรภพเก้านรกภูมิ
อ๊าาาาา!
ถูกศิษย์น้องถีบลงบึงมารมรณา นี่เป็นครั้งที่สองที่ฉินจิ่วเกอต้องประสบเคราะห์กรรมอันเลวร้ายอย่างนี้
เสียงกรีดร้องบาดจิตดังลากยาวไม่ขาดสาย ในนั้นมีแต่ความอับจนหนทางและน่าอดสู น้ำลายไหลยืดแตกฟอง ไม่มีอะไรน่าชมมองสักอย่าง
ซ่งเล่อที่ถูกบุคคลที่อวดอ้างตัวเองเป็นสุภาพบุรุษประทุษร้ายได้ร่วงตกลงมาเป็นระยะร้อยเมตรแล้ว มือของมันปิดปากเอาไว้ เพ่งจิตใช้พลังวิญญาณของพิสุทธิ์ไพศาลต้านระดับความเร็วในการตกหล่น ในหุบเหวแห่งนี้ คล้ายมีมือไร้สภาพขนาดใหญ่ฉุดดึงผู้คนลงไปด้านล่าง
ซ่งเล่อจึงได้แต่ใช้พลังยุทธ์ระดับพิสุทธิ์ไพศาลในการลดความเร็วการตกหล่น เพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดสถานการณ์ร่างแหลกยามกระทบพื้น
ในหูมีแต่เสียงลมพัดกระโชก คล้ายมีภูติผีปีศาจมากู่ร้องอยู่ใกล้ๆ
ตรงหน้ามีแต่ความมืดมิด ไม่อาจระบุได้ว่าไกลใกล้สูงต่ำอย่างไร เพียงสัมผัสได้ว่าตัวเองได้กลายสภาพไปเป็นสายรุ้งพาดผ่านท้องนภา และกำลังก้าวเดินไปตามจักรวาลไร้สิ้นสุดเพียงลำพัง
ลั่วเฉินร่วงตกลงมาได้หนึ่งพันเมตร กระนั้นร่างของมันก็ยังคงร่วงดิ่งลงไปอย่างต่อเนื่อง
พลังชนิดนี้ ท่ามกลางความมืดเป็นเหมือนอาณัติจากสวรรค์ แม้แต่มหายุทธ์กลั่นดวงธาตุยังไม่อาจต่อต้านขัดขืน
ทำได้เพียงปรับสภาพแรงต้าน ลดทอนความเร็วในการร่วงหล่น
ทีละน้อย คนทั้งสามก็ปรับตัวกับการตกลงอย่างไร้สิ้นสุดนี้ได้ นอกจากรู้สึกปวดเบาแล้ว ที่เหลือล้วนสามารถกัดฟันทนต่อไปได้
ท้ายที่สุด คนทั้งสามก็ใช้สัมผัสเทวะจนรับรู้ถึงกันและกัน และระดับความเร็วในการตกของพวกมันก็กลายเป็นเท่าเทียม
มือกุมมือเป็นแพวงกลม ร่างหมุนคว้างร่วงหล่นลงสู่ใจกลางโลก
ฉินจิ่วเกอสีหน้าน่าอดสูที่สุด ริมฝีปากของมันพัดเปิดจนแทบจะแนบติดปลายจมูก หนังตาก็มีสภาพไม่แตกต่าง ท่ามกลางความมืด ฟันของมันจึงขาวชัดเป็นพิเศษ เพิ่มความน่าขนลุกขึ้นอีกหลายส่วน ผมของมันพัดขึ้นสู่ฟ้า ลิ้นแข็งเกร็ง
พร้อมกับการผลักดึงของมิติและการหยุดนิ่งของเวลาจนเกิดเป็นระดับความลึก
นับแต่ร่วงตกลงมา ก็เป็นระยะทางกว่าหนึ่งหมื่นเมตรแล้ว กระนั้นก็ยังไม่เห็นก้นหุบเหว
ฉินจิ่วเกอปรับสีหน้า พยายามทำสมาธิ
ตำแหน่งของมันในตอนนี้ลึกเกินกว่าตอนที่มันบังเอิญพบกับเฒ่าเสียเยว่ในตอนนั้นเสียอีก
หรือก็คือ มันไม่อาจรู้ได้เลยว่าตนเองจะต้องเผชิญหน้ากับอะไร
แม้แต่เฒ่าเสียเยว่ที่เป็นถึงกฎสรรพสิ่ง ตอนที่บุกฝ่าเข้ามายังแทบสิ้นชีพิตักษัย
ฉินจิ่วเกอกังวลอยู่บ้าง พยายามใช้สัมผัสเทวะกวาดส่องไปทางลั่วเฉินเพื่อปลอบใจ แต่เพียงพริบตาก็ถูกกระแสลมกระโชกจากด้านล่างพัดสลายไป
ช่างเถอะๆ ปิดตาลงแล้วเตรียมใจเผชิญกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นแล้วกัน
หลังบรรลุระยะหนึ่งหมื่นเมตรใต้ผิวดิน ละอองอากาศขุ่นมัวก็เริ่มปรากฏขึ้น แม้แต่พิสุทธิ์ไพศาลที่เปิดจุดหลิงไถยังต้องหายใจหายคออย่างยากลำบาก ในอกคล้ายมีมือไร้สภาพขนาดใหญ่เกาะกุมเอาไว้ สร้างความรู้สึกอึดอัดอย่างถึงที่สุด
“ใช่มีอะไรผิดพลาดหรือไม่ บึงมารมรณาที่แท้มีความลึกเท่าไหร่กันแน่ น่ากลัวว่าตอนนี้พวกเราคงลงมาได้เกินระยะหนึ่งหมื่นเมตรกันแล้ว” ซ่งเล่อกดกลีบปอด ตะโกนออกมา
ฉินจิ่วเกอได้ยินเสียงเหมือนยุงมาบินอยู่ข้างหู มันย่นคอ ตาแดงก่ำเบิกกว้าง “วางใจเถอะ อีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว เห็นนั่นหรือไม่ ข้างหน้ามีแสง!”
“ไม่ต้องพูดแล้ว นั่นใช่แสงที่ไหน แต่เป็นเพลิงนรกที่ผนึกจากไอหยินต่างหาก!” ลั่วเฉินมีปูมหลังมรดกไม่ตื้นเขิน ล่วงรู้จากตำราบรรพกาลมากมายที่ระบุถึงสิ่งปริศนาเร้นลับต่างๆ บนโลก
เพลิงนรกที่ผนึกจากไอหยิน ก็คือหนึ่งในนั้น!
จากคำเล่าขาน เพลิงนรกคือสัญลักษณ์แห่งเก้านรกภูมิ ไร้สีไร้ลักษณ์ พันแปรหมื่นผัน บงการโดยมัจจุราชผู้ปกครองเหนือวัฏฏะแห่งความเป็นตาย ปุถุชนไม่อาจแตะต้อง ทันทีที่เหยียบย่างสู่รัศมีของเพลิงนรก ย่อมไม่ต่างจากการร่วงหล่นจากโลกมนุษย์สู่ห้วงอเวจี
“งั้นก็แปลว่าพวกเรากำลังจะเข้าสู่อาณาเขตของแดนอเวจีหรอกหรือ?”
ซ่งเล่อกุมมือของลั่วเฉินและฉินจิ่วเกอแน่น คนทั้งสามหมุนคว้างเป็นลูกข่าง พุ่งดิ่งลงข้างล่าง ยิ่งมายิ่งเข้าใกล้เปลวเพลิงกลุ่มนั้น
เป็นตายดำรงโชคชะตา เก้านรกภูมิดำรงสังสารวัฏ
แดนอเวจี คือที่สถิตของจ้าวปรภพ อันเป็นตัวตนสูงสุดของโลกนี้ เป็นต้นกำเนิดแห่งความตายและความดับสูญ
“ห้ามสูดเอาเพลิงนรกเข้าไปเด็ดขาด รีบใช้ไอวิญญาณปิดกั้นทวารทั้งเจ็ดเอาไว้เร็ว หากสูดรับเข้าไป อวัยวะภายในคงไม่แคล้วถูกช่วงชิง เหลือไว้เพียงดวงจิตกลวงๆ ที่ไม่ต่างจากตายไปแล้ว!”
ลั่วเฉินพูดจบก็รีบผนึกไอพลัง จากนั้นจึงปิดตาไม่ขอมองไปทางกลุ่มแสงสีขาวซีดนั่นอีก
กลุ่มแสงนี้มีรูปลักษณ์เหมือนเมฆที่ลอยอยู่กลางนภา ลักษณะอ่อนนุ่ม ราวกับมีสสารอันหนาแน่นจนจับต้องได้อยู่ภายในนั้น
หากมองด้วยตาเปล่า ราวกับว่าร่างของตนกำลังจะแตะสัมผัสกับฟูกอันอ่อนนุ่มจนผล็อยหลับไปในอีกไม่นาน
ยิ่งเข้าใกล้แสงกลุ่มนั้น มิติเวลาก็จางหาย หยินหยางแตกดับ มีเพียงกระแสลมหวนพัดวูบอยู่ตลอดเวลา นำพาความหนาวเย็นชำแรกกระดูกมาให้
โลกคล้ายพลิกกลับตาลปัตร ฉินจิ่วเกอและพรรคพวกไม่ได้กำลังร่วงหล่น แต่กำลังก้าวเดินเป็นเส้นตรง การที่จะเกิดสัมผัสหลอนเช่นนี้ขึ้นได้ แปลว่าภายใต้การชักนำของเพลิงนรก โลกหล้าได้บิดเบี้ยวผิดจากตำแหน่งเดิมไปแล้ว
ฟ้าวว!
คนทั้งสามเหมือนลูกหินที่แกว่งกระดอนอยู่กลางลมหิมะและกำลังพุ่งตรงเข้าหาเพลิงนรก สร้างระลอกคลื่นเป็นริ้วๆ และถูกหักลบเหลี่ยมมุมโดยมิติเวลาที่แข็งค้าง
พริบตาที่เข้าใกล้รัศมีของเพลิงนรก สิ่งต่างๆ ก็ปรากฏสู่สายตาของฉินจิ่วเกอ
มีทั้งภูติผีน่าสะพรึงกลัวชวนขนลุกที่เนื้อตัวเน่าเปื่อยกำลังกัดแทะซากศพท่ามกลางกองกระดูกสุมสูง มีทั้งซากร่างแห้งเหี่ยวเส้นผมปรกหน้านอนแช่อยู่ในบ่อโลหิต ผิวหนังแห้งกรังของพวกมันพองบวมจนเหมือนหัวไชเท้า
ขีดจำกัดแห่งฟ้าดิน เจตนารมณ์แห่งสวรรค์
การเวียนว่ายตายเกิด ความสิ้นหวังท้อแท้ หยินหยาง จอมปรภพ และอิสระไร้พันธะ
หลังผ่านเพลิงนรกมาแล้ว ก็ปรากฏแสงสว่างสาดแยงนัยน์ตา ทุกคนปิดตาลง จนสามารถมองเห็นเส้นเลือดฝอยบริเวณเปลือกตาได้อย่างชัดเจน แต่ประสบการณ์แปลกประหลาดนี้ก็ไม่ได้ดำรงอยู่นาน
ได้ยินเสียงร่ำไห้ราวกับเสียงของทารก จากนั้นเพลิงนรกก็อันตรธานหาย เหลือไว้เพียงความหนาวเย็นเสียดกระดูกที่ห้อมล้อมคนทั้งสามไว้
พวกมันเบียดตัวเข้าหากัน มือเกาะกุมแน่นหนาจนข้อนิ้วขาวซีดด้วยความหนาวสั่น
อุณหภูมิที่ตกลงฮวบฮาบราวกับกำลังแหวกว่ายอยู่ในธารน้ำแข็ง รูขุมขนปกคลุมไปด้วยชั้นน้ำแข็ง
แรงเฉื่อยจากการร่วงตกด้วยความเร็วสูงได้หายไปแล้ว แช่แข็งไปพร้อมกับอุณหภูมิศูนย์องศา คนทั้งสามเดินย่ำศิลาดำบนพื้น จนมาถึงหน้าวิหารเทวะสมัยไท่หวงเข้าอย่างไม่รู้ตัว
เพลิงนรกผุดวาบ มิติเวลาแปรผัน หยินหยางอลหม่าน วิถีฟ้าประกาศสำเนียง
เก้านรกภูมิดำรง ซ่อนหลบจากสังสารวัฏ จอมปรภพหลับใหล อยู่คงชั่วกาลนาน
วิหารเทพสูงจรดสวรรค์ กว้างไกลเท่าผืนพสุธา คนทั้งสามเดินข้ามจัตุรัสหน้าตัววิหาร ศิลาดำเหล่านี้ถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่สมัยเบิกฟ้าดิน แฝงไว้ด้วยมนต์เสน่ห์อันเก่าแก่และยิ่งใหญ่สุดหยั่งคาด
ทั้งเก่าแก่และไพศาล ที่ที่พวกมันกำลังเดินอยู่ คือเขตศิลาดำอันเล็กจ้อยเพียงหลืบมุมหนึ่งเท่านั้น
“ที่นี่คือที่ไหน?” ซ่งเล่อกวาดตามองกำแพงที่สุมซ้อนไล่เรียงกันไปจนสุดสายตา แลดูยิ่งใหญ่อลังการยิ่งกว่าพระราชวังสวรรค์ของเง็กเซียนฮ่องเต้เสียอีก
ไม่มีใครสามารถให้คำตอบกับมันได้ ที่นี่เสียงของมันไม่ได้สะท้อนกลับมา และก็ไม่ได้ถ่ายทอดไปไกลเท่าใด เพียงกลืนหายไปกับความมืดชวนขนลุกเฉยๆ
“บางที นี่อาจเป็นส่วนลึกที่สุดของบึงมารมรณา และพวกเราก็อยู่ใต้โลก” ลั่วเฉินกวาดตามองไปรอบๆ ที่มองเห็นเป็นเพียงหนึ่งในหมื่นส่วนของพื้นที่ทั้งหมดเท่านั้น ที่นี่คือสถานที่อันน่าอัศจรรย์อย่างแท้จริง สุดที่ปุถุชนจะจินตนาการได้
น่าเหลือเชื่อจนไม่อาจบ่งบอกบรรยาย
“อืม พวกเราเข้าไปดูกันเถอะ” ฉินจิ่วเกอตื่นเต้นยินดี บางทีที่นี่อาจเป็นหลุมสมบัติที่เฒ่าเสวียเยว่อยากเข้ามาแต่ไม่อาจทำได้
เพียงยืนอยู่นอกตัววิหารก็รู้สึกเหมือนกำลังได้ควบคุมการโคจรของสุริยันจันทราและการปรับเปลี่ยนสี่ฤดูกาลของหยินหยาง ความรู้สึกอันยิ่งใหญ่ไพศาลนี้มีแต่เทพสวรรค์จะพึงมี หลับใหลไปตลอดกาล
คนทั้งสามค่อยๆ วิ่งมาจนถึงหน้าประตูวิหาร
ประตูทำขึ้นจากเหล็กที่ระบุที่มาไม่ได้ สูงใหญ่ร้อยจั้ง กว้างสามร้อยถึงหกร้อยก้าว และประตูย่อยอีกสี่สิบก้าวบาน ประทับอยู่เหนือขั้นบันไดหยกเก้าร้อยชั้น ตัวหยกเป็นสีดำขลับ แผ่ระลอกมืดหม่นเร้นลับอย่างหนุนเนื่อง เป็นฐานรากแห่งเก้านรกภูมิ
บานประตูนี้สูงใหญ่สุดคณานับ มีแต่เทพโบราณที่ค้ำฟ้าดินเท่านั้นจึงจะสถิตอยู่ได้ คนทั้งสามลอดผ่านบานประตูเข้าไป ราวกับกำลังลอดผ่านช่องแคบระหว่างหุบเขา อากาศภายในอุโมงค์ลึกแคบโดดเดี่ยวนี้ขุ่นมัวไม่เบา
หลังจากเดินมาได้ร้อยก้าว ฉินจิ่วเกอก็ยกมือปาดเหงื่อ โลกที่หนาวเย็นขนาดนี้ เหงื่อบนหน้าผากมันกลับผุดซึมออกมามิขาดสาย
ในใจตกตะลึงจนรู้สึกด้านชาไปแล้ว สูญเสียสตินึกคิด มีแต่อาการสั่นสู้ที่คงอยู่
จากช่องแคบประตูผ่านเข้ามาถึงตัววิหาร มีกระถางเพลิงที่คุโชนดั่งคชสารให้ความสว่างไสวชั่วกาลอยู่อย่างอ้อยอิ่ง พร้อมกับแสงแห่งเพลิงนรก เผยให้เห็นประกายสีเขียวมรกตอ่อนจางรอบตัว
และแล้วคนทั้งสามก็ต้องตกตะลึงกับภาพที่ปรากฏขึ้นในวิหารอีกครั้ง รู้สึกเหมือนสมองกำลังจะระเบิด ที่นี่มีวัตถุอยู่มากมายเกลื่อนล้นจนไม่อาจส่องสำรวจได้หมดในเวลาอันสั้น
ห้องโถงทรงเหลี่ยมปูไว้ด้วยศิลาดำเป็นทรงกลม
สุมซ้อนกันเป็นชั้นๆ เหมือนทวิอัฒจันทร์ ในแต่ละขั้นมีเงาร่างสูงใหญ่ดำมืดนั่งอยู่อย่างสงบนิ่ง
ลองนับดู อย่างน้อยมีมากกว่าสามพันขึ้นไป พวกมันล้วนนั่งอยู่อย่างเรียบๆ ร้อยๆ จ้องมองลงมายังใจกลางจัตุรัสเบื้องล่าง
คนทั้งสามเดินตรงเข้าหา สองฟากข้างคือสัตว์เทวะตามแต่ละยุคสมัย
มีทั้งมังกร หงสา และสัตว์อสูรที่ไม่อาจระบุได้อีกหลายชนิด บ้างมีเขา บ้างมีสามหัว
หลังจากที่เดินจนสุดทาง ก็มาถึงใจกลางห้องโถงหลัก
มองเห็นขั้นบันไดเวียนที่ยกสูงขึ้นจากพื้นตรงหน้า แต่ละชั้นสุมซ้อนกันขึ้นไป นับได้ทั้งหมดเก้าชั้น แสดงถึงขีดจำกัดแห่งเก้าสวรรค์เก้าชั้นเมฆ
“สะสะสะ… ศพ!” ซ่งเล่อกรีดร้อง
แสงไฟค่อยๆ ส่องสว่าง ช่วยให้ห้องโถงอันเปลี่ยวเหงาแห่งนี้สว่างเรืองรองมากขึ้น เหนือขั้นบันไดเหล่านั้น คือศพที่นั่งเรียงรายกันอยู่ทุกทิศทาง ต่างจับจ้องมองดูพวกมันจากเบื้องบน
ฉินจิ่วเกอรีบปิดปากซ่งเล่อเป็นการด่วน กัดลิ้นเบิกตามองไปรอบด้าน บนทวิอัฒจันทร์คือผู้ชมที่กลายสภาพไปเป็นซากร่างแห้งเหี่ยว ขอเพียงเงยหน้าขึ้น ท่านก็สามารถมองเห็นซากศพที่ไม่เน่าเปื่อยเหล่านี้ได้
พวกมันต่างก้มหน้ามองดูจัตุรัสทรงกลมด้านล่าง ราวกับมนุษย์ที่ยังมีลมหายใจทั้งสามก็คือปลาที่ถูกวางอยู่บนเขียง!
ลั่วเฉินเหลียวกลับไปมองทางที่เข้ามาแล้วก็ต้องยกมือถูตาอย่างไม่อยากเชื่อ ปรากฏว่าทางเดินนั้นได้หายไปแล้ว
เหลือเพียงซากศพนับไม่ถ้วน กำลังรายล้อมพวกมันอยู่เท่านั้น
“พวกมัน.. พวกมันตายแล้วใช่ไหม” ฉินจิ่วเกอเอ่ยถามด้วยความไม่แน่ใจ จากนั้นลองกัดปลายลิ้นดู ซี๊ดดด ไม่ได้ฝันไปจริงๆ
ลั่วเฉินพ่นลมหายใจระอุร้อนออก นัยน์ตาดำขลับกลืนหายไปกับความว่างเปล่า “คงจะตายไปแล้วนั่นล่ะ เพียงแต่พวกมันอยู่ในสภาวะที่แปลกพิสดารยิ่ง ยังจำตอนที่พวกเราเผอิญเจอกองทัพกระดูกขาวในสนามรบโบราณได้หรือไม่?”
“เจ้าไฉนถึงรู้เรื่องสนามรบโบราณได้?” ซ่งเล่อร่ำร้องขึ้นมาทันที ถึงว่าทำไมเวลามันมองดูศิษย์น้องผู้นี้ของฉินจิ่วเกอแล้วรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาอย่างบอกไม่ถูก
ฉินจิ่วเกอตบบ่าซ่งเล่อ “ซ่งน้อย เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ ทุกคนสมควรสามัคคีร่วมใจกัน เรื่องเท่าเม็ดขี้งาก็โยนทิ้งไปบ้าง ปล่อยวางไปก่อน เจ้าต้องรู้จักมองภาพรวมเสียบ้าง”
ปรายตามอง ซ่งเล่อกลืนลูกกระเดือกอย่างยากลำบาก “งั้นเจ้ามีอะไรจะพูดก็รีบพูดมา”
“พอได้ยินศิษย์น้องพูดแบบนั้น ข้าเองก็รู้สึกว่าศพพวกนี้แปลกประหลาดจริงๆ นั่นแหละ นอกเสียจากพวกมันจะเป็นต้าหลัวจินเซียน แม้แต่กฎสรรพสิ่งยังต้องดับสูญ วิหารเทพคงอยู่ในเก้านรกภูมิรายล้อมด้วยเพลิงนรกมาได้นับล้านปี พวกมันไม่ควรที่จะมีชีวิตอยู่อีก” ฉินจิ่วเกอสันนิษฐาน
“ที่แปลกก็คือตรงนี้นี่แหละ” ลั่วเฉินใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ของที่ทำให้มันกลัวได้มีอยู่เพียงไม่กี่อย่าง และนี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น “พลังชีวิตของพวกมันขาดสะบั้นลงแล้ว เพียงแต่ พวกมันใช้วิธีการเร้นลับบางอย่างจึงยังดำรงอยู่ได้”
“กองทัพกระดูกขาวพวกนั้นก็ไม่มีสัญญาณชีวิต ไม่อาจนับเป็นสิ่งมีชีวิตได้ แต่พวกมันก็มีวิธีในการดำรงอยู่ในแบบของพวกมัน ทั้งยังสามารถเคลื่อนไหวไปมาได้อีกด้วย ความหมายของเจ้าคือ ซากศพพวกนี้มีหลักการเดียวกันกับกองทัพกระดูกขาวในตอนนั้น?”
ซ่งเล่อกล่าวจบ ร่างของมันก็ต้องสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง แต่แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะความหนาว