————เมื่อสามวันก่อน , ตึกร้างแห่งหนึ่ง

ตัวเมืองยามค่ำคืนอันเงียบงันไร้เสียงสัตว์และผู้คนอาจหมายรวมถึงมอนสเตอร์ทั้งหลาย ไม่มีแม้แต่แสงไฟจากเปลวเทียนและไฟฟ้าคือสัญญาณว่าไร้ผู้คน

มีเพียงตึกแห่งเดียวเท่านั้นที่แตกต่าง ตึกร้างที่อยู่ในสภาพโทรมพร้อมพังทลายได้ทุกเมื่อ ตัวอาคารมีความสูงกว่าสิบชั้นเพราะเคยเป็นโรงแรมมาก่อน แสงสว่างที่แตกต่างจากทุกแห่งในเมืองนั้นมาจากกองไฟหลายจุดตรงลานกว้างด้านหน้าโรงแรม

บริเวณนั้นเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาและหลากเพศ จุดร่วมคือทุกคนมีอาวุธประจำกายราวกับเป็นแหล่งซ่องสุม กับอีกสิ่งคือปลอกแขนสีแดงสะท้อนแสง

และหัวหน้าของเหล่าคนพาลคงไม่เป็นคนอื่นไปได้นอกจากชายผิวสีร่างยักษ์ที่นั่งอยู่ใกล้กองไฟที่ใหญ่ที่สุด …ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเจสัน

ครั้นถึงเวลากินอาหาร เขาก็นั่งเงียบไม่พูดอะไรกับใครทั้งสิ้น ราวกับกำลังง่วนอยู่กับความคิดของตัวเอง

และความเป็นจริงมันก็ไม่ได้ต่างจากนั้นมากนัก

‘ไหนว่าจะไม่ให้ใครมายุ่งไม่ใช่เหรอ’

เสียงนั้นดังก้องอยู่ในหัวของเจสันคล้ายกับกำลังโดนกระซิบข้างหู

คือคำพูดของเด็กหนุ่มที่เขาเคยประมือด้วยเมื่อไม่กี่วันก่อน มันสร้างความรำคาญใจให้เจสันเป็นอย่างมากจนไม่เป็นอันทำอะไร

‘ชนะแบบนี้… แกภูมิใจรึไง! เจสัน!’

เสียงนั้นสร้างความหงุดหงิดจนเขาเผลอกระทืบเท้าเสียงดังจนพื้นแตก ทำให้ลูกน้องของเขาหลายคนหยุดมือที่กำลังกินอาหารหันมาสนใจกันหมด …ด้วยหวาดกลัวไม่น้อย

ยิ่งกว่านั้น คำพูดของเด็กหนุ่ม… ทัตได้ตอกย้ำบางสิ่งในใจของเจสันอย่างรุนแรง คำที่ใกล้เคียงที่สุดก็คงเป็น ‘ศักดิ์ศรี’ กระมัง

ถ้าสิ่งที่พูดมันไม่ใช่ความจริงก็คงไม่รู้สึกเช่นนี้ ในทางกลับกัน ที่เจสันรู้สึกหงุดหงิดอยู่นี้เป็นเพราะเขาไม่อยากยอมรับว่าสิ่งที่ทัตพูดมันเป็นความจริงต่างหาก

แม่งเอ้ย! ไอ้เวรเอ้ย!

พูดเหมือนรู้เรื่องของกูดี! ปากมากชิบหาย!

ยิ่งคิด ยิ่งจมดิ่ง ยิ่งตอกย้ำ… และยิ่งหนีจากคำพูดของทัตไปไม่ได้ เพราะอย่างไรคนที่ทำให้คำพูดของทัตเป็นความจริงก็คือการกระทำของเจสันเอง

…การกระทำที่ช่วงชิงชัยชนะโดยไม่สนวิธีการ แม้ต้องแลกกับเกียรติภูมิของตนนั่นแล

“คุณเจสันครับ”

ยังไม่ทันถึงข้อสรุปของความคิดก็ถูกขัดจนต้องหยุดลงก่อน ในอีกแง่นึงเจสันก็แอบรู้สึกขอบคุณลูกน้องคนสนิทอยู่เหมือนกัน

…อาจเพราะเขายังไม่อยากยอมรับความจริง ว่าได้พ่ายแพ้ทัตทั้งการต่อสู้และการเตรียมใจ

“มีอะไรคริส” เจสันเอ่ยสั้น ๆ เหมือนรำคาญ

“มีคนมาขอพบครับ เป็นตัวแทนของกลุ่มใหญ่เอาเรื่องเลยครับ”

ชายหนุ่มสวมแว่นคนสนิท… คริสโค้งตัวแจ้งข่าว และนั่นสร้างความแปลกใจให้เจสันไม่น้อยในส่วนของเนื้อหา

“มันมาหาเรื่องรึไง?”

“ดูเหมือนจะไม่ใช่ครับ”

“งั้นให้มันเข้ามา”

ถ้าไม่ได้มาร้ายก็น่าจะมีเหตุผลที่ดีพอ หรือต่อให้เป็นการหลอกลวงแต่เจสันก็มั่นใจว่ากำลังของฝ่ายตนมีเหนือกว่า

แม้ในความเป็นจริงนั่นจะไม่ใช่เหตุผลให้น่าวางใจ ซึ่งคนมีหัวคิดอย่างคริสเองก็รู้อยู่ แต่เหตุที่ไม่ห้ามก็เป็นเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะลอบโจมตีเพราะมันจะสร้างความเสียหายกับทั้งสองฝ่าย

ผู้เยี่ยมเยือนถึงมีสิทธิย่างกรายเข้ามาได้

“สวัสดี นายคงเป็นหัวหน้าใหญ่ที่นี่สินะ”

ผู้มาเยือน… ชายหนุ่มโกรกผมสีน้ำเงินดูโดดเด่นเดินเข้ามาท่ามกลางดงคนที่ไม่รู้จักโดยไร้ผู้คุ้มกัน ถ้าไม่โง่มากก็ต้องมั่นใจในตัวเองมาก

หรือไม่อย่างนั้นก็กำลังซื้อใจให้เห็นว่าตนไว้ใจอีกฝ่าย เพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่ได้มาร้าย… นั่นคือสิ่งที่คริสกำลังตริตรึก

“นายเป็นใคร” เจสันเอ่ยถามเมื่ออีกฝ่ายเข้ามาอยู่ในระยะสายตา

“ฉันชื่อดิว บอกไว้ก่อนว่ามาดี”

ดิวดึงด้านในของกระเป๋าเสื้อให้ดู สื่อว่าไม่ได้พกอาวุธมาด้วยอย่างที่ปากว่า

“มีธุระอะไร?” เจสันถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ดูเหมือนอารมณ์ก่อนหน้านี้จะยังเลือนหายไปไม่หมด

“ไม่เอาน่า อย่างน้อยก็แนะนำตัวกันหน่อยสิ”

ดิวพยายามตี้ซี้อย่างสนิทสนม แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือใบหน้าถมึงทึงจนต้องหยุดปากตัวเองลงก่อน

“ไม่มีอารมณ์ขันเลยนะ นี่! มีตรงไหนให้นั่งได้บ้าง?” ดิวหันไปถามคริสที่ยืนอยู่ข้างเจสัน

“…”

ถึงจะตะขิดตะขวงใจตรงที่อีกฝ่ายมีความเกรงใจต่ำ แต่อีกฝ่ายก็มาพร้อมกองทัพจำนวนที่ไม่น้อยหน้าไปกว่าปลอกแขนแดงของตน คริสจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากประนีประนอม ดิวก็เลยได้เก้าอี้มานั่งฝั่งตรงข้ามกองไฟของเจสัน

นั่นเป็นตอนที่ดิวเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มตึงเครียดขึ้นไม่แม้แต่พวกของเจสันคนอื่นที่มองมา เขาจึงคิดว่าไม่ควรจะพูดเยิ่นเย้อไปกว่านี้

“โอเค งั้นฉันจะไม่อ้อมค้อมแล้วกัน… สนใจร่วมมือกันถล่มเซฟเวอร์สาขาตะวันออกเฉียงเหนือหน่อยไหม?”

“!!!?”

สิ่งที่รอคอยออกมาจากปากของชายนิรนามทำให้ทุกคนเบิกตาโพลงกันหมดไม่เว้นแต่คริสกับเจสัน

นั่นเพราะเซฟเวอร์เป็นศัตรูกับกลุ่มนอกคอกที่บังคับคนเข้ากลุ่มหรือทำร้ายคนทั่วไป หากเซฟเวอร์เป็นน้ำพวกเขาก็คือไฟ เป็นของที่เข้ากันไม่ได้และควรหลีกเลี่ยงที่จะเข้าใกล้กัน นั่นคือสามัญสำนึกและเป็นเหตุผลแรกที่ทำให้สิ่งที่พูดไม่น่าเชื่อถือ

เหตุผลที่สองคือกำลังรบ ถ้าเป็นเซฟเวอร์สาขาย่อยที่เป็นระดับตำบลหรืออำเภอก็อาจจะพอเทียบเคียงได้ แต่ถ้าเป็นระดับจังหวัดจำนวนจะห่างชั้นขึ้น ยิ่งเป็นระดับภูมิภาคก็ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะหัวหน้าหน่วยหลักมีเลเวลสูงกว่า 100 ซึ่งพวกปลอกแขนแดงได้ยลโฉมกันมาแล้วด้วยตาตัวเอง

เด็กสาวที่ตัวเล็กเปราะบางราวกับตุ๊กตา แต่กลับเป็นฝ่ายทำให้เจสันรู้สึกกดดันด้วยความแข็งแกร่งที่เหนือล้ำกว่าหลายเท่าตัว นอกจากนี้ยังมีวิญญาณอัศวินในชุดเกราะลึกลับที่แค่มองก็รู้สึกขนหัวลุกอีก

ว่าไปแล้ว… ความกลัวที่ฝังลึกในจิตใจนั่นยังเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้พวกปลอกแขนแดงทั้งหมดตะลึงและหวาดผวากับข้อเสนอของดิวด้วย

“โห…”

ข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียว คือเจสันที่ฉีกยิ้มกว้างออกมาในทันทีที่ได้ยินดิวบอกแบบนั้น

เพราะถึงจะไม่มีใครมาชวน เจสันก็ตั้งใจจะทำแบบนั้นอยู่แล้ว

…เพราะถ้าไม่ขยี้ทัตกับน้องสาวให้ได้ด้วยมือตัวเอง ความโกรธที่กำลังเผาไหม้จนแสบร้อนในอกนี้คงไม่หายไป

“น่าสนใจดีนี่หว่า ไหนลองบอกรายละเอียดมาสิ” เจสันถึงได้แสดงอาการสนอกสนใจแบบสุด ๆ

ดิวเองก็ฉีกยิ้มออกมาด้วยความพอใจหลังได้รับปฏิกิริยาที่เป็นไปในทางบวก

“เดี๋ยวก่อนสิครับคุณเจสัน หมอนี่มันเชื่อใจได้รึเปล่ายังไม่รู้เลย! แล้วอีกอย่าง คนพวกนี้จะเอาชนะพวกเลเวลมากกว่า 100 ได้ยังไง!?”

ในขณะที่คริสนั้นมองมุมต่าง เขาไม่คิดว่ากำลังรบของทั้งสองกลุ่มรวมกันจะเอาชนะความต่างของคนที่มีเลเวลสูงกว่า 100 ได้ ยังไม่นับเรื่องความน่าเชื่อถือของคนพวกนี้อีก

“ไม่ต้องห่วง เรื่องนั้นต้องใช้เวลาฉันเข้าใจ” ดิวเองก็ไม่ได้ใจร้ายถึงขนาดปิดทางเลือก หรือไม่อย่างนั้นก็พูดไปเพราะหวังผลลัพธ์ในแง่บวกจากคริส

“แล้วก็ ไม่ต้องห่วงเรื่องยัยเปี๊ยกนั่นหรอก… ยังไงคนที่เห็นเซฟเวอร์เป็นกลุ่มที่ขวางหูขวางตาก็มีเยอะอยู่แล้ว”

นอกจากนี้ ปัญหาอีกอย่างดิวก็ได้เตรียมการแก้ไขไว้แล้ว แม้จะไม่รู้รายละเอียดแต่ก็เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่ปัญหาสำหรับดิวอีกต่อไปแล้ว

สายตาอันจริงจังและไร้ความกังวลของเขาบอกแบบนั้น

“ใช่… มีเยอะเลย”

❖❖❖❖❖

พวกนั้นมัน… เจสันกับดิว

ปลอกแขนแดงกับพยัคฆ์ฟ้าร่วมมือกันงั้นเหรอ!?

ทัตตระหนักความจริงของสถานการณ์ได้ในทันที เพราะคงมองเป็นอื่นไปไม่ได้จากขบวนทัพของกลุ่มนอกคอกทั้งสองที่กรูกันเข้ามาทางประตูหน้าโรงพยาบาลราวมดแตกรัง

“ชิบหายแล้วไหมล่ะ” สินที่อยู่ข้าง ๆ ทัตเองเห็นแบบนี้ก็เหงื่อตก ไม่สิ… เจอสภาพการณ์แบบนี้ไปเป็นใครก็กังวล

ทั้งเปลวเพลิงและควันฟุ้งที่พวยพุ่งมาจากทุกทิศทางรอบโรงพยาบาล กับจำนวนของศัตรูที่กะด้วยสายตาแล้วมากกว่าร้อยคน แทบไม่ต้องคิดเลยว่ามันเลวร้ายขนาดไหน

…และนี่ยังเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น

“เอ้า ๆ! ยิงโรงบาลแม่มให้พรุนไปเลย!”

ดิวตะโกนออกคำสั่งพร้อมกับชี้มีดพกไปทางตัวอาคารหลักที่ทัตอยู่ สัญญาณนั่นทำให้ทัตและสินเห็นท่าไม่ดี

แต่ก็สายไปแล้ว… ในพริบตาถัดมาเหล่าสมาชิกของทั้งปลอกแขนแดงและพยัคฆ์ฟ้าที่มีอาชีพ ‘Mage’ ต่างร่ายและยิงเวทต่างธาตุ ต่างขนาดด้วยปริมาณมหาศาลเหมือนห่าฝนดาวตกพุ่งเข้าใส่ตัวอาคารหลักของโรงพยาบาล

บ้าเอ้ย เราคนเดียวป้องกันเวทยิงของพวกนี้ไม่หมดแน่!

ทัตเองก็พยายามใช้เวทเกราะสร้างกำแพงลมแล้ว แต่แน่นอนว่าการป้องกันด้วยตัวคนเดียวมันมีขีดจำกัดจนเรียกว่าเกือบไร้ประโยชน์เมื่อเทียบกับจำนวนที่ศัตรูยิงเข้ามา

ทว่า… ห่าฝนกระสุนเวทจำนวนมากที่ควรจะทำลายตัวอาคารกลับกระแทกเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็นก่อนที่จะถึงตัวอาคาร นั่นสร้างความประหลาดใจให้ทั้งพวกศัตรูและทัตเอง

พอแหงนหน้ามองขึ้นไป ก็พบว่าสมาชิกของเซฟเวอร์เองก็มี ‘Mage’ ระดับสูงหลายคนอยู่ตรงหน้าต่างและชั้นดาดฟ้าเตรียมรับการโจมตีของศัตรูอยู่ก่อนแล้ว และคนที่ร่ายเวทเกราะสร้างกำแพงลมแบบเดียวกับที่ทัตคิดจะทำก็คือพวกเขานี่เอง

“อย่าให้การโจมตีของศัตรูหลุดรอดไปได้นะคะทุกคน!”

โดยเฉพาะลินดาที่เป็นหัวหน้าของคนเหล่านี้ เธอเป็นผู้นำทุกคนสร้างกำแพงธาตุลมด้วยจำนวนที่มากกว่า จึงป้องกันการโจมตีอันมหาศาลราวห่าฝนของศัตรูได้สำเร็จ

…ไม่เพียงเท่านั้น ที่ทางเข้าตัวอาคารเองก็มีกำลังคนวิ่งกรูกันออกมาเต็มไปหมด โดยเฉพาะสมาชิกหน่วยหลักที่ต่อสู้ได้ และระดับบัญชาการทั้งหลายอย่างมิ้น กิฟ เบล คิว

รวมถึงหัวหน้าใหญ่สุดของที่นี่เองก็เช่นกัน

“กระจายกำลังออกไปค่ะ! อย่าให้ศัตรูเข้าไปในโรงพยาบาลได้เป็นอันขาด!!!”

ฝ้ายคือผู้ที่นำกำลังออกมา เธอสะบัดมือสั่งทุกคนให้ทำตามอย่างขะมักเขม้น เป็นเวลาเดียวกับที่พิมวิ่งออกมาพอดิบพอดี

“ทัต! ปลอดภัยรึเปล่า!?”

พิมตาลีตาเหลือกหาทัตผ่านคนจำนวนมาก พอเข้ามาอยู่ใกล้ ๆ ถึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก อย่างน้อยการที่ทัตไม่ได้มีบาดแผลใด ๆ เลยมันก็ทำให้โล่งใจไปได้เปราะนึงอยู่ แต่ว่า…

“ฉันยังสบายดี แค่ตอนนี้นะ” ทัตตอบกลับอย่างตึงเครียด เพราะสถานการณ์บีบบังคับให้รู้สึกแบบนั้น

“พี่ทัตปลอดภัยก็ดีแล้วค่ะ คุณสินด้วย”

ฝ้ายเข้ามาหาทัตหลังจากนั้น เธอเองก็รู้สึกโล่งอกไม่เบาแต่นี่ไม่ใช่เวลามามัวดีใจ ฝ้ายถึงไม่คลายคิ้วที่กำลังขมวดลงก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองสาเหตุของความวุ่นวายอย่างดิวกับเจสันที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลเท่าไรนัก

เธอเรียกหอกคู่ใจออกมาเดินอย่างสง่าผ่าเผยเข้าหาศัตรูโดยมีทัตเดินเคียง ตามด้วยพิม สิน มิ้น คิว กิฟและเบล

ตอนนี้กำลังรบของทั้งสองฝ่ายยืนประจันหน้ากันหมดแล้ว โดยเฉพาะเหล่าขุนพล

“คิดจะทำอะไรกันแน่คะ”

“เห็นก็น่าจะรู้นี่หว่า”

ดิวไม่ตอบคำถามของฝ้าย การโจมตีก่อนหน้านี้น่าจะเป็นคำตอบในตัวอยู่แล้ว

คำถามของฝ้ายจึงไม่ใช่คำถามที่ว่า ‘ทำอะไร’ แต่เป็น ‘ทำเพื่ออะไร’ ต่างหาก

แต่ไม่ว่าเขาต้องการอะไรก็คงไม่คิดจะตอบคำถามนั้นง่าย ๆ แน่ สายตาเยาะเย้ยของดิวบอกแบบนั้น

“ย่อมได้ค่ะ” ฝ้ายถึงไม่คิดประนีประนอมเป็นทางออก

แล้วเลือกที่ตอบแทนความรุนแรงด้วยความรุนแรงตามสมควรแม้จะเป็นการผิดกฎก็ตาม

“ใครที่ยังไม่ได้เตรียมใจลงศึกให้ไปดูแลผู้อพยพ จะไม่มีการลงโทษทั้งนั้น! แต่ถ้าใครเตรียมใจแล้วล่ะก็…” ฝ้ายพูดกับทุกคนแม้สายตาจะจับจ้องไปยังศัตรู น้ำเสียงของเธอไม่ใช่ของเด็กสาวแต่เป็นของคนที่เตรียมใจลงศึกสังหารศัตรู และหวังว่าเหล่าสหายของเธอจะเตรียมใจแบบเดียวกัน

“กำจัดผู้บุกรุก! ปกป้องตัวเองและพวกพ้อง! อย่าให้ศัตรูเข้าไปในโรงพยาบาลได้! ตามฉันมาค่ะ!!!”

เธอตั้งท่าย่อตัวพร้อมกับชี้คมหอกไปทางทัพศัตรู ประกาศกร้าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง เข้มข้นและรุนแรง ก่อนจะถีบพื้นกระโดดเข้ากลางสมรภูมิโดยมีเสียงตะโกนก้องของสมาชิกเซฟเวอร์ตามหลังดังสนั่น

ทางด้านของศัตรูเองก็ดังก้องไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ก่อนที่กำลังรบของทั้งสองฝ่ายจะพุ่งเข้าหาอีกฝั่งราวแม่เหล็กดึงดูดพร้อมเสียงกระทบของเหล็กและผิวหนังถูกเฉือนเชือด

นั่นคือสัญญาณ… ว่าสงครามเริ่มขึ้นแล้ว

สมรภูมิกึกก้องซ้องขึ้นโดยไม่ทันได้เตรียมใจ เช่นเดียวกับศัตรูที่ลอยมาหวังกระทืบให้จมดินจนทัตกับพิมต้องถีบพื้นถอยออกมา

“ไม่เจอกันนานนี่หว่า”

“!!!?”

เสียงนั้นคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด แต่ไม่น่าอภิรมย์อย่างยิ่ง

“เจสัน…” ทัตตระหนักตัวตนอีกฝ่ายได้ก่อนที่เจ้าตัวจะพูดขึ้นมาด้วยซ้ำ

“หมอนั่นมัน”

พิมเองก็รู้ในทันทีเหมือนกัน เพราะชายที่ร่างสูงใหญ่กว่าสองเมตรไม่ได้มีให้เห็นบ่อย ๆ

แต่ที่สำคัญกว่านั้น… คือพิมไม่เคยลืมหน้าคนที่ทำร้ายทัตต่างหาก เธอถึงกัดฟันแน่นในตอนที่จ้องหน้าเจสันกลับไปอย่างไร้ความยำเกรง

“ผู้หญิงของแกห้าวเหลือเกินนะ” เจสันเดินเข้ามาใกล้ด้วยรอยยิ้มพร้อมกับหักนิ้วดังกรอบแกรบ ทำให้ทัตเดินเข้ามาบังพิมไว้

“นายก็เก่งแต่ปากเหมือนเดิมนะ ลืมแล้วเหรอว่าครั้งล่าสุดเป็นยังไงถ้าเพื่อนนายไม่มาช่วยไว้น่ะ?”

“หา!?”

เจสันออกอาการยั๊วในทันทีที่ได้ยิน ความโกรธเข้าครอบงำเขาสมดังที่ทัตต้องการ เจสันถึงทำท่าจะถีบพื้นเข้ามาคว้าคอทัต แต่ในจังหวะนั้นทัตกลับสัมผัสได้ว่ามีอีกตัวตนนึงกำลังพุ่งเข้าใส่พิม

ทัตถึงขยับตัวไปรับคมมีดที่มองไม่เห็นไว้ ในขณะที่พิมนั้นอาบเปลวเพลิงไว้กับคมดาบคาตานะก่อนจะฟาดใส่เจสันจนเจ้าตัวที่พุ่งเข้ามาต้องถีบพื้นถอยหลบออกไปแทน

แล้วก็เป็นอย่างที่ทัตคาด มือของเขากำคมมีดสั้นที่ไม่ควรจะมีอยู่ไว้ได้ ทำให้ปรากฏร่างของดิวที่หายไปเพราะสกิลพรางกายขึ้นมา

“เซนส์ดีจนน่ารำคาญเลยว่ะทัต” ดิวฉีกยิ้ม

“คนน่ารังเกียจอย่างนายต้องเล็งผู้หญิงก่อนอยู่แล้ว”

ทัตเอ่ยด้วยความหงุดหงิดสุดขีดก่อนที่จะพลิกตัวเตะใส่ดิว นั่นฉิวเฉียดจนเกือบจะจัดการเขาได้ในทันทีด้วยเลเวลสกิลของคลาสที่สูงกว่า แต่ดิวก็หงายหลังหลบได้แล้วใช้มือดันพื้นตีลังกาถอยออกไปตั้งหลัก

แต่ถึงจะหลบการโจมตีของทัตได้ มีดสั้นที่เป็นอาวุธประจำกายก็ถูกยึดไปแล้ว ทัตหักมันทิ้งให้เห็นกันชัด ๆ ก่อนจะโยนลงพื้นอย่างไม่ใยดี

ทุกคนกำลังแยกกันไปช่วยรับมือแต่ละจุด คงไม่มีเวลามาช่วยเรากับพิม หรืออาจจะไว้ใจเราให้รับมือคนพวกนี้ก็ได้

เพราะถ้าวัดกันแค่พลังเพียว ๆ เราที่มี ‘The One’ ทำให้ทั้งสเตตัสและสกิลสูงกว่าทั้งสองคนนี้ไปแล้ว

ฝ้ายก็กำลังไปสู้ที่แนวหลังของศัตรู… คงคิดจะกำจัดพวกมันไล่ขึ้นมาให้หมด

ถ้าทำแบบนั้น บางทีคงจะหยุดสถานการณ์วุ่นวายนี้ได้

เราเองก็จะปล่อยให้ฝ้ายมือเปื้อนเลือดคนเดียวไม่ได้แล้ว

คงต้องเตรียมใจเหมือนกันสินะ

…เตรียมใจที่จะ ‘ฆ่า’

มือของทัตสั่นขึ้นมาในตอนที่ตั้งใจแบบนั้น แต่สถานการณ์นี้บีบบังคับให้ทัตไม่มีทางเลือก

เพราะถ้าหากเขาลังเล ความตายที่ควรเป็นของศัตรูจักกลายเป็นของเขาเอง

“ต้องการอะไรถึงทำแบบนี้”

ถึงแบบนั้นทัตก็ยังมีเรื่องที่ไม่เข้าใจ จึงถามดิวออกไปตามตรงในขณะที่ขยับจนแผ่นหลังชิดกับพิม เผชิญหน้ากับศัตรูแบบหนึ่งต่อหนึ่งร่วมกับเธอ

แต่ทางดิวที่ได้ยินคำถามของทัตกลับเอียงคอสงสัย เขามองเหยียดราวกับทัตเองต่างหากที่แปลก

“ทำไปทำไมเหรอ? งั้นแกลองมองรอบ ๆ ดูสิวะ ทัต!” ดิวเอ่ยพลางผายมือออกสองข้าง

“พวกแกสร้างกฎที่ผูกมัดตัวเอง หวังสร้างโลกในอุดมคติในโลกที่ล่มสลาย แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะปกป้องตัวเองแม้จะต้องแหกกฎที่ตัวเองสร้างขึ้น ฟังดูย้อนแย้งนะว่าไหม?” ดิวถุยน้ำลายลงพื้นแล้วขยี้ด้วยฝ่าเท้า ก่อนจะหันมาเยาะเย้ยทัตด้วยรอยยิ้ม

“ดูไว้ซะ! นี่แหล่ะความเป็นจริง! ทุกคนต่างก็ถูกขับเคลื่อนด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล!!! นี่แหล่ะสิ่งที่ควรจะเป็น! ฉันต้องการโลกที่ซื่อตรงแบบนี้!!!”

ดิวประกาศข้อสรุปบางสิ่ง เสียงแหลมกรีดซ้อนทับเสียงระเบิดแต่ไม่กลืนไปกับความวุ่นวายของสมรภูมิราวกับเขาเป็นตัวแทนของความจริงที่เกิดขึ้น

คำพูดของดิวดูมีเค้ามูลน่าเชื่อถือ แสดงให้เห็นความปรารถนาในการพิสูจน์ข้อเท็จจริงของมนุษย์ราวกับนักปราชญ์ แม้จะขัดกับพื้นฐานความคิดของทัต แต่หากมีหลักฐานอยู่ตรงหน้าแบบนี้ก็ยากที่จะโต้เถียงกลับไปและเกือบจะยอมรับไปตามนั้น

…หากไม่ติดว่ารอยยิ้มของดิวช่างดูชั่วร้าย ดิบเถื่อนและไร้ซึ่งเศษเสี้ยวของผู้ที่ใช้ปัญญาชี้นำความคิด

นั่นถึงทำให้ทัตรู้ความต้องการที่แท้จริงของดิว ยิ่งด้วยการเลือกใช้คำที่ทัตเคยพูดกับเขาในครั้งสุดท้ายที่เจอกันมันก็ยิ่งชัดเจน

“นี่แก… แค่อยากเอาชนะคำพูดของฉันถึงกับทำเรื่องแบบนี้” เพราะรู้แบบนั้นทัตยิ่งกัดฟันแน่นด้วยความโกรธต่อความไร้เหตุผลของชายคนนี้

“มึงนี่มันรู้ใจกูจริง ๆ!” แม้ถูกแทงใจดำแต่ดิวก็ยังแสดงสีหน้าระรื่น

ไร้ความรู้สึกผิด… ไร้ซึ่งความลังเล… ตัดสินใจด้วยสัญชาติญาณดิบราวกับสัตว์ป่ากระหายเนื้อใคร่คู่ นั่นคือสถานะของดิวในตอนนี้ที่ทัตมองเห็นและตัดสิน

หรือไม่อย่างนั้นก็เป็นตัวตนจริง ๆ ของดิว… ตัวตนอันน่ารังเกียจในสายตาของทัต

“ฉันจะอัดไอ้เวรนี่ให้หมอบเอง” สายตาของทัตถึงคมกริบขึ้นราวกับเหยี่ยว เชือดเฉือนราวคมมีด เป็นครั้งแรกที่พิมได้เห็นทัตแสดงสีหน้าแบบนั้น

“…เข้าใจแล้ว ฉันจะระวังหลังให้นะ”

พิมถึงตัดสินใจสนับสนุนเขา เธอเริ่มกลัวว่าทัตจะเสียการควบคุมตัวเองไปกับความโกรธแบบเดียวกับที่ทำกับเจสัน

ไม่สิ… ตอนนี้ดิวเองก็กำลังทำแบบนั้นกับทัตไม่ผิดแน่ เพราะจากที่คุยมันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าดิวเป็นมนุษย์ประเภทที่เกลียดความพ่ายแพ้ พิมรู้แบบนั้นถึงไม่วางใจและคาดว่าดิวอาจคิดเอาคืนทัตเรื่องที่เคยเถียงแพ้ก็ได้

“มัวซุบซิบอะไรกันอยู่วะ!” ในระหว่างที่คิดแบบนั้นเจสันก็หมดความอดทนแล้วพุ่งเข้ามา

ดิวคงเล็งเห็นจังหวะนั้นเป็นช่องว่างจึงผสมโรงชักมีดสั้นอีกเล่มพุ่งเข้าหาทัตด้วย

เขากับพิมจึงร่วมกันสร้างหอกเพลิงขึ้นคนละ 5 อันลอยอยู่เบื้องหลัง พร้อมกับสร้างเวทเกราะสายฟ้าคลุมร่าง

ทางทัตใช้เวทยิงสองอันคลุมหมัดด้วยเปลวเพลิง ส่วนทางพิมใช้เปลวเพลิงคลุมคมดาบ

คมมีดของดิวที่พุ่งเข้ามาจึงเปลี่ยนทิศกะทันหัน กระหน่ำฟันหอกเพลิงของทัตจนหมดไม่มีเหลือ

แต่ทัตก็อาศัยช่วงที่ดิวถูกเบนความสนใจอัดสวนเข้าไปกับหนึ่งในหอกเพลิงที่เขายิงออกไปก่อนนหน้านี้อย่างแนบเนียน หมัดของทัตจึงกระแทกเข้ากับมีดสั้นจนดิวไถลออกไป

ทางเจสันที่พุ่งเข้ามาเองก็โดนอย่างเดียวกัน ต่างแค่พิมเหวี่ยงตัวฟาดคมดาบใส่

พลังโจมตีอาจไม่รุนแรงเท่าทัต แต่นั่นก็ทำให้เจสันต้องถอยไปตั้งหลักเหมือนกัน

ด้วยสายตาหงุดหงิดไม่เบา แถมยังกัดฟันแน่นอีกต่างหาก

“ส่งผู้หญิงมาสู้กับฉัน คิดจะหยามกันรึไงวะทัต!”

“อย่ามาเหยียดเพศแถวนี้นะยะ!!!”

ไม่รู้ว่าเจสันคิดอย่างไรถึงพูดแบบนั้น แต่ผลลัพธ์ของมันทำให้พิมเลือดขึ้นหน้า

ได้ยินแบบนั้นมีหรืออย่างพิมจะทนไหว เธอถึงกระทืบเท้าอย่างแรงทำเอาทัตเองก็แอบกลัวไปด้วย

แต่ยังไงก็เถอะ… สถานการณ์ในตอนนี้เจสันแข็งแกร่งกว่าพิม ถ้าเราใช้เวทมนตร์ช่วยเสริมน่าจะสร้างข้อได้เปรียบให้เธอได้

อีกคนที่ต้องระวังคือดิวที่ไม่รู้จะเคลื่อนไหวแบบไหน ถ้าเป็นหมอนี่เราต้องจับตาดูไว้ไม่ให้คลาดสายตา

และถ้ายิ่งปล่อยไว้นาน สถานการณ์ก็จะยิ่งวุ่นวายมากขึ้น

…คงต้องรีบจัดการให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้แล้ว

นั่นคือสิ่งที่ทัตคาดหวัง ทว่าความเป็นจริงมันไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น

ทัตเข้าใจเรื่องนั้นหลังเห็นว่าดิวกับเจสันถอยออกไปตั้งหลักอีกครั้งด้วยระยะทางที่ทัตกับพิมเข้าไม่ถึง นั่นคือสิ่งแรกที่ทัตรู้สึกไม่ดี เพราะมันเหมือนกับว่าสองคนนั้นเตรียมการจะทำอะไรสักอย่าง

จังหวะถัดมานั่นแลคือคำเฉลยข้อสงสัยของทัต…

ซู่ม!!!!

ออร่าสีทองพวยพุ่งขึ้นทั่วทั้งร่างของเจสันเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าเขาเปิดใช้งานสกิลที่แข็งแกร่งที่สุดของคลาสสายต่อสู้หลักอย่าง ‘เสริมพลังกาย’

แต่ถ้าวัดกันแค่สเตตัส สกิลนั้นไม่ได้ทำให้เจสันได้เปรียบทัตเลย เพราะทัตสามารถใช้สกิล ‘เสริมพลังกาย’ และ ‘เสริมพลังเวท’ ซ้อนทับกันอย่างละสองชั้น สเตตัสจึงมากกว่าที่เจสันทำได้ถึง 4 เท่าตัว

เรื่องนั้นเคยพิสูจน์มาแล้วจากการปะทะกันล่าสุด การโดนอัดเสียยับเยินในครั้งนั้นยังทำให้เจสันจำฝังใจเคียดแค้นมาจนถึงตอนนี้

…นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ดิวใช้สกิล ‘เสริมพลังกาย’ และ ‘เสริมพลังเวท’ ในฐานะของ ‘Supporter’ ให้กับเจสันและตัวเองด้วย แม้การเสริมพลังเวทจะเกือบเป็นของไร้ประโยชน์สำหรับเจสันที่อัพอาชีพ ‘Fighter’ ล้วน แต่มันก็ยังเพิ่มสเตตัสความสามารถทางกายให้อยู่ บางทีนั่นคงเป็นสิ่งที่ดิวเล็งไว้

ทัตเห็นแบบนั้นก็เริ่มเหงื่อตกแต่ไม่มีเวลามาสับสน

เขาเปิดใช้สกิลตัวเองบ้างแบบเต็มพิกัดทำให้เกิดออร่าสีทองสวมทับร่างกายสี่ชั้นซ้อน พิมเองก็อ่านสถานการณ์ออกแล้วทำแบบเดียวกัน นอกจากนี้ยังได้รับการเสริมจากทัตทำให้เธอเองก็มีออร่าสีทองสี่ชั้นเหมือนกัน

“อย่างที่คิด… แกอัพสามอาชีพพร้อมกันสินะ” การกระทำของทัตเป็นที่สังเกตของดิว แต่นั่นไม่ได้ทำให้ข้อมูลของทัตรั่วไหลแต่อย่างใด

“ก็ไม่รู้สินะ”

ทัตถึงทำทีเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ตอบอะไรกลับนอกจากตั้งท่าเตรียมสู้ นั่นทำเอาดิวคิ้วกระตุกขมวดคิ้วแน่นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้

ทัตยังเป็นฝ่ายถีบพื้นเข้าหาดิวก่อนโดยอาศัยจังหวะที่ดิวเสียเวลาไปกับการหงุดหงิดคำพูดของทัต

ทัตเรียนรู้แล้วว่าความเสี่ยงนั้นมีมากเกินไปหากให้ดิวเป็นคนกำหนดคู่ต่อสู้ นัยนึงคือกลัวว่าพิมจะตกเป็นเหยื่อของมันมากกว่า

ร่นเข้าระยะได้ ทัตก็จัดการง้างหมัดจากมุมสูงใส่ดิวกับเจสัน แต่พวกเขาก็หลบได้ไม่ยาก

ไม่สิ… ทัตไม่ได้ตั้งใจจะโจมตีพวกเขาต่างหากพวกเขาถึงหลบได้ นั่นคือสิ่งที่ดิวตระหนัก เขาถึงได้เบิกตาโพลงในจังหวะถัดมาที่ทัตพุ่งเข้ามาหาเขาต่อในทันทีโดยไม่เสียจังหวะ ส่วนพิมก็เข้าเผชิญหน้ากับเจสันโดยไร้ความหวาดกลัวแม้อีกฝ่ายจะสูงใหญ่กว่าก็ไม่ครั่นคร้าม

ในขณะเดียวกัน ดิวเองก็ไม่เสียรอยยิ้มเยาะเย้ยไปเลยแม้ตัวเองจะเสียเปรียบจนทำให้ทัตรู้สึกขนลุก

ไม่ใช่เพราะหวาดกลัวแต่เป็นสังหรณ์… ในแง่ร้าย

ทัตรีบออกหมัดด้วยความรู้สึกนั้น ตั้งใจจะตั้นหน้ามันสักทีให้เรื่องจบเร็วขึ้น แต่ดิวกลับเอี้ยวตัวหลบได้ทันฉิวเฉียดอีกครั้ง ดูเหมือนความเชี่ยวชาญคลาสที่เพิ่มขึ้นจากสกิลเสริมพลังจะไม่ทำให้ได้เปรียบขนาดนั้น

แต่ว่า… ถ้าหมอนี่โดนโจมตีครั้งนึงล่ะก็เสร็จแน่

ทัตมั่นใจจุดนั้นเพราะสเตตัสความสามารถทางกายเป็นข้อได้เปรียบที่เห็นผลชัดเจนที่สุดที่ทัตมี

เขาถึงเร่งมือขึ้นด้วยการอาบสายฟ้าที่เท้าสองข้างรวมถึงหมัดทั้งสอง ละทิ้งพลังทำลายแล้วเน้นที่ความเร็ว เพราะสเตตัสในตอนนี้เหลือเฟือมากพอที่จะจัดการดิวได้ในหมัดเดียว

ทัตถีบพื้นไปอยู่ด้านหลังของดิวได้อย่างง่ายดายด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น แล้วอาศัยช่วงที่ดิวยังตอบสนองไม่ทันจัดการเอี้ยวตัวเตะสีข้างของดิวกระแทกลงกับพื้นจนกระอักเลือด ความรุนแรงนั่นถึงกับทำให้พื้นแตกละเอียดเลยทีเดียว

แม้จะจบเร็วกว่าที่คิดแต่ทัตก็ไม่ประมาท โดยเฉพาะคนเจ้าเล่ห์อย่างดิว

เขาถึงสร้างกำแพงลมเป็นแผ่นกดทับดิวเอาไว้ก่อน เพราะคิดว่าจะเอาไว้ต่อรองให้พวกศัตรูสงบศึก

กับอีกสิ่งที่ทำให้ทัตถูกดึงความสนใจ คือเสียงกระแทกจากการโจมตีที่มาจากข้างหลัง เกิดขึ้นจากการต่อสู้ระหว่างพิมกับเจสัน

“หลีกไปซะ!!! กูจะไปอัดไอ้ทัต!!!”

“ข้ามศพฉันไปก่อนเถอะย่ะ!”

ทั้งสองตะโกนโต้กันด้วยความพิโรธพร้อมกับปะทะกันด้วยคมดาบและหมัด ความต่อเนื่องของเสียงกระทบราวกับประทัด

ความรวดเร็วของการโจมตีพิมนั้นมีสูงกว่าเพราะสเตตัสทางกายถูกบัฟ แต่เทคนิคนั้นเทียบกับเจสันที่อัพแค่อาชีพเดียวและเลเวลสูงกว่าไม่ได้

ความสามารถทั้งดีและเลวในแต่ละอย่างหักลบกันจนไม่มีใครสร้างความเหนือกว่าให้อีกฝ่ายได้ แม้พิมจะกระหน่ำฟันแทงแต่เจสันก็ปัดป้องได้ แม้แต่เปลวเพลิงที่อาบใบดาบยังฟันผิวหนังของเจสันไม่เข้า

ส่วนทางด้านเจสันที่พยายามรัวหมัดใส่ราวปืนกลเองก็ถูกพิมหลบได้หมด ทั้งสองจึงต้องถอยร่นออกมาจากอีกฝ่ายก่อน

นั่นเป็นตอนที่ทัตเดินเข้ามาร่วมวง ไม่สิ… เปลี่ยนไม้ผลัดกับพิมต่างหาก

“ฉันรับช่วงต่อเองพิม” ทัตเดินเข้ามาแทรก คั่นกลางระหว่างพิมกับเจสันเพื่อให้เจสันหันมาสนใจเขา

และแน่นอนว่าเจสันยิ้มร่าออกมาทันที อย่างไรเป้าหมายของเขาก็คือทัตมาแต่แรกอยู่แล้ว

“ต้องแบบนี้สิวะ! คราวนี้ไม่ให้ใครมาขวางแน่!” เจสันถึงชนหมัดเข้าด้วยกันอย่างตื่นเต้น ความกระหายในการต่อสู้ของเขาไม่ได้ลดน้อยลงเลยแม้จะเคยถูกทัตโค่นมาก่อน

ณ ตอนนั้น เจสันคงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ว่าความรู้สึกของตัวเองไม่ได้มีความแค้นประสมอยู่ดังเช่นก่อนเริ่มศึกเลย

ที่มีอยู่นั้นคือความต้องการต่อสู้กับผู้ที่แข็งแกร่งอย่างบริสุทธิ์ใจเท่านั้น ราวกับนักรบผู้แสวงจุดสูงสุดยังไงอย่างงั้น ผิดกับครั้งล่าสุดที่ยอมให้คนนอกเข้ามาทำลายการต่อสู้แบบตัวต่อตัว

“ก็ขอให้เป็นอย่างนั้น” ทัตเองก็สังเกตรอยยิ้มไร้ประสงค์แอบแฝงของเจสันเหมือนกัน

แต่เรื่องนั้นไม่ได้สำคัญเท่ากับการรีบจบการต่อสู้ให้เร็วที่สุด

ที่สำคัญคือผลของสกิลเสริมพลังนั้นใกล้จะหมดลงแล้ว ทัตจึงอยากใช้โอกาสนี้ให้คุ้มค่า เขาถึงถีบพื้นร่นระยะเข้าหาเจสันอีกครั้ง

ความรวดเร็วของสเตตัสทางกายที่สูงถึง 1,700 แต้ม แถมยังเสริมความเร็วด้วยเวทสายฟ้าทำเอาเจสันตะลึง แต่เขาก็ยังเร็วพอจะตอบสนองหมัดซ้ายที่พุ่งเข้ามาของทัตได้อยู่

…แต่น่าเสียดายที่นั่นเป็นแค่หมัดหลอก การโจมตีจริง ๆ ของทัตเป็นการแทงศอกเข้าใส่ลิ้นปี่จากมุมต่ำด้วยผลต่างของส่วนสูงจนกระอัก

จังหวะที่เจสันชะงักไปนั้นทำให้ทัตเหวี่ยงตัวหมุน ใช้หลังมืออีกข้างกระแทกไปที่คางของเจสันอย่างรุนแรง การหลังแหวนทำให้สมองได้รับการกระทบกระเทือนจนตาเหลือกหงายท้องลงไปกับพื้นแทบจะทันที

“แม่ง… เอ้ย————”

คำพูดที่ลอดออกมาทั้งที่กำลังกัดฟันแน่นคือสิ่งสุดท้ายก่อนจะหมดสติไป แต่ก็ไม่น่าแปลกใจสำหรับคนที่ยังคงล้มเหลวแม้รอคอยวันล้างแค้นมานาน

หัวหน้าของทั้งสองถูกโค่น… อย่างง่ายดาย… ง่ายดายจนน่าประหลาด

“ถึงฉันจะพูดเองก็เถอะ… แต่มันจบง่ายไปไหมเนี่ย” พิมที่เดินเข้ามาหาทัตหลังจบเรื่องเองก็รู้สึกแบบนั้น

ไม่ใช่แค่ดิวกับเจสันที่พ่ายแพ้ แต่กำลังส่วนใหญ่ของศัตรูทั้งปลอกแขนแดงและพยัคฆ์ฟ้าเองก็ค่อย ๆ เพลี่ยงพล้ำไปทีละคนสองคนเช่นกัน

ทัตถึงได้สงสัย ยิ่งในตอนที่สบสายตากับดิวที่นอนหงายกับพื้นด้วยรอยยิ้มร่าไม่สร่างแม้แพ้พ่าย ความสงสัยก็รังแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แม้ชัยชนะจะอยู่ในมือแล้วก็ตาม

นี่มันแปลกเกินไปแล้ว… ถ้าเป็นเจสันก็ว่าไปอย่าง ไอ้เวรดิวนี่ถึงมันจะบ้า แต่ไม่ได้เป็นคนไร้หัวคิด

ทั้งที่รู้ว่าเราแข็งแกร่งกว่าทำไมถึงยังมาเผชิญหน้า

ไม่สิ… นอกจากเราที่แข็งแกร่งกว่าปกติโดยไม่รู้สาเหตุแล้ว ยังมีฝ้ายที่เลเวลสูงกว่า 100 อีก

คิดตามปกติ จำนวนไม่น่าเป็นข้อได้เปรียบเมื่อต้องเผชิญหน้าฉันกับฝ้ายเลย

หรือว่ามันมีแผนอะไรซ่อนอยู่อีก?

คิดไปคิดมาทัตก็เข้าใจสาเหตุของความกังวลในใจ

…แต่ในตอนที่ตระหนักเรื่องนั้น มันก็เป็นการยากอยู่ดีที่จะชี้ชัดแผนของศัตรู

จนสุดท้ายเงามืดก็คืบคลานเข้ามาและกลืนกินทุกคนโดยไม่อาจรู้ทัน

ตู้ม!!!!

“ “!!!?” ”

เสียงระเบิดปริศนาที่ดังขึ้นจากปลายสุดของขบวนทัพศัตรูคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ทัตกับพิมตกตะลึง และทำให้พวกเขารู้ว่าสิ่งที่กังวลนั้นถูกต้อง

ยิ่งทัตได้เห็นรอยยิ้มที่กำลังฉีกกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ของดิวก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา

“ดิว! แกวางแผนอะไรเอาไว้————”

ทัตตะโกนด้วยความรู้สึกตระหนกและสับสน แต่ก่อนที่จะทันได้พูดจนจบประโยค ในจังหวะนั้นกลับมีบางสิ่งลอยมาตกใกล้ ๆ เท้า

ครั้นพอหันไปมอง ก็พบว่ามันเป็นมือของใครบางคนที่ขาดจนถึงส่วนต้นแขน

ไม่สิ… ที่ทัตคิดว่ามันคือมือของใครบางคนก็เป็นแค่การปลอบใจและหลอกตัวเองเท่านั้น ความหนาวเย็นถึงวิ่งแล่นตั้งแต่หัวจรดเท้าในตอนที่ยอมรับความจริง

นั่นเป็นเวลาเดียวกับที่มีใครบางคนกระโดดมาลงตรงบริเวณประตูทางเข้าพอดี และเป็นจังหวะเดียวกับที่คำตอบออกมาด้วยเช่นกัน

เมื่อตรงนั้นมีฝ้ายที่กำลังกัดฟันแน่นทั้งที่เหงื่อผุดบนใบหน้า และใช่… มือซ้ายของเธอขาดหายไปตั้งแต่ช่วงท่อนแขน ความหวาดกลัวถึงเริ่มก่อตัวขึ้นจนทัตรู้สึกแน่นหน้าอกเป็นครั้งแรก

ไม่สิ… เป็นครั้งที่สองต่างหาก และทัตยังจำครั้งแรกที่รู้สึกแบบนี้ได้ดี

…มันคือตอนที่ทัตพบว่าตัวเองได้เสียพิมไปในคืนแรกที่เกิดการตื่นนั่น

เท้าของทัตถึงเกร็งแน่นและเตรียมจะถีบพื้นพุ่งเข้าไปหาทั้งที่ไม่รู้สถานการณ์

“ฝ้าย!”

“อย่าเข้ามาค่ะ!”

ถูกฝ้ายเตือนด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและหนักหน่วงทำให้ทัตหยุดเท้าตัวเองลงพร้อม ๆ กับพิมที่คิดแบบเดียวกัน

ในพริบตาถัดมาก็มีเสียงระเบิดเกิดขึ้นบริเวณที่ฝ้ายยืนอยู่ทำให้ทัตกับพิมหลุดตกใจ แต่พอเห็นว่าฝ้ายหลุดออกมาจากกลุ่มควันนั้นได้อย่างปลอดภัยก็ทำให้โล่งอกไปได้บ้าง

กระทั่งมีชายปริศนาสองคนปรากฏตัวขึ้นมาอีกหลังฝุ่นควันจางลง

ชายคนนึงสวมเสื้อกั๊กเดินป่าดูมีประสบการณ์เอาตัวรอดสูง ส่วนชายอีกคนที่สวมชุดสบาย ๆ ดูแล้วไม่แตกต่างจากคนอื่นที่อยู่ในสนามรบ

ถ้าจะมีจุดที่แตกต่าง… คงเป็นดาบสีดำยาวสะท้อนแสงจันทร์ กับปืนคาบศิลาราวหล่อด้วยเหล็กกล้าในมือของพวกเขา ทั้งสองเป็นอาวุธที่รู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่ของที่หาได้ทั่วไป และลวดลายที่ประดับบนอาวุธนั้นต่างก็วิจิตรพิถีพิถันเกินกว่าจะผลิตได้จำนวนมาก

ซ้ำลวดลายนั้นยังคล้ายคลึงกับหอกที่ฝ้ายมีอีกต่างหาก

ทัตอยากยืนยันให้แน่ใจจึงใช้สกิลวิเคราะห์กับทั้งสองคน

ไอ้เวรพวกนั้น… เลเวล 106 กับ 109!

มันเป็นใครกัน? ปลอกแขนแดงกับพยัคฆ์ฟ้าไม่มีคนที่มีเลเวลสูงขนาดนั้นไม่ใช่รึไง!?

คำตอบไม่ได้เป็นอะไรมากกว่าการตอกย้ำความเป็นจริงอันสิ้นหวัง ทัตถึงหน้าถอดสีจนแม้แต่พิมเองยังสังเกตได้ เธอถึงได้ตระหนักความจริงอย่างเดียวกันแม้ทัตจะไม่ต้องเอ่ยปากบอก

“ฮิฮิ… รู้ตัวจนได้สิน้า”

เสียงสูงกวนประสาทมาจากดิวที่นอนอยู่ตรงพื้นข้าง ๆ ทัต นั่นมากพอจะทำให้ความโกรธของทัตปะทุขึ้นมาเลย

ทัตถึงได้ก้มลงไปดึงคอเสื้อของดิวขึ้นมา ในที่สุดตอนนี้เขาก็เข้าใจแล้วว่ารอยยิ้มเยาะเย้ยเหมือนทุกอย่างอยู่ในกำมือของมันมาตลอดหมายความว่ายังไง

แต่ว่า… ทัตไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้นแน่ โดยเฉพาะในตอนที่ชีวิตของฝ้ายกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายแบบนี้

“สั่งให้ไอ้พวกนั้นหยุดซะ ไม่งั้นฉันจะฆ่าแกแน่” ทัตมองเข้าไปในตาของดิวด้วยความรุนแรงที่สุด ทัตไม่คิดว่าจะมีครั้งไหนที่เขาจะโกรธได้เท่าครั้งนี้อีกแล้ว

“โห… อย่างแกจะทำได้เหรอวะทัต? ไหนบอกจะไม่ใช้อารมณ์ตัดสินใจไงวะ?”

และบางที คงเพราะมันแฝงด้วยความพิโรธมากกว่าทุกที ดิวถึงได้รู้สึกเยาะเย้ยทัตยิ่งขึ้นไปอีก ดูจากรอยยิ้มที่มีแต่จะฉีกกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ของมันก็รู้

สำหรับทัตยิ่งเห็นก็ยิ่งหงุดหงิด เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าอยากจะฆ่าใครสักคนจริง ๆ

“แย่แล้วทัต! น้องฝ้ายกำลังแย่แล้วนะ!” เสียงพิมตื่นตระหนกยิ่งกว่าทุกทีทำให้ทัตต้องละสายตาไปมอง

แล้วมันก็ดูแย่จริง ๆ… แม้ว่าฝ้ายจะมีเลเวลสูงกว่าคนพวกนั้นอยู่ที่เลเวล 120 แต่เพราะเป็นศึกแบบสองต่อหนึ่งทำให้ฝ้ายถูกกดดันมากกว่าจะมีแต้มต่อ เรื่องที่เธอเสียแขนไปข้างนึงแล้วเป็นเครื่องบ่งชี้สถานการณ์ที่น่ากังวลอย่างชัดเจนอยู่แล้ว

เอาไงดี… อยากจะเข้าไปช่วยฝ้ายชะมัด

แต่ถ้าเข้าไปก็คงเป็นได้แค่ตัวถ่วงเปล่า ๆ!

พวกสินที่ดูอยู่รอบ ๆ เองก็คงรู้แบบนั้นถึงไม่ได้เข้าไปสอด

เวรเอ้ย! …เวรเอ้ย!!!

“เฮ้ย! ถ้าพวกแกไม่หยุดฉันจะฆ่าหัวหน้าของพวกแกซะ! ได้ยินไหม!!!”

ทัตพยายามตะโกนเสียงดังที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ เขาฉุดดิวขึ้นมาล็อคคอไว้เหมือนจับตัวประกัน ถึงกับยืมดาบคาตานะจากพิมมาเทียบคอดิวเพื่อใช้ข่มขู่ด้วย

แต่ว่าเจ้าสองคนนั้นก็ยังคงกระหน่ำโจมตีใส่ฝ้ายที่ทำได้แค่ปัดป้องการโจมตีออกไปด้วยหอกในมือข้างเดียวอย่างทุลักทุเล พวกมันไม่ได้สนใจความเป็นตายของดิวเลยสักนิด ราวกับวัวกระทิงคลั่งไร้นายยังไงอย่างนั้น

“ฮะฮะฮ่า! เปล่าประโยชน์ เจ้าพวกนั้นไม่ใช่ลูกน้องฉันด้วยซ้ำ!”

“อะไรนะ!?”

“พวกมันไม่ฟังคำสั่งฉันหรอก อยากจะลองฆ่าฉันดูก็ได้นะ เอาเซ่!”

คำข่มขู่ของทัตไม่เป็นผลแม้แต่น้อย ซ้ำยังทำให้มันหัวเราะชอบอกชอบใจออกมาอีกต่างหาก

ไม่ว่าดิวมันกำลังวางแผนอะไรเอาไว้แต่ในสถานการณ์นี้คงอดคิดไม่ได้ว่าในหัวของมันต้องมีอะไรผิดปกติอย่างแน่นอน และสำหรับคนแบบนั้นย่อมไม่สามารถต่อรองได้ด้วยประการทั้งปวง

งั้นช่างแม่งแล้ว!

ต่อให้ตายก็ต้องเข้าไปช่วยฝ้า————

“น้องฝ้าย!!!”

“!!!?”

นั่นคือตอนที่พิมตะโกนด้วยเสียงที่สั่นระรัวจนทัตต้องเหลียวไปมองตามด้วยความกระวนกระวาย

ในเมื่อภาพที่อยู่ต่อหน้าของทุกคน รวมถึงทัตกับพิม… คือฝ้ายที่ถูกคมดาบแทงทะลุอกจนเลือดสาดกระเซ็นและพวยพุ่งออกจากปากแผลราวกับน้ำพุ

ดวงตาของทัตถึงเบิกโพลงขึ้นพร้อมกับอาการสั่นทั่วทั้งร่าง แต่กลับรู้สึกเหมือนถูกขุดโพรงขึ้นในอกราวกับดวงใจถูกช่วงชิง

มือที่ยื่นออกไปกลับไม่สามารถไขว่คว้าสิ่งใดได้… นอกจากความว่างเปล่าอันเกิดจากการสูญเสียสิ่งที่รักไปอีกครา

“ฝ้ายยยยยยย!!!!!!”

❖❖❖❖❖