ความตาย

ทุกคนรู้จักมัน แต่ไม่เคยตระหนักและเข้าใจถึงลักษณะของมัน

ไม่เลือกเวลา ไร้สัญญาณเตือน ไร้ความปราณีและไม่มีสิ่งใดหยุดยั้งได้… ทุกคนรู้เรื่องนั้น แต่น่าแปลกที่ไม่มีใครตระหนักเรื่องนั้นจนกว่ามันจะมาถึง

นั่นเพราะถ้ามันไม่เกิดกับตัวเอง เราจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามันคือจุดจบ คนที่รู้ว่ากำลังจะตายจึงมีแต่เจ้าตัวเท่านั้น

ด้วยเหตุนั้น… ในตอนที่ความตายมาเยือนคนใกล้ชิด มันจึงเป็นตอนที่สายไปแล้วเสมอ

“ฝ้ายยยยยยย!!!!!!!”

เสียงตะโกนของทัตดังสุดเสียงราวกับอ้อนวอนถึงสรวงสวรรค์ให้ปราณีน้องสาวที่ถูกคมดาบทะลวงอก

…ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่ามันส่งไปไม่ถึง

เท้าของเขาเหยียบพื้น พุ่งทะยานออกไปสุดแรงหวังให้ถึงจุดที่ฝ้ายยืนอยู่

ห่างเพียงแค่เอื้อมมือเท่านั้น… แต่ศัตรูคนที่ใช้ดาบแทงทะลุอกฝ้ายกลับตวัดดาบในแนวนอนสร้างแผลฉกรรจ์ให้ฝ้ายอีก

“มึง!!!!” ความโกรธที่มากอยู่แล้วของทัตก็แทบจะทะลุปรอทในจังหวะนั้น เขาถึงเงื้อหมัดเข้าใส่เตรียมจะอัดคนที่ทำร้ายน้องสาวของเขา

แต่อีกฝ่ายขยับตัวไปอยู่ด้านหลังฝ้ายที่กำลังหมดแรงล้มลง มันใช้เธอเป็นโล่กำบังก่อนจะกระโดดหลบออกไป

ทัตมองพวกมันด้วยสายตาเพชรฆาต… แต่พอสบกับสายตาที่กำลังเหนื่อยอ่อนของฝ้ายเข้า ทัตก็เลือกจะเข้าไปโอบร่างของเธอแทน จากบาดแผลและปริมาณเลือดบนร่าง เขาคิดไม่ออกเลยว่าฝ้ายจะยืนด้วยตัวเองได้ยังไง

“ฝ้าย! ทำใจดี ๆ ไว้ก่อนนะ!” ที่ทัตทำได้มีแค่การพยุงเธอให้นอนลงกับพื้น พยายามประคองสติของฝ้ายด้วยเสียงที่ดังที่สุด

อีกอย่างที่ทำได้คือใช้เวทแสงสว่างกับบริเวณปากแผล

ในระหว่างนั้น ฝ้ายกลับพยายามใช้เรี่ยวแรงที่เหลือเพียงน้อยนิดยื่นมือสัมผัสใบหน้าทัต ความโหยหานั่นมากพอจะบอกได้ว่าเป็นสิ่งสุดท้ายที่เธออยากจะทำ

“พี่คะ…”

“อย่าเพิ่งพูดสิ” ทัตไม่ฟัง เขาไม่อยากให้ฝ้ายใช้แรงกับเรื่องอื่นเกินความจำเป็น …ทั้งที่รู้สภาพของฝ้ายดีอยู่แล้ว

“ไม่มี… ประโยชน์หรอกค่ะ” เรื่องนั้นแม้แต่ตัวฝ้ายเองยังรู้ดี

“บอกว่าอย่าพูดไง”

ทัตยังย้ำคำเดิมแต่ด้วยน้ำเสียงสั่นระรัวเช่นเดียวกับดวงตาสั่นเครือ เขาไม่คิดจะฟังคำพูดของฝ้าย

ไม่สิ… ไม่อยากยอมรับความจริงต่างหาก

บาดแผลถูกทะลวงอกจนเลือดจำนวนมากไหลท่วม สาเหตุนั้นเป็นเพราะคมดาบแทงทะลุหัวใจ

บาดแผลฉกรรจ์ที่เกิดจากการตวัดดาบจนร่างของฝ้ายเกือบจะขาดออกจากกันทำให้ปอดและอวัยวะภายในส่วนอกถูกทำลายไปครึ่งซีก

แม้จะใช้เวทธาตุแสงช่วยหยุดปากแผลไว้ได้ แต่มันก็ทำให้เลือดไม่อาจไหลเวียนได้ตามปกติเพราะหัวใจถูกทำลายไปแล้ว ทางเลือกจึงมีแค่ตายจากการเสียเลือดหรือตายเพราะสมองขาดเลือด

อาการบาดเจ็บทั้งหมดเกินกว่าคำว่าสาหัส… ทัตเองก็รู้เรื่องนั้นดี มือที่กำลังร่ายเวทแสงถึงหยุดลงแล้วเปลี่ยนมากำแน่นด้วยความเจ็บใจและทรมาน

พิมวิ่งเข้ามาหาทีหลังเพื่อคอยระวังให้ทัต พอเห็นสภาพของฝ้ายก็หน้าถอดสี แม้แต่เหล่าลูกน้องของฝ้ายเองก็เริ่มเสียขวัญเพราะหัวหน้าใหญ่เสียท่า

ไม่มีใครทำอะไรได้อีกแล้ว… ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือฝ้าย หรือว่าการกอบกู้สถานการณ์นี้

“ฝ้าย… ฝ้าย…” น้ำเสียงของทัตสั่นระรัวแบบที่ไม่เคยเป็น มือทั้งสองกุมมือขวาที่เหลืออยู่ของฝ้ายไว้แน่น เขาทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากเรื่องนี้

“แค่ก!”

“ฝ้าย!!!”

ฝ้ายกระอักเลือด คิดไม่ออกเลยว่าเธอต้องเจ็บปวดขนาดไหน เรี่ยวแรงที่จะกุมมือของทัตกลับเองก็ไม่เหลือแล้วด้วยซ้ำ กระนั้นเธอก็ยังพยายามยื้อสติของตัวเองเอาไว้ด้วยแรงใจที่เหลืออยู่

ดวงตาของเธอไม่ละไปจากใบหน้าของทัตเลยแม้แต่วินาทีเดียว แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต เธอก็ยังปรารถนาจะเก็บช่วงเวลาที่ได้อยู่กับพี่ชาย… ชายคนที่เธอรักให้นานที่สุด

แม้มันจะเป็นครั้งสุดท้ายอันแสนสั้น และเจ็บปวดเกินกว่าที่เด็กสาวคนนึงจะทำใจยอมรับได้ก็ตาม

“ทั้งที่ในที่สุด… หนูก็เข้าใจพี่แล้วแท้ ๆ”

เพราะรู้อยู่แก่ใจว่านี่เป็นครั้งสุดท้าย ฝ้ายถึงสะอื้นออกมาราวกับเป็นเด็ก… สมกับเป็นเด็กสาวธรรมดาคนนึง

โหดร้าย… ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ตลอด

ทำไมฉันถึงทำอะไรไม่เคยได้ดั่งใจเลย

พยายามมาตลอดก็เพื่อให้พี่เข้าใจและยอมรับ

และพอความหวังนั้นเป็นจริง… ก็มาตายง่าย ๆ อย่างนี้เหรอ?

ดวงตาอันสั่นระรัวของฝ้ายเกิดน้ำตาไหลอาบสะท้อนความเจ็บปวดที่อยู่ในใจ แต่ที่มากกว่าคือความผิดหวังในตัวเองที่ไม่จริงจังกับเวลาที่ใช้ร่วมกับทัตให้มากกว่านี้

ถ้าได้ใช้เวลาร่วมกันมากกว่านี้ก็คงดี… ถ้ารีบบอกพี่ทัตว่าอยากจะเข้าใจกันให้เร็วกว่านี้ก็คงดี…

และที่สำคัญที่สุด… ถ้าแสดงความรู้สึกออกมาอย่างซื่อตรงมากกว่านี้ก็คงจะดี

ถ้ามีเวลาก็อยากจะออดอ้อนในฐานะน้องสาว ถ้าเหลือเวลาก็อยากจะลองไปเที่ยวด้วยกัน ดูอนิเมที่พี่เขาแนะนำด้วยกัน …หรืออาจจะหวังให้ความสัมพันธ์เป็นไปในแบบที่หวังอยู่ลึก ๆ ก็ทำได้

เพราะคิดแบบนั้นถึงได้รู้สึกเสียใจขึ้นมาทีหลัง โอกาสดี ๆ ไม่เคยจะผ่านเข้ามาให้เด็กสาวคนนี้ได้ลิ้มรสชาติของความสุขจากความสมหวังเลย

แต่ความผิดหวังเหล่านั้น ก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่เธอรู้สึก

ไม่สิ… อย่างน้อยพี่ก็อยู่กับหนู

คนที่ชีวิตไม่เคยสมหวังอย่างฉัน…

แค่ได้อยู่ในอ้อมอกของคนที่รักในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต… แค่นั้นฉันก็

เด็กสาวเศร้าสลด มีเพียงความรู้สึกเสียใจที่สะท้อนอยู่ในดวงตา แต่ถึงแบบนั้นก็ยังมีชายที่เธอรักรวมอยู่ภายในนั้นด้วย

การมีตัวตนของเขาช่วยแทรกทำลายความเจ็บปวดเหล่านั้น ทำให้หัวใจที่ควรจะมีแต่ความเจ็บปวดได้มีความสุขกับเขาบ้าง เธอถึงไม่อาจสาปแช่งชีวิตที่ผ่านมาได้อย่างเต็มใจ

แม้จะเป็นแค่การปกป้องเขาอยู่ฝ่ายเดียวมานานกว่าหลายปี แต่อย่างน้อยนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เด็กสาวตัวน้อยคนนี้รู้สึกว่าชีวิตตัวเองมีความหมายขึ้นมาบ้าง

หากมันเป็นการทำเพื่อชายที่รัก เพียงเท่านั้นก็เป็นชีวิตที่มีค่ามากแล้วสำหรับเธอ

“หนูรัก พี่นะคะ… พี่————”

ดังนั้น หากภาพของทัตจะเป็นสิ่งติดตัวอย่างสุดท้ายของชีวิต และเป็นสิ่งสุดท้ายที่เธอได้เห็น

นั่นคงเป็นเรื่องเดียว… ที่ฝ้ายไม่ได้นึกเสียใจทีหลัง

“ฝ้าย… ฝ้าย!!!”

เสียงของฝ้ายเลือนหายไปในเสี้ยววินาที และจากนั้นก็ไม่มีการตอบกลับแม้ทัตจะเรียกสุดเสียง

ดวงตาที่เปิดเพียงครึ่งของฝ้ายไม่ตอบสนองอีกต่อไป แม้น้ำตาจะยังไหลรินราวกับความเสียใจของเด็กสาวยังไม่สิ้นสุดดี

แต่เธอจากไปแล้ว… อย่างไม่มีวันหวนคืน

อาจเพราะตระหนักความจริงเรื่องนั้น ทุกคนถึงกลั้นสะอื้นไม่อยู่ แม้แต่พิมเองยังมีน้ำรื้นขึ้นที่ตาทั้งสองข้างเพราะความสะเทือนใจ

แต่หนักที่สุดคงเป็นทัตที่หลั่งน้ำตาเป็นสาย… อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

อีกแล้ว… อีกแล้ว!

ฉันเสียครอบครัวไปอีกแล้ว!

ความรู้สึกสับสนเกิดขึ้นเพราะไม่อาจยอมรับสถานการณ์ แต่ที่หนักกว่านั้นคือความรู้สึกผิดที่ไม่อาจทำอะไรกับสถานการณ์แบบนี้ได้ เขาถึงกุมหัวด้วยความทรมานราวกับต้องการก่นด่าลงทัณฑ์ตัวเองทั้งน้ำตา

แม้แต่ความตายที่เหมาะสมยังมอบให้ไม่ได้… ปล่อยให้คนสำคัญตายไปด้วยความเสียใจ ค้างคาและเจ็บปวดทรมาน

ใช้ชีวิตอย่างมีเหตุผลบ้าอะไรกัน! เป็นพี่ชายบ้าอะไร!

ไอ้คนครึ่ง ๆ กลาง ๆ อย่างเรา… กล้าพูดอะไรแบบนั้นออกมาได้ยังไง!!!

เหมือนกับตอนที่แม่จากไป… หรือตอนที่สูญเสียพิมในคืนแรก… ความรู้สึกราวกับดวงใจถูกช่วงชิงมาเยือนทัตโดยไม่ทันตั้งตัวจนรู้สึกเสียศูนย์

และนั่นยังไม่ใช่เรื่องเดียวที่ทำให้ทัตรู้สึกสิ้นศรัทธาในตัวเอง

“ฮึ… ฮะฮะฮะฮ่า!” จังหวะที่พักไปนานทำให้ดิวลุกขึ้นมา แต่อย่างแรกที่ทำกลับเป็นการหัวเราะดังลั่น

พิมเองเห็นว่าน่าสงสัยถึงหันดาบใส่โดยที่มีทัตอยู่ด้านหลัง เพราะทัตที่กำลังจมปลักกับความรู้สึกผิดไม่ได้สนใจเสียงจากภายนอกเลยสักนิดเธอถึงต้องระวังหลังให้

แม้สิ่งที่ดิวปรารถนาจะไม่ใช่การทำลายเปลือก… แต่เป็นแก่น

“เห็นรึยังวะทัต! นี่แหล่ะคือผลลัพธ์ของการใช้เหตุผลของแกน่ะ!” ดิวพูดอย่างนั้น ด้วยสีหน้าพอใจอย่างสุดซึ้ง

“ถึงการใช้เหตุผลจะเป็นตัวเลือกที่ถูกต้องในการใช้ชีวิต แต่คนทั้งโลกมันไม่ได้เป็นแบบแกหรอกนะโว้ย! นี่ต่างหากสิ่งที่โลกนี้เป็น!”

คำพูดของเขาเสียดแทงใจทัตยิ่งกว่าคมหอกดาบที่เคยเผชิญมาทั้งหมด หัวใจที่แหลกสลายอยู่แล้วถึงยิ่งแหลกร้าวไม่มีชิ้นดี

แต่ที่หนักยิ่งกว่า… คงจะเป็นหลักการที่ยึดถือกำลังพังทลายลง และสำหรับคนที่ยึดติดกับหลักการนั้นอย่างทัตแล้ว นี่ไม่ต่างจากการสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองเลย

“ขับเคลื่อนด้วยสัญชาตญาณ! ถูกผิดกำหนดด้วยชีวิตของผู้ชนะ! นี่ต่างหากคือความจริง!!! โลกอันสงบสุขที่เซฟเวอร์อย่างแกอยากสร้างมันถึงเป็นแค่วิมานในอากาศยังไงล่ะ!!!”

เสียงของดิวดังก้อง เขาพยายามจะตะโกนให้ดังที่สุดหวังให้ทัตตระหนัก ไม่สิ… หวังให้ยอมรับในความแพ้พ่าย

และนั่นมากพอแล้วที่จะกระแทกเสาหลักสุดท้ายที่ประคับประคองหลักการของทัตให้ล้มครืน

“อย่าไปฟังมันนะทัต… มันก็พูดไปเรื่อยนั่นแหล่ะ”

พิมพยายามเตือนสติ ถ้าทำได้เธอก็อยากจะเข้าไปโอบกอดทัตเสียตอนนี้ แต่สถานการณ์ช่างไม่เอื้ออำนวยเอาเสียเลย

ทว่า… ถึงทำแบบนั้นมันก็สายไปแล้วสำหรับทัตในตอนนี้

การร่วมมือกันคือหนทางแห่งการเอาตัวรอด

เพราะแบบนั้นจะเสียจุดยืนของผู้ช่วยเหลือไม่ได้ การช่วงชิงชีวิตถึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจทำได้

ต่อให้อีกฝ่ายจะตั้งใจช่วงชิงเราก่อนก็ตาม… นั่นคือสิ่งที่เราเคยคิด

แต่ว่า… การกระทำที่ถูกต้องไม่ได้นำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ถูกต้องเสมอไป

เพราะศัตรู ยังไงก็ยังคงเป็นศัตรูอยู่วันยันค่ำ

เส้นขนานคือเส้นขนาน… และในความเป็นจริงศัตรูที่ยืนยันว่าไม่มีทางเป็นมิตรด้วยได้ หากปล่อยทิ้งไว้ สักวันก็จะต้องหันมาทำลายตัวเราอย่างแน่นอน

เหมือนอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้

ถ้าฉันฆ่าไอ้เวรนี่ตั้งแต่หลายวันก่อน เรื่องมันก็คงไม่แย่แบบนี้

จนป่านนี้แล้ว… ทั้งที่คิดดูให้ดีก็รู้อยู่แล้วแท้ ๆ…

ว่าคงไม่มีทางเป็นมิตรกับคนพวกนี้ได้แน่ ๆ

ทัตถึงลุกขึ้นยืน ใบหน้าที่ดูสิ้นหวังก่อนหน้านี้ถูกแทนที่ด้วยความเกลียดชัง แม้แต่เสียงกัดฟันยังดังจนพิมยังได้ยินชัด

ประนีประนอมไม่ชอบ…

งั้นถ้าพวกแกอยากได้อสูรกาย… ฉันจะจัดให้

สายตาของทัตผละจากร่างไร้วิญญาณของน้องสาว หันไปมองพวกดิวด้วยความเคียดแค้นและชิงชัง

“กูจะฆ่าพวกมึงให้หมดทุกคน”

“หา? พูดว่าอะไรนะ————”

ดิวยังพูดไม่ทันจบประโยค หน้าก็สั่นสะเทือนเพราะถูกกระแทก

ถูกกระแทกด้วยหมัดของทัตจนร่างเจ้าตัวลอยกระเด็นทะลุเข้าไปในโรงพยาบาล คนที่ตามความเร็วนั้นทันมีแค่พวกเลเวลสูงกว่า 100 ที่ฆ่าฝ้าย คนอื่นที่เหลือถึงตกตะลึงและรู้แค่ว่ามีเสียงระเบิดเกิดขึ้นจากการโจมตีของทัต

แม้แต่ตัวดิวที่กระแทกกับผนังห้องผู้ป่วยโรงพยาบาล ทะลุเข้าไปนอนกระอักเลือดในนั้นเองก็ตาม

“อั๊ก!”

หมัดของมันแรงขึ้น? ได้ไงวะ!?

ดิวสัมผัสได้ถึงความผิดปกติถึงลองใช้สกิลวิเคราะห์กับทัตดู แต่ผลลัพธ์คือสเตตัสของทัตไม่ได้เปลี่ยนไปเลย

ข้อสรุปจึงมีเพียงอย่างเดียวที่สมกับเป็นทัต

งั้นที่ผ่านมามันออมแรงไว้เพราะไม่อยากให้ถึงตายเหรอ…

…แบบนี้ก็สวยสิวะ

ความโกรธทำให้สูญเสียเหตุผลและหลักการไปสิ้น… ทัตในตอนนี้กำลังก้าวเข้าสู่จุดที่ใช้สัญชาติญาณอย่างที่ดิวปรารถนาให้เป็น

เพราะแบบนั้นดิวถึงฉีกยิ้มจนเห็นฟันทุกซี่ด้วยความพึงพอใจแก่ชัยชนะของตัวเอง ในขณะที่มองภาพทัตกำลังออกล่าด้วยความสำราญใจผ่านรูผนัง

“แก!!!!”

ลูกน้องคนสนิทของดิวเห็นภาพหัวหน้าตัวเองโดนอัดก็พุ่งเข้ามาหาทัตพร้อมหอกในมือข้างเดียว อาจโกรธเพราะรักหัวหน้าของตัวเอง หรือไม่อย่างนั้นก็หงุดหงิดที่ถูกหยามหน้า

แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหนทัตก็ไม่สนใจ …ไม่จำเป็นต้องคิดให้ปวดหัวอีกต่อไป

ทัตถึงคว้าด้ามคมหอกก่อนที่มันจะถึงตัว เหวี่ยงมันลงกระแทกพื้นพร้อม ๆ กับเจ้าของ อาบเวทยิงเปลวเพลิงไว้ที่ปลายเท้าตัวเองแล้วกระแทกใส่อกของมันเต็มแรง

“อั๊ก!”

ทัตกระทืบลงไปสุดแรงจนน่าจะทำให้ซี่โครงและอวัยวะภายในของอีกฝ่ายแหลกละเอียดทันที เขาถึงกระอักเลือดออกมาเป็นจำนวนมาก ปากแผลก็พุพองจากความร้อนของเวทมนตร์

ร้องโอดครวญน่ารำคาญ

นี่ยังไม่ถึงครึ่งที่พวกแกทำกับฝ้ายด้วยซ้ำ!

ถึงอย่างนั้นทัตก็ปล่อยมันร้องคร่ำครวญต่อไป เพราะปล่อยไว้มันก็ตายแน่นอน

ดังนั้น การให้มันดิ้นทุรนทุรายตายอย่างทรมาน สาสมกับความทรมานของเหยื่อที่มันกระทำเองก็ไม่เลวเหมือนกัน

…นั่นคือสิ่งที่ทัตคิด

เป็นเวลาเดียวกับที่มีอีกสองคนวิ่งหน้าตั้งเข้ามา กระโดดเงื้อหมัดและมีดพร้าเข้าใส่ทัตจากอีกด้าน

พิมเกือบจะตะโกนเตือนเพราะคิดว่าทัตกำลังจมดิ่งกับความคิดของตัวเองเกินไป

แต่ไม่ใช่… เธอรู้เรื่องนั้นหลังสังเกตเห็นว่าทัตร่ายเวทเพลิงในรูปร่างของหอกขึ้นมาจำนวน 5 เล่ม สวมทับแต่ละเล่มด้วยเวทสายฟ้าอีกทบก่อนจะยิงออกไปเมื่ออีกฝ่ายเข้ามาในระยะที่เห็นแล้วว่าหลบไม่พ้น

เป็นผลให้สองคนที่ทะเล่อทะล่ากระโดดเข้ามาถูกเพลิงประสิทธิ์สายฟ้าแทงทะลุร่างไปคนละสองเล่ม

พอมีเวลาให้คนพวกนั้นแสดงสีหน้าตกตะลึงอยู่ ก่อนที่ร่างของพวกมันจะตกกระแทกพื้นพร้อมเลือดที่สาดเป็นวงกว้าง พวกมันแน่นิ่งไปในไม่กี่อึดใจ

“แม่งเอ้ย!”

“มึง!”

“ตายซะเถอะไอ้เวรเอ้ย!”

ถัดจากนั้นก็มีอีกสามคนพุ่งเข้ามาหาทัตอีก

แต่แทนที่จะหนี ทัตกลับเลือกที่จะหันไปเผชิญหน้าพุ่งเข้าใส่ทุกคน เรียกว่าพร้อมปะทะเต็มที่ก็ไม่ผิดนัก

“ทัต!”

ใจเย็นก่อน! พิมอยากจะเตือนแบบนั้น แต่เห็น ๆ อยู่ว่าคงไม่มีประโยชน์

เขาเพิ่งจะสูญเสียน้องสาว แถมยังถูกเย้ยหยันหลักการที่ยึดถือ ความโกรธที่ทับถมนั่นจะทำให้เหตุผลหายไปจนมองไม่เห็นสิ่งอื่นนอกจากการล้างแค้นก็ไม่แปลก พิมเองถ้าต้องสูญเสียทัตไปก็คงจะแสดงออกอย่างเดียวกัน

ที่ทำได้เลยมีแต่ระวังหลังให้เขาเท่านั้น

แต่ว่า… ทำไมเจ้าพวกนั้นถึงไม่จัดการทัตล่ะ?

พิมเลื่อนสายตามองชายสองคนที่มีเลเวลเกิน 100 ซึ่งเป็นต้นเหตุของเรื่องราว พวกนั้นไม่ได้มีท่าทีอยากเข้าไปร่วมวงกับทัตหรือช่วยเหลือลูกน้องของดิวเลยแม้แต่น้อย

ถึงแบบนั้นพิมก็ต้องระวังพวกมันไว้ แทนทัตที่กำลังสติหลุดไม่เห็นภาพรวมของศึก

นั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่ทัตจัดการสังหารหมู่คนที่พุ่งเข้ามาอย่างไร้ความปราณีจนร่างท่วมเลือด ไม่ใช่ของเขาหากแต่เป็นเลือดของศัตรู

“ไหนใครจะเอาอีก” ทัตเลื่อนมองลูกน้องดิวคนอื่นที่มองอยู่ห่าง ๆ

พอสบสายตากันไหล่ของคนพวกนั้นก็กระตุกด้วยความหวาดกลัวทันที แม้จะเข้าไปรุมก็ไม่อาจเหนือกว่าได้จากความแข็งแกร่งที่เหนือชั้น

หากเทียบกันด้วยสเตตัสเพียว ๆ ตอนนี้ทัตเป็นรองแค่พวกที่มีเลเวลสูงกว่า 100 เท่านั้น

แต่เรื่องนั้นคงไม่มากเท่ากับความไร้ปราณี อำมหิตเลือดเย็นที่ทัตแสดงออกผ่านกระบวนท่าสังหารและการโจมตีด้วยเวทมนตร์ใส่จุดตายอย่างไร้ความลังเล ราวเครื่องจักรสังหารที่จักตอบโต้ใส่ทุกคนที่เข้าหาด้วยความตายอันทรมานที่สุดเท่าที่จะให้ได้

พวกเขาถึงอดคิดไม่ได้… ว่าต่อให้เข้าไปสู้จุดจบก็คงจะไม่แตกต่างจากคนที่ถูกทัตฆ่า

สิ่งที่เหลืออยู่จึงมีแต่ความหวาดกลัว ไม่แม้แต่พวกเดียวกันอย่างสิน คิว กิฟ เบล ลินดา มิ้นและคนอื่น ๆ

ถ้าจะมีข้อยกเว้น ก็คงมีแค่พิมที่ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกเป็นห่วงและเจ็บปวดแทนใจของทัต

…กับพวกคนที่แข็งแกร่งกว่าทัตเท่านั้น

แปะ! แปะ! แปะ!

และเสียงปรบมือก็ดังขึ้นจากคนจำพวกดังกล่าว… จากชายที่มีเลเวลมากกว่า 100 ผู้ใช้ดาบสีดำเป็นอาวุธ

…แม้ในสายตาของทัต จะจดจำได้เพียงแค่ว่ามันเป็นคนปลิดชีพฝ้าย น้องสาวของเขาก็ตามที

“อย่างนี้นี่เอง แข็งแกร่งกว่าคนที่มีเลเวลพอ ๆ กันจริงด้วยนะแกน่ะ————”

ตู้ม!!!

เพราะแบบนั้นทัตถึงไม่คิดจะฟังคำพูดของมัน

ความต้องการเดียวของทัตคือการตอบแทนมันด้วยหมัดสุดแรง พุ่งเข้าไปต่อยจนพื้นระเบิดควันฟุ้งเหมือนภูเขาไฟระเบิด

“ห้าวจังวะ กลายเป็นสัตว์ป่าไปแล้วรึไง?”

แม้สุดท้ายมันจะกระโดดหลบออกไปได้อย่างง่ายดายก็ตามที พวกของมันอีกคนที่ใช้ปืนคาบศิลาเองก็รวมตัวกับมันแล้วด้วย

แต่สำหรับเรื่องนั้น ทัตเองก็เช่นเดียวกัน

“เดี๋ยวก่อนทัต! อย่าไปสู้กับมันสิ!” พิมตะโกนเตือนมาแต่ไกล เพราะอีกฝ่ายเป็นคนที่จัดการฝ้ายได้ ทัตที่อ่อนแอกว่ายังไงก็เอาชนะไม่ได้แน่

แม้มันจะช้าไปหน่อยสำหรับการเตือนทัตที่เพิ่งจะพุ่งไปอัดพวกนั้นมาก็ตาม

“ยัยผมหางม้าพูดถูกแล้ว! ตอนนี้ต้องถอนกำลัง!”

“สินพูดถูกแล้วครับ!”

สินกับคิวเองก็พยายามเกลี้ยกล่อม สถานการณ์ในตอนนี้ไม่เหลือทางเลือกมากนัก หนึ่งในนั้นคือการเอาชีวิตรอดต่อให้เป็นการหนีก็ตาม เพราะที่นี่ไม่ได้มีแค่ชีวิตของพวกพ้องแต่ยังมีพวกผู้อพยพด้วย

แถมต่อให้ใช้กำลังพลระดับผู้บัญชาการทุกคนรวมถึงทัตรวมกันก็ไม่อาจโค่นคนพวกนี้ได้แน่

“รู้อยู่แล้ว เรื่องนั้นน่ะ”

แต่ทัตเองก็รู้สถานการณ์ดีอยู่แล้ว… แม้จะถูกความแค้นบังตา แต่ก็ไม่ได้ถึงขึ้นที่มองไม่เห็นความจริงตรงหน้า

“แต่พวกมันจะยอมให้พวกเราหนีรึไง?” ทัตถามทุกคนกลับ

“ฉันไม่คิดจะหันหลังให้หมาลอบกัดอย่างพวกมันหรอกนะ”

น้ำเสียงของเขาเยือกเย็นจนน่ากลัว มันแฝงด้วยความแค้นอย่างที่ทุกคนคิดซึ่งก็น่าอยู่หรอก ทว่ามันไม่ได้ช่วยแก้สถานการณ์ที่น่ากังวลในตอนนี้

และเรื่องนั้นก็เป็นอีกครั้งที่ทัตรู้ดี

“เพราะงั้น… ระหว่างที่ฉันอัดไอ้เวรพวกนี้ ทุกคนก็หนีไปซะ” ทัตถึงยื่นข้อเสนออันสมเหตุสมผลออกมา

…แม้ใจจริงของทัต จะเป็นการรั้นอยากล้างแค้นจนไม่ลืมหูลืมตาก็ตาม

“พูดอะไรของนายน่ะ! แบบนั้นมันทำได้ที่ไหนกัน! นายจะตายเอานะ!!!” แน่นอนว่ามีคนไม่เห็นด้วย คน ๆ นั้นก็คือพิม

เธอรู้สึกไม่ดีตั้งแต่ที่ทัตอาละวาดแบบไม่คิดชีวิตแล้ว พอเขาพูดเหมือนกับต้องการจะสละตัวเองแบบนี้มีหรือที่เธอจะทนไหว

แค่เสียฝ้ายที่เป็นเหมือนน้องสาวอีกคนพิมเองก็ปวดใจมากพอแล้ว ถ้าต้องเสียทัตไปอีกขอสู้ตายไปด้วยกันเลยยังจะดีเสียกว่า นั่นคือสิ่งที่เธอคิด

“พิม…”

ทัตเองก็เดาได้ไม่ยาก แต่ทั้งหมดที่ทำคือหันไปมองเธอด้วยสีหน้าลำบากใจ

ไม่สิ… ถ้าแค่นั้นคงไม่มากพอให้พิมเบิกตาโพลงกลับหลังสบตา เพราะแววตาของทัตมันรุนแรงกว่าทุกที

อย่าเข้ามาเกะกะ… นั่นน่าจะใกล้เคียงกับสิ่งที่ทัตอยากจะบอกที่สุด

เข้าไปช่วยก็ทำให้เสียจังหวะและเป็นตัวถ่วง ถ้าอยู่ก็อาจจะถูกจับเป็นตัวประกันแบบครั้งที่แล้ว เรื่องนั้นต่อให้ไม่มีใครบอกเธอเองก็รู้ดีอยู่แล้ว

เธอถึงได้แต่ยืนดูอยู่ห่าง ๆ ด้วยความเจ็บปวดใจ เพราะไม่อยากเป็นภาระ

พิมจึงไม่คาดคิดมาก่อน… ว่าพวกมันไม่เพียงพรากคนที่เหมือนน้องสาวของเธอไป แต่ยังพรากระยะห่างระหว่างทัตกับเธอไปด้วย

“ชิ! ทุกคนทำตามที่ทัตบอก! เร็วเข้า!!!”

ในขณะที่มิ้นอาศัยจังหวะนั้นชี้นำผู้คนให้เป็นไปอย่างที่ทัตต้องการ

ไม่สิ… เธอเชื่อว่าหากหัวหน้าที่น่ารักของเธอยังมีชีวิตอยู่ ฝ้ายก็คงจะทำแบบเดียวกันถึงได้ทำตาม

ทุกคนเองก็ไม่มีทางเลือกนอกจากทำตามคำสั่งของมิ้นเพราะเธอมีตำแหน่งรองจากฝ้าย

ส่วนทางด้านของทัตนั้น…

ซู่ม!!!

ตัวเขาที่ไม่ละสายตาไปจากคนใช้ดาบเลยยกเว้นตอนที่บอกกับพิมผ่านสายตา ได้เปิดใช้งานสกิลเสริมพลังกายและเสริมพลังเวททั้งหมดพร้อมกันอีกครั้ง

ความโกรธาที่แสดงออกผ่านสีหน้าไม่มีวี่แววจะหายไปจนกว่าจะได้จัดการตัวต้นเหตุอย่างชายคนที่ใช้ดาบเลย

“ออร่า 4 ชั้น กับความแข็งแกร่งเท่ากับคลาสเดี่ยว… อย่างนี้นี่เอง ผิดปกติจริง ๆ ด้วย” ชายผู้ใช้ปืนคาบศิลาตั้งข้อสังเกตอยู่คนเดียว บางทีเขาอาจรู้ข้อมูลทัตมาจากผู้ร่วมงานอย่างดิว

“เอาเถอะ ต้องแบบนี้สิถึงจะน่าสนุก!”

ในขณะที่ชายอีกคนที่ใช้ดาบไม่ได้สนใจเรื่องนั้นมากไปกว่าพลังของทัต มันถึงยิ้มออกมาแบบเดียวกับดิวก่อนหน้านี้ไม่มีผิด

เขาถึงตั้งท่าจะใช้เสริมพลังกายด้วย

“อั๊ก!!!!?”

แต่ก่อนหน้าจะได้เปิดใช้สกิลอย่างสมบูรณ์ หมัดของทัตก็พุ่งเข้าใส่หน้าเขาอย่างแรงจนดั้งจมูกหัก

แม้ทัตหวังจะต่อยให้มันหัวหลุดกระเด็น แต่ด้วยความต่างของสเตตัสคงยากจะเป็นอย่างหวัง

ช่องว่างนั้นจำต้องชดเชยด้วยความโกรธแทน

“น่าสนุกเหรอ!? มึงฆ่าน้องกูเพราะเรื่องแค่นี้น่ะเหรอ!!!?”

ทัตถึงตะโกนด้วยความหงุดหงิดที่มากจนไม่รู้จะหาจุดวัดอย่างไร เขาถีบพื้นตามชายใช้ดาบที่ลอยกระเด็นหวังจะตั้นหน้ามันอีกสักรอบ

ไม่ได้สังเกตด้วยว่าชายอีกคนที่ใช้ปืนคาบศิลามีโอกาสโจมตีทัต ไม่สิ… มีโอกาสฆ่าทัตได้เลย แต่ชายคนนั้นกลับไม่ได้ลงมือด้วยสาเหตุบางอย่าง

อย่างไรก็ดี… ทัตสนใจแค่การฆ่าไอ้เวรที่ช่วงชิงชีวิตน้องสาวของเขาเท่านั้น

“สัตว์นรกอย่างมึงน่ะอย่าอยู่เลย!!!” ทัตถึงอาบหมัดด้วยเวทเพลิงก่อนจะออกหมัดใส่หวังจะชกร่างของมันให้บดกับพื้น แต่แน่นอนว่าไม่มีอะไรง่ายอย่างนั้น

“ไอ้เวรนี่!” ชายหนุ่มตวัดดาบ ความเร็วนั้นพอจะมองตามได้ทัน แต่หมัดที่พุ่งเข้าไปแล้วของทัตไม่อาจหลบหลีกได้

ทัตถึงได้รับรู้ความคมของดาบนั้น ไปพร้อมกับมือขวาที่ถูกช่วงชิงไป

“ฮะฮะฮะฮ่า!!! ด้วนแบบน้องมึงไปเหอะไอ้เวรเอ้ย!————”

ชายหนุ่มเอาเวลาไปเล่นลิ้นแทนที่จะปิดฉาก เพราะแบบนั้นเลยไม่ทันเตรียมใจที่จะโดนทัตอัดใส่ร่างจนกระแทกกับพื้นสมดังความตั้งใจของทัต

ไอ้เวรนี่ มันต่อยเข้ามาทั้ง ๆ ที่มือหายไปแล้วเนี่ยนะ!?

บ้าไปแล้วรึไงวะ!!!

ชายหนุ่มรู้เรื่องนั้นในจังหวะที่ตีลังกาถอยฉากออกมา เพราะความเร็วหมัดของทัตต่อเนื่องมากจนไม่น่าจะเป็นการโจมตีจากมืออีกข้าง

ทัตถีบพื้นเข้ามาอย่างต่อเนื่องในจังหวะที่ชายหนุ่มยังคงครุ่นคิด ร่ายเวทเพลิงขึ้นห้าอันยิงใส่ไปพร้อม ๆ กับร่นระยะเข้าหา แต่ทั้งหมดก็ถูกดาบฟันทิ้งจนหมด

“คิดตื้น ๆ ว่ะ!!!” ชายใช้ดาบยังคงตีฝีปาก

เขาไม่คิดว่าตัวเองจะแพ้ทัต เพราะถึงสเตตัสในตอนนี้จะใกล้เคียงกันเพราะผลของสกิลเสริมพลัง แต่ตัวเขานั้นมีอาวุธของ ‘Chivalry’ จึงได้เปรียบมหาศาล

…ซึ่งทัตเองก็รู้เรื่องนั้นดีเช่นกัน

ทัตถึงจัดการเปลี่ยนพื้นที่มีอยู่ทั้งหมดให้เป็นน้ำแข็งเย็นเยือกไปทั้งพื้นที่ พยายามยึดเท้าของศัตรูเอาไว้ไม่ให้เคลื่อนที่

“เปล่าประโยชน์โว้ยไอ้โง่!” แต่นั่นถ่วงเวลาของศัตรูได้ไม่ถึงวินาทีด้วยซ้ำ

แค่มันยกเท้าขึ้น น้ำแข็งที่ยึดเท้าก็ถูกทำลายไปหมด ด้วยความสามารถทางกายของมันแล้วไม่ใช่ปัญหาเลยสักนิด

…เว้นเสียแต่ว่านั่น ไม่ใช่สิ่งที่ทัตตั้งใจไว้

“แกต่างหากที่โง่”

ทัตร่ายเวทยิงเพลิงอีกครั้งแต่หนนี้ร่ายลูกบอลธาตุน้ำพ่วงด้วย เขาจัดการยิงมันเข้าใส่อีกฝ่ายพร้อมกัน บอลเวททั้งสองจึงกลายเป็นน้ำร้อนที่เกือบจะถึงจุดเดือด

อีกฝ่ายยิ้มร่าในตอนที่เห็นลูกบอลน้ำร้อนพุ่งเข้ามา แต่ก่อนที่จะถึงตัว ลูกบอลก็แตกกระจายออกเอง

พริบตานั้นน้ำแต่ละหยดก็แลกเปลี่ยนความร้อนกับอากาศเย็นที่สร้างขึ้นไว้ก่อน แปรเปลี่ยนโมเลกุลของน้ำเป็นหิมะ ส่งผลให้กลายเป็นหมอกควันบังตาไปชั่วจังหวะนึง

นั่นยังเป็นอีกโอกาสให้ทัตใช้เวทแสงสว่างสร้างบอลแสงใส่หน้ามันจัง ๆ

“ตากู! แม่ง ไอเชี่ยนี่!!?”

การที่มีดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นตรงหน้าแทบจะทำให้ชายคนนี้รู้สึกเหมือนตาถูกเผา เขาถึงได้ร้องโอดโอยด้วยความหงุดหงิดถึงขนาดนั้น

หากตั้งใจจะปิดฉาก คงไม่มีจังหวะไหนดีไปกว่านี้อีกแล้ว

ทัตจึงจัดการปิดช่องโหว่โดยการใช้สกิลพรางกายเผื่ออีกฝ่ายจับสังเกตได้ ก่อนจะออกหมัดใส่กลางลำตัวด้วยเวทเพลิงสุดแรงเกิด

“กูไม่ง่ายนะโว้ย!”

แต่ในจังหวะที่เกือบจะปิดฉากได้ มันก็ดันงัดดาบฟันสวนจากล่างขึ้นบน

เพราะมีแรงกระแทกจากการโจมตีทำให้ดาบของมันเฉือนผ่านไม่ลึก ไม่อย่างนั้นทัตคงโดนฟันขาดสะพายแล่งตั้งแต่ไหล่ซ้ายลงมาแล้ว

ถึงจะรอดมาได้ แต่มันก็ทำให้โอกาสปิดฉากของทัตหายไปด้วย

แม่งเอ้ย… ตายยากเป็นแมลงสาบเลยเวรเอ้ย!

ถึงจะไม่ประมาท แต่ยังไงอีกฝ่ายก็มีเลเวลสกิลมากกว่า โดยเฉพาะสกิลตัวปัญหาอย่างซิกส์เซนส์ ทัตถึงปิดฉากมันไม่ได้ แถมผลจากสกิลพรางกายเองก็หายไปแล้วด้วย

ความสามารถทางกายที่สูงของชายใช้ดาบยังทำให้ฟื้นฟูร่างกายได้เร็วจนดวงตากลับมาเห็นเป็นปกติ มันถึงพุ่งเข้าใส่ทัตอีกรอบโดยไม่รอรี

ทัตตระหนักได้ว่านี่คงเป็นจุดไกลสุดที่เขามาได้ แม้จะน่าหงุดหงิดแต่ก็รู้อยู่แล้วว่ามันจะจบแบบนี้

แต่ในจุดที่ทุกคนกำลังใช้สมาธิกับศัตรูตรงหน้า ไม่ว่าจะเพราะกำลังปิดฉากหรือว่ายอมแพ้…

…ไม่มีใครรู้เลยสักคนว่าพิมเองก็ใช้สกิลพรางกายเข้ามาร่วมวงด้วยในจังหวะสุดท้าย

เธอไปขอร้องให้มิ้นใช้มันกับตัวเองก่อนจะอพยพเพื่อรอโอกาสมาตลอด และดูเหมือนโอกาสนั้นจะมาถึงแล้ว

เพราะแบบนั้นพิมถึงมาอยู่ข้างหลังชายใช้ดาบในจังหวะที่มันกำลังจะฟันทัต แล้วจัดการล็อคแขนข้างนั้นไว้ได้พอดิบพอดี

ทัตเองก็ประหลาดใจว่าทำไมพิมถึงปรากฏตัวขึ้นมาในจังหวะนี้ได้ แต่เขาไม่ยอมให้มันเสียเปล่าจึงรีบเข้าไปล็อคแขนอีกข้างของมันไว้ในจังหวะเดียวกัน

“เผามันแม่งเลยพิม!” ทัตตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดก่อนจะใช้เวทยิงระยะเผาขนราวใช้ตัวเองเป็นเชื้อไฟเผาอีกฝ่ายทั้งเป็น พิมเองก็ทำแบบเดียวกัน

“นี่ส่วนของน้องฝ้าย! ถูกเผาตายไปซะไอ้เวรตะไล!!!”

“อ้ากกกก!!! ไอ้ พวกบ้าเอ้ยยย!!!”

ทั้งสองเร่งความร้อนจากทั้งสองด้านเหมือนเป็นเตาเผามีชีวิต เพราะแบบนั้นความร้อนเลยไม่ส่งผลไปถึงอีกฝ่ายจนได้รับความเสียหายรุนแรง ในขณะที่ชายใช้ดาบซึ่งอยู่ตรงกลางนั้นเหมือนกับตกนรกทั้งเป็น

ความร้อนจากเวทมนตร์เป็นสิ่งเดียวที่อยู่นอกเหนือพลังป้องกันของความสามารถทางกายเพราะเป็นลักษณะทางธรรมชาติเหมือนกับแสงไฟ ต่อให้ความเสียหายทางร่างกายไม่มากพอ แต่ความร้อนที่สูงก็ยังมากพอที่จะทำลายผิวหนังได้

ดังนั้น ถ้าใช้เวลาและร่วมมือกันสองคน ทัตกับพิมคงฆ่ามันได้แน่นอน

ถ้าไม่ติดว่ามีคนเข้ามาแทรกล่ะก็…

“หนึ่งต่อหนึ่งกับคนที่เลเวลสูงกว่าร้อยได้นานขนาดนี้ แกนี่มันอันตรายจริง ๆ… ต้องรีบกำจัดทิ้งแล้วล่ะ”

ชายผู้ใช้ปืนคาบศิลาที่คิดกันมาตลอดว่าเขาแค่ดูลาดเลา สุดท้ายพอถึงคราวคับขันก็ยื่นมือเข้ามาช่วยอย่างที่คิด เขาถึงชี้ปากกระบอกปืนมาที่พวกทัต รัศมีการเล็งนั่นอาจยอมสละพวกเดียวกันด้วยหากจำเป็น

ทัตกับพิมคิดมาตลอดว่าพวกมันมีเหตุผลที่ไม่ฆ่าทัตทั้งที่มีโอกาสหลายรอบเลยหวังใช้จุดนั้นเป็นช่องว่างในการโจมตี แต่ดูเหมือนนั่นจะไม่ใช่ข้อได้เปรียบอีกต่อไปแล้ว

“เฮ้ย!!! อย่าฆ่าจนกว่าจะรู้ความลับของมันเซ่! จำไม่ได้รึไงวะ!?”

และดูเหมือนจะเป็นความจริงที่คนพวกนี้ไม่ได้รับคำสั่งโดยตรงมาจากดิว เสียงตะโกนของดิวดังมาจากในโรงพยาบาลคือสิ่งย้ำเตือนความคิดแง่ร้ายของทั้งสองคน เพราะพวกมันไม่ฟังคำสั่งของดิวจริง ๆ

ตอนนี้ทัตกับพิมไม่เหลือไพ่อะไรซ่อนอยู่อีกแล้ว

เสียงปืนดังขึ้นโดยไม่มีอะไรยับยั้ง พร้อมกับลูกเหล็กที่กระแทกร่างเนื้อจนเลือดสาดกระเซ็น

แต่นั่น… กลับไม่ใช่เลือดเนื้อของทัตกับพิมอย่างที่ควรจะเป็น

“ไหนบอก… จะไม่หันหลังให้ไอ้เวรพวกนี้ไงวะ”

กลับเป็นเลือดของสินที่มายืนแทรกเป็นโล่มนุษย์ให้ทัตกับพิมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

เขาปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยคงใช้วิธีเดียวกับพิม และบางทีคงเพราะยังไม่ยอมแพ้แบบเดียวกับทัตหรือพิม เขาถึงเข้ามาช่วยแบบนี้

“นี่นาย————”

“อย่ามัวแต่เหม่อ! เผาไอ้เวรนั่นให้มอดซะ!”

สินตะโกนอย่างห้าวหาญก้าวข้ามบาดแผลฉกรรจ์แถมยังผายมือขวางชายที่ใช้ปืนคาบศิลา ทั้งที่ความจริงควรจะเจ็บจนเจียนตายแท้ ๆ แต่ก็ยังฝืนยืนอยู่อีก

แต่ที่ยังฝืนอยู่ก็เพราะมีเรื่องที่คิดว่าจำเป็นต้องทำ แม้ว่านั่นจะหมายถึงการสละชีวิตตัวเองเพื่อโค่นศัตรูก็ตาม

สินรู้เรื่องนั้นดี… ยิ่งในตอนที่ศัตรูเล็งปากกระบอกปืนคาบศิลาจ่อหน้าของเขา

“แม่งเอ้ย…” สินสบถ เขาทำอะไรนอกเหนือจากนั้นไม่ได้ คิดว่าที่ช่วยเลี่ยงการโจมตีถึงตายให้พวกทัตได้แค่ครั้งเดียวก็ถือว่ามากเกินพอแล้ว

เพราะปาฏิหาริย์แบบนั้นคงไม่เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองอีกแน่

“เกะกะซะจริง จะทำให้หายไปเดี๋ยวนี้แหล่ะ” ชายใช้ปืนพูดเสียงเรียบพร้อมนิ้วเตรียมเหนี่ยวไกปืน เขาดูเป็นคนพูดน้อยต่อยหนักยิ่งกว่าคนใช้ดาบที่ทัตเพิ่งเผาเป็นจุลไป

แต่เพราะแบบนั้น ความตายของสินถึงเป็นเรื่องแน่นอน

“หยุดนะโว้ย!!!”

ทัตพยายามตะโกนสุดเสียง เขาไม่อยากจะเสียใครไปอีกแล้ว โดยเฉพาะเพื่อนไม่กี่คนที่เขามี

แต่ระยะห่างก็มากเกินกว่าจะเข้าไปช่วยได้ทัน ต่อให้เร็วแค่ไหนทัตคงไม่เร็วไปกว่ากระสุนปืน จนสุดท้ายก็ทำได้แค่ยอมรับความจริงเรื่องที่ต้องเสียสหายไปอีกคนนอกจากน้องสาวคนสำคัญในวันเดียว

…ความจริงมันควรเป็นแบบนั้น

“สนุกกันอยู่เลยนี่หว่า… กำลังทำอะไรกันอยู่ล่ะนั่น?”

“ “ “ “!!!!?” ” ” ”

ทั้งการเตรียมใจ การปิดฉาก เสียงตะโกน ความกังวลและความตาย…

สถานการณ์อันตึงเครียดถึงขีดสุดของพวกทัตทั้งหมดต่างอันตรธานหายไปสิ้นเมื่อทั้งสองฝ่ายได้ยินเสียงปริศนามาจากยอดตึกของโรงพยาบาล

พอแหงนขึ้นไปมองต้นเสียง ก็พบกับชายวัยกลางคนที่สวมชุดสูทมิดชิดแลขัดกับอากาศร้อนของเมืองไทยเป็นอย่างยิ่ง

และเพราะมันดูไม่เข้ากับบรรยากาศ ทัตถึงสัมผัสได้ว่านี่เป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ และอันตรายอย่างยิ่งยวด

อะไรอีก! กำลังเสริมของศัตรูเหรอ!?

จะอะไรกันนักกันหนาวะเนี่ย!

ทัตสบถหงุดหงิด กัดฟันจนแทบแตกกับสถานการณ์ที่เอาแต่จะแย่ลงให้ได้ เหมือนโลกนี้พยายามผลักไสตนและพวกพ้องให้จนมุมตกลงสู่หุบเหวแห่งความสิ้นหวังทุกทาง

แต่พอสังเกตโดยรอบ ทัตก็เริ่มรู้ตัวว่าเขาไม่ได้เป็นคนเดียวที่คิดแบบนั้น… เพราะแม้แต่ชายที่ใช้ปืนคาบศิลาเองก็ยังแสดงสีหน้าแปลกใจออกมา

ทัตจึงใช้สกิลวิเคราะห์กับชายปริศนา… อย่างน้อยนั่นก็เป็นสิ่งที่ควรทำเมื่อเจอคนไม่รู้ที่มาที่ไปในโลกพิศวงแห่งนี้

พริบตานั้นทัตก็ได้ตระหนักความจริงอีกอย่างหนึ่งของโลกใบนี้

ว่ามันช่างมีอะไรที่น่าประหลาดใจเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาจนคาดเดาไม่ได้… เหมือนอย่างสิ่งที่ถูกเขียนอยู่บนหน้าต่างข้อมูลจากสกิลวิเคราะห์ต่อชายปริศนาคนนี้

??? (LV-???)

ประเภท : Lord

ความสามารถทางกาย: ????

สกิล: ???

เวทมนตร์: ????

จุดอ่อน : ????

“ร่าเริงกันจริง ๆ เลยนะ พวกมนุษย์เนี่ย”

ในขณะที่เจ้าตัวกลับยิ้มร่าทำเป็นทองไม่รู้ร้อนต่อความกังวลของมนุษย์เดินดินทั้งหลายทั้งมวล

สมความเป็นปริศนาของเจ้าตัวยิ่งกว่าอะไรดี

❖❖❖❖❖