บทที่ 214 ภาคภูมิใจ

บทที่ 214 ภาคภูมิใจ

การปรากฏขึ้นของเสื้อขนสัตว์ช่วยคลี่คลายปัญหาความหนาวเหน็บในช่วงเหมันตฤดูได้อย่างมาก

ในเมื่อได้รู้ถึงประโยชน์ของขนแกะแล้ว ปัญหาที่สำคัญของพวกเขาคืออาณาจักรของพวกเขาไม่ได้มีขนแกะอยู่มากมาย

ถึงแม้จะมีคนเลี้ยงแกะอยู่ แต่ก็มักจะเลี้ยงแกะขนสั้น และมีแกะขนยาวอยู่จำนวนน้อย ดังนั้นจึงทำได้แต่เพียงหาวิธีแลกเปลี่ยนขนแกะกับชนเผ่าทุ่งหญ้าเหล่านั้น

“พวกเราจำเป็นต้องมีกำลังผลิตเป็นของตนเอง ปีหรือสองปีนี้ยังสามารถซื้อขนสัตว์จำนวนมากก่อนที่เหล่าชนเผ่าทุ่งหญ้าจะรู้เรื่องนี้ ทว่าหลังผ่านไปสักระยะ ผู้อื่นจะต้องรับรู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน หากมีคนเจตนาร้ายหยุดขายขนแกะให้กับอาณาจักรของเรา เช่นนั้นสถานการณ์ของพวกเราก็จะย่ำแย่ลง”

สมกับเป็นเจ้ากรมคลัง มีความสามารถพอจะมองปัญหาระยะยาวออกได้

“สิ่งที่เจ้ากรมคลังกล่าวมามีเหตุผล ทว่าคิดอยากได้ขนแกะจำนวนมาก การเลี้ยงแกะเองก็เป็นปัญหาเช่นกัน หากสามารถแก้ปัญหาอาหารสัตว์ได้โดยง่าย เช่นนั้นแล้วพวกเราไยจึงจะต้องนำเข้ามาจากเผ่าทุ่งหญ้า อีกอย่างพวกเราจะเลี้ยงแกะได้อย่างไร”

หนานกงสือเยวียน “ปัญหานี้…”

“เสี่ยวเป่าจัดการเอง”

พลันมีเจ้าก้อนแป้งขาวราวหิมะประณีตราวกับหยกโผล่ออกมาจากใต้โต๊ะอย่างกะทันหัน เหล่าขุนนางของหนานกงสือเยวียนสับสนขึ้นมาทันพลัน

“องค์หญิง พระองค์มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!!!”

เจ้ากรมคลังตกใจจนเสียงหลง

พวกเขากำลังปรึกษาหารือเรื่องราชกิจอันสำคัญกับองค์จักรพรรดิ เช่นนั้นแล้วองค์หญิงน้อยมาตั้งแต่เมื่อใด!

เสี่ยวเป่าซึ่งซ่อนอยู่ใต้โต๊ะกะพริบตาอย่างไร้เดียงสา

“เสี่ยวเป่าอยู่ที่นี่มาตลอด”

นางเอ่ยออกมาอย่างมั่นใจ “เสี่ยวเป่ามาถึงที่นี่ก่อนพวกท่านเสียอีก”

ขณะพูดก็เหลือบมองขนมจำนวนมากบนโต๊ะท่านพ่อที่ตนเองเป็นผู้มอบให้

แน่นอนว่า นอกจากพวกเคร่งครัดยึดติดกับจารีตมองว่าสตรีไม่อาจมีส่วนร่วมในการเมืองได้แล้ว คนอื่น ๆ ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอันใดมากนักกับการปรากฏตัวของเสี่ยวเป่า

“องค์หญิง เมื่อสักครู่ท่านกล่าวสิ่งใดออกมาหรือ”

มีอำมาตย์ชราผู้หนึ่งจับสังเกตคำพูดของเสี่ยวเป่าได้

เด็กน้อยเข้าไปกอดท่านพ่ออย่างเงียบ ๆ ดวงตาจับจ้องไปยังขนมที่ตนเองมอบให้ท่านพ่อ ก่อนมือเล็ก ๆ จะคว้าขนมมาชิ้นหนึ่งอย่างรวดเร็ว

“เมล็ดพันธุ์หญ้าเลี้ยงสัตว์ พี่รองบอกว่ามันดีมาก เสี่ยวไป๋กับเจ้าถวนจื่อเองก็ชื่นชอบเป็นอย่างยิ่ง”

เจ้ากรมคลังแค่นเสียงขึ้นจมูกเยาะเย้ย คิดว่าองค์ชายรองเพียงแค่ต้องการทำให้องค์หญิงน้อยมีความสุข องค์หญิงน้อยเป็นเพียงเด็กอายุสามขวบ อีกทั้งยังเป็นเด็กผู้หญิง จะไปรู้สิ่งใดกัน

ส่วนเสื้อที่ทำมาจากขนสัตว์นั้น เจ้ากรมคลังก็เชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าฮ่องเต้ผู้เห่อลูกสาวจะต้องแต่งเสริมเรื่องราวเกินจริง เพื่อปูทางให้องค์หญิงน้อยเข้ามามีส่วนร่วมและได้รับชื่อเสียง

“องค์หญิงอย่าได้ล้อเล่นกันเลยพ่ะย่ะค่ะ หญ้าเลี้ยงสัตว์ที่พวกเราต้องการนั้นต้องมีจำนวนพอจะเลี้ยงม้าศึกจำนวนมาก อีกทั้งยังต้องสามารถเลี้ยงแกะจำนวนมหาศาลได้ นี่หานับได้ว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่อย่างใด”

เสี่ยวเป่าไม่ได้ฟัง หรือต่อให้นางฟังก็อาจจะไม่เข้าใจเสียด้วยซ้ำว่าเจ้ากรมคลังกำลังพูดจาเสียดสีอยู่ นางกำลังละเลียดขนมในมืออย่างมีความสุข

“ข้ารู้ เมล็ดหญ้างอกงามของเสี่ยวเป่าใช้เวลาปลูกเพียงแค่สองเดือนเท่านั้น ทั้งยังงอกงามเป็นอย่างมาก”

ใช้ระยะเวลาเติบโตค่อนข้างสั้น ทว่าได้ปริมาณมาก

“งอกงามคือมากน้อยเท่าใดกัน?”

เสี่ยวเป่า “ดูเหมือนว่าหนึ่งหมู่จะมากเท่านี้”

เสี่ยวเป่าชูสามนิ้วขึ้นมา นี่คือจำนวนที่พี่รองบอกนางมา พี่รองดูจะมีความสุขมากยามถึงเวลาเก็บเกี่ยว

เจ้ากรมคลังมองดูสามนิ้วเล็ก ๆ ของนางด้วยความเหยียดหยามภายในใจ

“เพียงแค่สามร้อยจิน กระทั่งไร่ธรรมดาทั่วไปก็สามารถผลิตหญ้าเลี้ยงสัตว์ได้สามร้อยจินเช่นกัน”

เสี่ยวเป่าส่ายหัว ก่อนเสียงนุ่มนิ่มจะเอ่ยตัวเลขที่ทำให้ทุกคนอ้าปากค้างออกมา

“ไม่ใช่ พี่รองบอกว่าเขานับได้สามพันจินต่างหาก”

ตุบ!

สุ้มเสียงราวกับมีสิ่งใดร่วงลงไปบนพื้น เมื่อมองแล้วก็กลับกลายว่าเป็นเจ้ากรมคลัง

เจ้ากรมคลังที่เมื่อครู่ยังมีท่าทีเหยียดหยามกลับล้มลงไปบนกับพื้น ทว่าไม่มีผู้ใดหัวเราะเยาะหรือแสดงความห่วงใยเขาแม้แต่น้อย เพราะทุกคนต่างยังคงตะลึงค้างกับจำนวนตัวเลขที่ออกมาจากปากขององค์หญิงน้อยจนกรามแทบจะลงไปแตะกับพื้น

“เป็น…เป็นไปได้อย่างไร!”

หนานกงสือเยวียน: …หากไม่ได้เห็นกับตาตัวเองมาก่อน เกรงว่าตัวเขาเองก็คงคิดว่าเด็กน้อยในอ้อมแขนตนกำลังโกหกเช่นเดียวกัน

เหล่าขุนนางต่างพากันมองไปที่หนานกงสือเยวียนด้วยสายตาแสดงคำถาม ต้องการจะยืนยันข้อเท็จจริงนี้จากเขา

หนึ่งหมู่ได้หญ้าเลี้ยงสัตว์สามพันจิน คำพูดนี้เมื่อออกมาจากปากเด็กคนนี้ช่างดูไม่น่าเชื่อถือจริง ๆ

แต่พวกเขากลับเห็นฮ่องเต้พยักหน้ายืนยัน!

หนานกงสือเยวียนที่แอบตื่นตกใจไปแล้วเมื่อช่วงเก็บเกี่ยว ยามนี้มีท่าทีสงบนิ่งเป็นอย่างมาก

“เป็นเรื่องจริง ยามที่องค์ชายรองพาคนไปเก็บเกี่ยวหญ้าเลี้ยงสัตว์ ข้าก็อยู่ที่นั่นด้วย”

เขายังกล่าวเสริมอีก “องค์หญิงเจาเสวี่ยเป็นผู้ปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์ขึ้นมาในลานตำหนักฉินเจิ้งที่ห่างไกลออกไป”

เหล่าขุนนาง “…”

นี่…เรื่องเหล่านี้เป็นองค์หญิงน้อยที่ทำขึ้นมาด้วยตนเองจริง ๆ หรือ!

ในตอนนั้นเอง สายตาของพวกเขาที่หันไปจับจ้องเสี่ยวเป่าก็เต็มไปด้วยความซับซ้อนอย่างยิ่ง ทว่าหลังจากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้น

“ใช้เวลาเพียงแค่สองเดือนก็เติบโตแล้วอย่างนั้นหรือ”

“หนึ่งหมู่ได้สามพันจริง ๆ หรือ เรื่องจริงใช่หรือไม่”

แม้ว่าฝ่าบาทจะตรัสออกมาด้วยตัวเอง แต่พวกเขาก็ยังคงรู้สึกราวกับว่ากำลังฝัน อดเอ่ยยืนยันขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้

“ยอดเยี่ยมยิ่งนัก หากเป็นเช่นนี้จริง ปัญหาที่พวกเรากังวลก็จะสามารถคลี่คลายได้อย่างง่ายดาย องค์หญิง ขุนนางเฒ่าผู้นี้ขอเอ่ยถามว่าที่ดินที่ต้องใช้ปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์มีข้อกำหนดใดบ้าง”

กั๋วกงผู้เฒ่าตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เขาแทบจะลงไปนั่งข้างเสี่ยวเป่าแล้วเอ่ยถามเกี่ยวกับเรื่องหญ้าเลี้ยงสัตว์เพิ่มเสียแล้ว

ก่อนหน้านี้เขาเป็นแม่ทัพในสนามรบ สิ่งที่กังวลมากที่สุดย่อมเป็นปัญหาเรื่องอาหารการกินและม้าศึกของกองทัพ

ทว่าเขานั้นโชคไม่ดีอยู่บ้าง เมื่อครั้งยังนำทัพเป็นรัชสมัยของฮ่องเต้พระองค์ก่อน ผู้ไร้ความสามารถแต่กลับทะเยอทะยานเป็นอย่างยิ่ง มิหนำซ้ำยังชอบหวาดระแวงคิดอยู่เสมอว่าทุกคนล้วนแต่สนใจในบัลลังก์ที่เขานั่งอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าแม่ทัพที่ถูกหวาดกลัวและแคลงใจมากที่สุด

ตระกูลฝั่งมารดาของหนานกงสือเยวียนควบคุมอำนาจกองทัพเอาไว้ในมือ ทำให้เขาเกิดความหวาดระแวงเป็นอย่างยิ่ง จนสุดท้ายเขาเลือกจะวางแผนกำจัดตระกูลนี้ทิ้ง

กั๋วกงผู้เฒ่านั้นมีความเด็ดขาดอย่างยิ่ง ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเขาได้ใช้ความดีความชอบและอำนาจทางการทหารแลกเปลี่ยนกับตำแหน่งกั๋วกง จากนั้นก็หยุดยั้งบุตรชายตนเองไม่ให้ไต่เต้าตำแหน่งในกองทัพ จึงสามารถรักษาตระกูลเซี่ยเอาไว้ได้ ไม่เช่นนั้นเกรงว่าจุดจบคงไม่ต่างอันใดกับตระกูลมารดาของหนานกงสือเยวียน

โชคดีที่ในรัชสมัยนี้ฮ่องเต้ยังคงมีความใจกว้าง อีกทั้งมีความเห็นอกเห็นใจเหล่าแม่ทัพเป็นอย่างมาก เข้าใจดีว่าการปกป้องรักษาอาณาจักรเป็นเรื่องยากลำบากเพียงใด ทุกปีล้วนแล้วไม่เคยค้างคาเงินและเสบียงของกองทัพ ทั้งยังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือ สิ่งนี้ทำให้กั๋วกงผู้เฒ่าปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่ง

ในที่สุด เจ้าแผ่นดินที่พวกเขาติดตามก็ไม่ใช่คนเลอะเลือน พวกเขาเหล่าทหารย่อมเต็มใจถวายความจงรักภักดีให้คนเช่นนี้มากกว่า

หากถามเรื่องอื่นเสี่ยวเป่าอาจไม่รู้ แต่เรื่องการเพาะปลูกนับเป็นจุดแข็งของนาง

เจ้าก้อนแป้งน้อยเอ่ยออกมาเสียงเจื้อยแจ้ว ตอบคำถามมากมายที่กั๋วกงผู้เฒ่าต้องการจะทราบ

หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กน้อยยิ่งพูดคุยยิ่งออกรส ระหว่างที่พวกเขากำลังสนทนากันแม้คนอื่น ๆ จะแสร้งทำเป็นไม่สนใจ แต่ความจริงแล้วพวกเขากำลังแอบฟังอยู่

หนานกงสือเยวียนมองดวงตาเปล่งประกายของบุตรี พลันมุมปากก็ยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย แสดงท่าทางภาคภูมิใจออกมาโดยไม่รู้ตัว ภาคภูมิใจเสียยิ่งกว่าตอนที่ตนเองสามารถจัดการปัญหาใหญ่ระดับอาณาจักรได้ด้วยตนเองเสียอีก