บทที่ 213 องค์หญิงอีกแล้ว

บทที่ 213 องค์หญิงอีกแล้ว

หนานกงฉีโม่พลิกเสื้อขนสัตว์ในมือไปมาพลางสำรวจอยู่หลายรอบ

“นี่เป็นขนแกะจริงหรือ”

เขาก็ยังเชื่อไม่ลงอยู่ดีว่าเจ้าสิ่งนี้จะทำจากขนแกะที่ทั้งเหม็นสาบ ทั้งยังไร้ราคาเช่นนั้น

สีขาวผ่องประดุจปุยเมฆ ทั้งยังส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ

เสี่ยวเป่าเอามือน้อย ๆ ไพล่หลัง พยายามไม่แสดงสีหน้าภูมิอกภูมิใจออกมา

“ก็ขนแกะน่ะสิเพคะ พี่รองรีบสวมดูสิว่าอุ่นหรือไม่”

เสี่ยวเป่าดันหลังให้เขาไปเปลี่ยนชุด จากนั้นก็กระโดดโลดเต้นกลับมาและหยิบหญ้าป้อนม้าต่อ

“กินเยอะ ๆ เลยนะ อร่อยใช่หรือไม่ เสี่ยวเป่าเป็นคนปลูกเอง”

“ฮี้ ๆ~”

ม้าสีดำตัวโตส่งเสียงร้องคล้ายกับตอบนาง ดูเพลิดเพลินกับการกินยิ่งกว่าเดิม

“รอให้เจ้ากับพี่รองออกเดินทางเมื่อไหร่ เสี่ยวเป่าจะให้เมล็ดพันธ์ุหญ้างอกงามไปด้วย แค่สองเดือนเจ้าก็จะได้กินหญ้าสด ๆ แล้ว…”

หนานกงฉีโม่สวมเสื้อขนแกะไว้ด้านใน ส่วนด้านนอกสวมเสื้อเพียงชั้นเดียวก็รู้สึกร้อนอบอ้าวแล้ว

หากนำเสื้อตัวนี้ไปที่ชายแดน จะต้องช่วยป้องกันความหนาวเย็นในฤดูหนาวได้อย่างแน่นอน!

“ร้อนมาก ข้าขอไปเปลี่ยนก่อน”

อากาศเช่นนี้แค่ลองสัมผัสก็นับว่าเพียงพอแล้ว

แต่ว่านี่คือขนแกะที่ราคาแสนถูก มิหนำซ้ำยังเป็นขนแกะที่ชนเผ่าทุ่งหญ้าโยนทิ้งอย่างเสียเปล่า บัดนี้น้องสาวของเขากลับนำมาสร้างสรรค์จนกลายเป็นสิ่งที่คนทั่วไปมิอาจเอื้อมถึง และที่สำคัญที่สุดก็คือความสามารถในการให้ความอบอุ่น

เมื่อเปลี่ยนชุดเสร็จ หนานกงฉีโม่ก็อุ้มน้องสาวที่กำลังป้อนอาหารให้ม้า มาหมุนไปรอบ ๆ

“เสี่ยวเป่าช่วยพี่รองได้มากเลย!”

ยามนี้อากาศที่เมืองหน้าด่านเริ่มหนาวเย็นแล้ว เกรงว่าหิมะคงจะโปรยลงมาพอดีเมื่อเขากลับไปถึง

เขากำลังคิดไม่ตกว่าจะทำเช่นไรให้ต้านความหนาวได้ดียิ่งขึ้น แต่แล้วน้องสาวก็สร้างความตกตะลึงครั้งใหญ่ให้แก่เขา

เจ้าก้อนแป้งกอดคอพี่รองอย่างแนบชิด พลางตอบด้วยเสียงออดอ้อน

“เสี่ยวเป่ามีความสุขที่ได้ช่วยพี่รองเพคะ”

ช่างเป็นเสื้อบุนวมตัวน้อย*[1]ที่ไม่หวังอะไรตอบแทนจริง ๆ

หนานกงฉีโม่จ้องมองเจ้าตัวน้อยในอ้อมแขนด้วยแววตาเอ็นดู เหตุใดน้องสาวของเขาถึงเป็นเด็กดีได้ขนาดนี้นะ

การใช้ขนแกะทำเสื้อขนสัตว์นั้นเป็นเรื่องเร่งด่วนยิ่ง หนานกงฉีโม่อุ้มน้องสาวและรีบเร่งไปยังห้องอักษรเพื่อเขียนจดหมายถึงแม่ทัพเซี่ยที่อารักขาอยู่ที่เมืองหน้าด่าน บอกให้พวกเขารวบรวมขนแกะให้มากที่สุดเท่าที่จะหาได้

เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ หนานกงฉีโม่จึงแนบเสื้อขนสัตว์ตัวนั้นไปกับจดหมายอย่างไม่เต็มใจนัก

เขายังกำชับในจดหมายอีกว่าให้เซี่ยสุยอันช่วยตนรวบรวมของสวยงามและขนสัตว์ล้ำค่าจำนวนหนึ่ง เพื่อนำมาทำผ้าพันคอและเสื้อคลุมให้กับน้องสาว

จู่ ๆ ชายหนุ่มก็พลันนึกขึ้นได้ว่าเสื้อผ้าที่ส่งมาให้น้องสาวก่อนหน้านี้มันไม่เพียงพอ น้องสาวของเขาจะมีเสื้อคลุมไว้ใช้ในหน้าหนาวแค่ไม่กี่ตัวได้อย่างไร อย่างน้อยก็ต้องมีห้าถึงหกตัวและไม่ซ้ำแบบ นางจะได้มีไว้ผลัดเปลี่ยนทุกวัน!

เมื่อเขียนจดหมายเรียบร้อยแล้ว หนานกงฉีโม่ก็นำไปให้เสด็จพ่อได้ทอดพระเนตรก่อน

ในฐานะองค์ชาย มิหนำซ้ำยังเพิ่งเปิดเผยความลับเรื่องที่เสด็จแม่และท่านยายของตนลอบทำร้ายองค์ชายใหญ่ ไม่รู้ว่ายามนี้ผู้คนภายนอกกำลังจับตาดูการเคลื่อนไหวของเขามากน้อยเพียงใด เขาส่งจดหมายถึงแม่ทัพเซี่ยที่คุมกำลังทหารอันแข็งแกร่งไว้ในมือโดยตรงเช่นนี้ คงถูกกล่าวโทษไม่น้อยเป็นแน่ มิสู้ถือโอกาสให้เสด็จพ่อได้ทอดพระเนตรให้รู้แล้วรู้รอด หลีกเลี่ยงเรื่องวุ่นวายที่จะตามมาในภายหลัง

หนานกงสือเยวียนย่อมห่วงใยเหล่าทหารและประชาชนที่อาศัยอยู่แถบชายแดน เพียงแต่หลายวันมานี้มัวยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของจวนเซวียนผิงโหวและการเก็บเกี่ยวผลผลิตในฤดูใบไม้ร่วง จึงหลงลืมไปบ้าง

เขาพยักหน้าเมื่อได้อ่านจดหมายขององค์ชายรอง “ข้าจะส่งคนไปเรียนรู้วิธีฟอกขนแกะโดยเร็วที่สุด”

จะต้องรีบผลิตเสื้อกันความหนาวให้เร็วที่สุดก่อนที่จะเข้าสู่ฤดูหนาวโดยสมบูรณ์

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ!”

“บอกให้พวกน้องชายของเจ้าเตรียมตัวให้พร้อม พรุ่งนี้เราจะไปเก็บเกี่ยวผลผลิตที่นาหลวง”

“พ่ะย่ะค่ะ”

เสี่ยวเป่าชูมือน้อย ๆ ขึ้น “แล้วเสี่ยวเป่าล่ะเพคะเสด็จพ่อ เสี่ยวเป่าก็อยากไปด้วย”

ท่าทางกระตือรือร้นน้อย ๆ ราวกับกลัวว่าตัวเองจะถูกทิ้งก็มิปาน

หนานกงสือเยวียนอุ้มเจ้าตัวน้อย ทำทีไม่รู้สึกอันใด

“เจ้าจะไปทำอันใด? ข้าไม่อนุญาต”

เสี่ยวเป่า “ಥ_ಥ”

ท่านพ่อไม่รักเสี่ยวเป่าแล้ว QAQ

“เสี่ยวเป่ามีประโยชน์นะ เสี่ยวเป่าเก็บผลผลิตได้ จับปลาก็ได้”

หนานกงสือเยวียน “ไม่ได้ เจ้าขาสั้น”

เสี่ยวเป่ากระทืบเท้าขึ้นลง ฮึ่ย! ผ่านมาตั้งนานแล้วเหตุใดขายังสั้นเช่นนี้อยู่เล่า!

“เสี่ยวเป่าจะเป็นเด็กดี ไม่วุ่นวาย ท่านพ่อดูสิเพคะ เสี่ยวเป่าเป็นเด็กดีจริง ๆ นะ”

เจ้าตัวเล็กกะพริบตาดวงโตปริบ ๆ อย่างน่าสงสารเป็นการยืนยันคำพูดตัวเอง

หนานกงสือเยวียนมิได้ตอบตกลง จึงถูกเจ้าก้อนแป้งคอยรบเร้าไม่ห่างอยู่หนึ่งวันเต็ม ๆ

หนานกงฉีโม่ที่เตรียมจะพาน้องสาวไปเที่ยวเล่นด้วยกัน “…”

แม้จะไม่มีหลักฐาน แต่เสด็จพ่อต้องจงใจเป็นแน่!

เสด็จพ่อจะไม่พาเสี่ยวเป่าไปด้วยได้อย่างไร เขาแทบจะผูกเสี่ยวเป่าไว้ที่เอวแล้วพกไปไหนต่อไหนเสียด้วยซ้ำ!

ไม่คิดเลยว่าท่านจะเป็นเสด็จพ่อที่ใช้กลอุบายเช่นนี้!

ทว่าเสี่ยวเป่ามิได้รู้เรื่องด้วย กระทั่งยอมแบ่งของว่างที่ตัวเองชอบที่สุดให้เสด็จพ่อตั้งครึ่งหนึ่ง

เมื่อเห็นใบหน้ากลม ๆ ทำท่าทางน้อยอกน้อยใจพลางทำหน้าน่าสงสาร หนานกงสือเยวียนก็มิอาจปฏิเสธได้ ว่าการเลี้ยงดูลูกสาวนั้นมีความสุขมากกว่าการเลี้ยงลูกชายจริง ๆ

“ฮือ ๆ ๆ…เสี่ยวเป่าไม่มีขนมแล้ว”

ดวงตาน้อย ๆ มองของว่างบนโต๊ะของท่านพ่อที่เดิมทีเป็นของตัวเองตาปริบ ๆ

โมโหแก้มป่อง.jpg

หากแอบขโมยผลไม้แช่อิ่มสองสามชิ้น ท่านพ่อคงไม่สังเกตหรอกกระมัง?

เสี่ยวเป่าวางแผนอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม นางเขย่งขาสั้นป้อมแล้วค่อย ๆ มุดเข้าไปใต้โต๊ะของท่านพ่อ

“เสี่ยวเป่าเอาอันนี้แหละ”

พูดปุ๊บก็ลงมือปั๊บ อาศัยตอนที่ท่านพ่อกำลังตั้งใจทำงานจึงไม่ทันสังเกตเห็น

เสี่ยวเป่าแอบอยู่ใต้โต๊ะ จากนั้นก็เอื้อมมือน้อย ๆ แล้วเลื่อนของว่างที่วางอยู่ข้างบนช้า ๆ

อุ้งมืออ้วนกลมคว้าอยู่นานแต่ก็คว้าไม่ถึง หนานกงสือเยวียนที่นั่งอยู่ตรงนั้นทนมองไม่ได้อีกต่อไป จึงแกล้งยัดใส่มือของนางหนึ่งชิ้นอย่างไม่ตั้งใจ

เหตุใดถึงโง่งมเช่นนี้ แขนสั้นเพียงนั้นจะเอื้อมถึงได้อย่างไร?

เสี่ยวเป่าที่ทึกทักว่าตนฉลาดคว้ามาได้หนึ่งชิ้นก็รีบหดมือกลับทันที จากนั้นก็แอบกินเงียบ ๆ อยู่ใต้โต๊ะราวกับเป็นหนูตัวน้อย

“ฝ่าบาท เหล่าใต้เท้ามาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงสือเยวียน “ให้พวกเขาเข้ามา”

ผู้ที่มาเข้าเฝ้าคือ เซี่ยกั๋วกงผู้เฒ่า เจ้ากรมคลัง เจ้ากรมกลาโหม และอำมาตย์อีกสามคน

“ฝ่าบาท ชายแดนนั้นหนาวเย็นแลทุกข์ยาก เครื่องป้องกันความหนาวของที่นั่นมิได้เปลี่ยนใหม่มาถึงสามปีแล้ว ขอฝ่าบาททรงพิจารณาเปลี่ยนเครื่องนุ่งห่มใหม่แก่เหล่าทหารที่อยู่แถบชายแดนด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงสือเยวียนมองไปที่เจ้ากรมคลัง “ปีนี้กรมคลังจัดหากระโจมและเบี้ยเลี้ยงทหารได้เท่าใด?”

เจ้ากรมคลังโค้งคำนับ “ทูลฝ่าบาท ปีนี้จัดหามาได้หนึ่งแสนกระโจม เบี้ยเลี้ยงสองล้าน ยังไม่นับรวมภาษีธัญพืช เกรงว่าต้องใช้เวลาสามเดือนจึงจะคำนวณเสร็จสิ้น เสบียงที่มีอยู่ในคลัง ณ ปัจจุบันมีเพียงห้าร้อยต้าน*[2] พ่ะย่ะค่ะ”

เจ้ากรมกลาโหม “ฝ่าบาท ท่านมิอาจสนพระทัยเพียงกองทัพที่เมืองชายแดนทิศพายัพ กองทัพที่ประจำการยังเมืองอื่น ๆ เองก็ขาดแคลนเช่นกัน การเก็บภาษีธัญพืชได้ในเร็ววันนับว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่การจะหาเครื่องป้องกันความหนาวให้แก่เหล่าทหารในฤดูหนาวเป็นเรื่องยากยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”

“ฝ่าบาท กระหม่อมได้ยินว่าพระองค์มีเครื่องป้องกันความหนาวที่ดียิ่งกว่า เป็นความจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ”

เจ้ากรมคลัง “ท่านนี่รู้ข่าวเร็วยิ่งนัก เจ้ากรมคลังเช่นข้ายังมิเคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อนเลย”

เจ้ากรมกลาโหม “ท่านรู้จักแต่พูดว่าท้องพระคลังว่างเปล่า ย่อมไม่สนว่าทหารต้องทนหิวทนหนาวหรือไม่”

กั๋วกงผู้เฒ่าประสานมือเข้าหากัน “ข้าว่าตอนนี้ พวกท่านหารือเรื่องการจัดสรรปันส่วนทรัพยากรจะดีกว่า เงินเพียงสองล้านตำลึง ลำพังแค่ทหารเมืองชายแดนทิศพายัพก็มีจำนวนเกือบแสนแล้ว ยิ่งมิต้องพูดถึงกองทัพประจำการเมืองชายแดนอื่น ๆ เงินเพียงเท่านี้จะไปพอทำอันใดได้ มิเพียงต้องให้เบี้ยเลี้ยงพวกทหาร อีกทั้งยังต้องซื้อหญ้าให้ม้ากิน ไหนจะเสื้อผ้าไว้ป้องกันความหนาวเย็น”

เจ้ากรมกลาโหม “เสบียงก็ไม่พอให้แบ่งสันปันส่วนเช่นกัน ห้าร้อยต้านมิเพียงพอให้ทหารทุกนายกินเดือนเดียวเสียด้วยซ้ำ”

เจ้ากรมคลังพ่นลมหายใจพลางจ้องมองเขา “เช่นนั้นข้าจะทำอันใดได้? ข้าเสกเสบียงและเงินทองออกมาไม่ได้หรอกนะ พระคลังถูกเบียดเบียนจนไม่มีเหลือแล้ว”

“ข้าก็เห็นกรมคลังของท่านมีเสบียงกับเงินไม่พอทุกปี แล้วจะมีท่านไว้ทำประโยชน์อันใด!”

“เหอะ! พวกเจ้าช่วยใช้หัวคิดให้มากกว่าปากหน่อยเถิด แต่ละปีกรมคลังต้องเลี้ยงปากท้องผู้คนตั้งมากมาย ไหนพวกเจ้าลองบอกมาสิว่าจะไปหาเสบียงและเงินทองมากมายเช่นนั้นมาจากที่ใด ขยับฝีปากเมื่อใดก็ล้วนคิดว่าจะมีให้พวกเจ้าทุกอย่าง ข้าก็อยากให้มันมีเหมือนกันนั่นแหละ!”

“ฝ่าบาท พระองค์โปรดให้ความเป็นธรรมแก่กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ ท้องพระคลังมีเงินเหลือนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ก็มีเพียงสองล้านเท่านั้น พวกกระหม่อมต้องเตรียมการป้องกันเผื่อเกิดเหตุภัยพิบัติ มิเช่นนั้นแล้วหากเกิดภัยพิบัติขึ้นมา แต่ช่วยเหลือคนเดือดร้อนได้มิทันการณ์ ราษฎรจะลุกฮือเอาได้นะพ่ะย่ะค่ะ”

ไม่ว่าฮ่องเต้พระองค์ใด ก็ล้วนมิอาจรับประกันได้ว่าจะไม่เกิดภัยพิบัติในรัชสมัยของตน ด้วยเหตุนี้ กรมคลังจึงต้องเตรียมเสบียงและเงินทองไว้พร้อมรับมือกับเหตุภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

ในแต่ละปีอาณาจักรมีราษฎรที่ต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้องมากมายมหาศาล ด้วยการอาศัยรายได้จากการเก็บภาษีของกรมคลังเพียงทางเดียว อีกทั้งรายจ่ายก็ขาดทุนทุกปี หากจะตำหนิเจ้ากรมคลังที่เอาแต่พร่ำบ่นว่าท้องพระคลังว่างเปล่าและคิดคำนวณทุกสิ่งอย่างละเอียดรอบคอบก็คงจะมิได้ เพราะเหตุที่ว่าไม่มีเสบียงและเงินทองเหลืออย่างที่ว่าจริง ๆ

เสี่ยวเป่าที่หลบอยู่ใต้โต๊ะได้ยินการโต้เถียงของพวกเขาทั้งหมดอย่างชัดเจน

ได้ความว่าท่านพ่อของนางขาดแคลนเงิน ขาดแคลนเสบียง ทั้งยังขาดแคลนเสื้อผ้า และท่านพ่อต้องเลี้ยงดูคนมากมาย

ฉะนั้นเสี่ยวเป่าต้องไม่ยอมแพ้ นางจะต้องปลูกพืชพันธ์ุให้ท่านพ่อเยอะ ๆ

เสี่ยวเป่าเริ่มนับนิ้วคำนวณ นางมีต้นข้าวสาลีแล้ว แต่ว่าเมล็ดพันธ์ุต้นข้าวสาลีของโลกนี้คุณภาพไม่ค่อยดีนัก จึงต้องปลูกพืชพันธุ์ให้มากกว่านี้

นอกจากนี้ยังมีมันเทศ มันเทศเป็นพืชที่เจริญเติบโตได้ดี แต่ยังไม่แพร่หลายมากนัก เมล็ดก็มีไม่เพียงพอ นางต้องรอให้เสด็จพ่อปลูกพวกมันในนาหลวงเสียก่อนจึงจะมีจำนวนเมล็ดเพิ่มขึ้น

แล้วก็ยังมีธัญพืชชนิดอื่น ๆ อีกไม่น้อย แต่ว่าปริมาณผลผลิตที่ได้ไม่ต่างจากข้าวสาลีเท่าใดนัก

ส่วนเรื่องที่ไม่มีเสบียง… ทั้งข้าวโพดและมันฝรั่ง คงจะดีหากว่านางมีเมล็ดพันธุ์สองชนิดนี้ในถุงนำโชคของตัวเอง จริงสิ แล้วก็ต้นฝ้ายด้วย ฝ้ายเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการป้องกันความเหน็บหนาว ขนเป็ดและขนห่านก็ใช้ได้เช่นกัน

“เป็นเรื่องจริงที่เรามีเครื่องป้องกันความหนาวที่ให้ผลดีมาก องค์หญิงน้อยเป็นผู้ค้นพบมัน ตอนนี้เราได้สั่งให้คนไปรวบรวมแล้ว”

ดวงตาของเจ้ากรมคลังเบิกกว้าง “องค์หญิงอีกแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ!”

นี่มันเรื่องอันใดกัน? ไม่ว่าที่ใดก็ล้วนแต่มีเงาขององค์หญิงน้อย ฝ่าบาทคงไม่ได้กำลังปลอบพวกเขาอยู่หรอกนะ!

หนานกงสือเยวียนเหลือบมองพวกเขา “องค์หญิงค้นพบว่าขนแกะช่วยป้องกันความหนาวได้ นางจึงคิดค้นสูตรยาเพื่อทำให้ขนแกะมีความนุ่มมากขึ้น ทั้งยังช่วยขจัดกลิ่นสาบของขนแกะ และให้นางกำนัลถักทอเป็นเสื้อให้ความอบอุ่น”

พูดจบเขาก็โบกมือ ฝูไห่เข้าใจในทันที จึงนำเสื้อขนสัตว์สีขาวดุจหิมะตัวหนึ่งมาให้กับเหล่าใต้เท้า

กั๋วกงผู้เฒ่าสัมผัสเสื้อตัวนั้นพลางพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “หากได้เสื้อขนแกะเช่นนี้ พวกทหารก็ไม่ต้องทนหนาวอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

เจ้ากรมคลังพินิจดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน ราวกับไม่อยากจะเชื่อ “สิ่งนี้ทำจากขนแกะจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ”

สีขาวสะอาดประดุจหิมะ สัมผัสที่อ่อนนุ่มละมุนมือ ทั้งยังไม่มีกลิ่นสาบแม้แต่น้อย

มิน่าเชื่อเลยว่าจะทำมาจากขนแกะไร้ค่าที่ไม่มีผู้ใดเคยเห็นประโยชน์ของมัน

[1] เสื้อบุนวมตัวน้อย (贴心小棉袄) ใช้อุปมาอุปไมย หมายถึง ลูกสาวเป็นดั่งเสื้อบุนวมตัวเล็ก ๆ ของพ่อแม่ที่อบอุ่นและรู้วิธีที่จะรักพ่อแม่

[2] ต้าน (石) เป็นมาตรวัดปริมาตรของจีนในสมัยโบราณ หนึ่งต้านของแต่ละราชวงศ์มีน้ำหนักแตกต่างกันออกไป