ตอนที่ 177

Silver Overlord

177 – ปฏิบัติการครั้งใหญ่

เนื่องจากเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ท้องฟ้าจึงมืดลงเร็วมาก

ตีสามของวันที่ 30 ของเดือน 10 ถนนในเมืองผิงซีค่อนข้างร้าง ในโลกนี้ซึ่งขาดความบันเทิงยามค่ําคืน คนส่วนใหญ่หลับไปแล้วตั้งแต่ตอนห้าทุ่มหรือเที่ยงคืน

ในเวลานั้นตรอกวัวเงินแทบจะไม่มีโคมไฟถูกจุดอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างมืดสนิท

วันนี้เอี้ยนลี่เฉียงงีบหลับที่บ้านที่เขาเช่าไว้ในบริเวณสะพานเก้ามังกรเพื่อพักผ่อน ในตอนกลางคืนเขาฝึกฝนคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นไปสองรอบ ดังนั้นความแข็งแกร่งและสมาธิของเขาจึงอยู่ในระดับสูงสุด

ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะการประทานพรจากสวรรค์หรือวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็นที่เขากําลังฝึกฝน เอี้ยนลี่เฉียงรู้สึกว่าอีกเพียงไม่นานเขาจะสามารถฝาทะลุขั้นตอนยืดเส้นเอ็นและขยายกระดูกได้

เมื่อเขาผ่านขั้นตอนยืดเส้นเอ็นและขยายกระดูกในขณะเดียวกันตันเถียนของเขาก็จะถูกสร้างขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

ทั้งสองขั้นตอนนี้จะผ่านไปด้วยกันในเวลาเดียวกัน นั่นหมายความว่าเขาจะก้าวเข้าสู่อาณาจักรนักรบเร็วกว่าที่เขาคิด

เอี้ยนลี่เฉียงค่อนข้างตื่นเต้นกับเรื่องนี้ แต่แน่นอนว่าเขาไม่ได้ล้มเลิกแผนของตัวเอง ในเวลานี้ เขายกเลิกการฝึกฝนวิชาหมัดพยัคฆ์คํารามต่อเนื่องไปแล้ว

เพียงวิชาเข็มบินและเก้ากระบวนท่าเงาสายลมก็เพียงพอที่เขาจะกลายเป็นพยัคฆ์ในเมืองผิงซีแล้ว

เขาฆ่าหวังฮ่าวเฟยเพื่อป้องกันตัวเองและจะได้ซื้อเวลาให้ตัวเองมากขึ้น วันนี้เป็นจุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการของการต่อสู้ครั้งสุดท้ายกับคู่พ่อลูกจากตระกูลเย่

เอี้ยนลี่เฉียงเปลี่ยนเป็นชุดสีดําที่เขาเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ และถอดรองเท้าหนังออกก่อนจะสวมรองเท้าที่มีขนาดเบากว่า เขาสะพายกระสอบสีดําและสวมหน้ากากของงูจงอางอีกครั้ง

ก่อนออกเดินทาง เขาได้ตรวจสอบอุปกรณ์ของเขาเป็นครั้งสุดท้าย มีเข็มบินเคลือบยาพิษหลายเล่ม ลูกดอกธรรมดา ดาบสั้นธรรมดา และหินเหล็กไฟที่สามารถจุดไฟได้ทันที!

แม้ว่าดาบสั้นตุลาหารดําที่ลู่เบียนมอบให้เขานั้นจะมีความคมและใช้งานง่ายมาก แต่ลักษณะสีภายนอกของมันนั้นมีความโดดเด่นมากเกินไป ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับโอกาสนี้

เพราะถ้ามีใครจําดาบสั้นได้ พวกเขาอาจจะสืบย้อนไปถึงเอี้ยนลี่เฉียงได้ในที่สุด เอี้ยนลี่เฉียงจึงทิ้งดาบสั้นไว้ในห้องของเขา

เอี้ยนลี่เฉียงคาดว่าหากปฏิบัติการของเขาสําเร็จในคืนนี้เขาจะสามารถกลายเป็นนักสู้ที่แท้จริงได้ทันที

ในตอนที่เอี้ยนลี่เฉียงยังเป็นวิญญาณเร่ร่อนอยู่ เขาได้เดินไปในทุกที่ของเมืองผิงซีและมองเห็นความลับมากมายที่ถูกซ่อนอยู่ การปฏิบัติการครั้งนี้ของเขาจึงเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี

เอี้ยนลี่เฉียงหลับตาลงและนั่งอยู่ในห้องที่มืดมิดในขณะนี้เขากําลังรอและทําให้ลมหายใจของตัวเองแผ่วเบามากที่สุด หลังจากนั้นเมื่อลืมตาขึ้นเขาก็ตีลังกาออกทางหน้าต่างและหายตัวไปในความมืด

ฆ้องยาวสี่จังหวะดังขึ้นในความเงียบของคืน นี่เป็นเสียงตีบอกเวลาว่าถึงช่วงตีสี่ของคืนนี้แล้ว นี่เป็นช่วงเวลาที่คนหลับไหลมากที่สุด

“กลางคืนเหน็บหนาวและแห้งแล้ง ระวังฟื้นระวังไฟระวังโจร.” คนตีฆ้องตะโกนออกมาไม่หยุด

เมฆในคืนนี้มืดมิดเหมือนตะกั่ว ดวงดาวและดวงจันทร์ก็สลัว ในคืนที่ไม่มีไฟฟ้าหรือโคมไฟถนน ทัศนวิสัยในบริเวณโดยรอบต่ํามากหากไม่มีแหล่งกําเนิดแสง ระยะการมองเห็นสําหรับคนส่วนใหญ่ก็น้อยกว่าหนึ่งวา

เอี้ยนลี่เฉียงรออยู่ในเมืองนานกว่าสองวันเพื่อลงมือในคืนนี้

ในช่วงเวลานี้ เขาได้ฝึกฝนวิชาเกี่ยวกับดวงตาอย่างต่อเนื่อง หลังจากฝึกฝนคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นแล้วไม่เพียงแค่ร่างกายของเขาจะเปลี่ยนแปลงเท่านั้นแต่ดวงตาของเขาก็ยังชัดเจนขึ้น

ไม่มีสิ่งใดในรัศมีร้อยวาที่สามารถหลบสายตาของเขาได้ แม้ว่าวัตถุที่อยู่ห่างจากเขาร้อยวาจะพร่ามัวเล็กน้อย แต่เขาก็ยังมองเห็นโครงร่างของมันได้อย่างชัดเจน

เอี้ยนลี่เฉียงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและดุร้าย ว่องไวราวกับม้าวิ่งแต่ไร้เสียง นี่แสดงให้เห็นถึงวิชาท่าร่างของเขาที่อยู่ในระดับสูงสุดแล้ว

เพียงชั่วพริบตาเอี้ยนลี่เฉียงก็มาถึงปลายสะพานอีกแห่งหนึ่งที่ใกล้กับสะพานเก้ามังกร

ถนนที่คึกคักไปด้วยกิจกรรมในตอนกลางวันนั้นมืดสนิทและว่างเปล่าในตอนกลางคืน อาคารทั้งสองข้างของถนนไม่มีไฟและอยู่ในความมืดมิด บรรยากาศที่นี่น่าขนลุกอย่างสุดจะพรรณนา

เอี้ยนลี่เฉียงข้ามสะพานราวกับเงาดําในชั่วพริบตา เขามาถึงชุมชนชาตูทางทิศตะวันตกของสะพานเก้ามังกร

ในเวลานี้ชุมชนชาตูก็อยู่ในความมืดมิดเช่นเดียวกัน ท้ายที่สุด ชาวชาตูก็เป็นมนุษย์ปกติที่ต้องการนอนในเวลากลางคืน เกือบทุกคนหลับสนิทแล้ว มีเพียงผู้คนไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังคงถืออาวุธลาดตระเวนอยู่

ชาวชาตูได้เปลี่ยนชุมชนของพวกเขาให้เป็นค่ายทหาร แต่เนื่องจากพวกเขาได้ตั้งรกรากอยู่ในชีวิตที่เรียบง่ายและสะดวกสบายในเมืองผิงซีมาเป็นเวลาสองสามทศวรรษ กองลาดตะเวนของพวกเขาจึงค่อนข้างละหลวม

เอี้ยนลี่เฉียงได้พบกับชาวชาตูสองกองลาดตระเวน แต่ถึงกระนั้นเขาก็สามารถผ่านคนพวกนี้ไปได้อย่างง่ายดาย

เอี้ยนลี่เฉียงคุ้นเคยกับถนนและตรอกซอกซอยในชุมชนชาตูเป็นอย่างดี ในเวลาเพียงไม่กี่นาที เขาก็สามารถผ่านถนนสองสายและตรอกซอกซอยสองสามแห่ง ก่อนจะเข้าสู่ศูนย์กลางของชุมชน

ในตอนนี้ด้านหน้าของเอี้ยนลี่เฉียงเป็นโกดังขนาดใหญ่ซึ่งมีพื้นที่ถึงร้อยมู่ มันถูกใช้สําหรับจัดเก็บสินค้าต่างๆเช่นขนสัตว์ สมุนไพร และไม้ล้ําค่าบางชนิดนี้เป็นธุรกิจส่วนใหญ่ของพวกเขา

แม้ว่าภายนอกโกดังนี้จะดูเหมือนถูกใช้เพื่อเก็บวัสดุ แต่จริงๆแล้วที่นี่ถูกใช้เพื่อเก็บยุทโธปกรณ์ต่างๆของชาวชาตูที่พวกเขาลักลอบขนส่งภายในเมืองผิงซีมาเก็บไว้

พวกมันถูกซ่อนไว้อย่างดีจนแม้แต่ชาวชาตูธรรมดาก็ไม่รู้ว่ามีของสําคัญซ่อนอยู่ในนั้นมากมาย

ประตูด้านนอกโกดังถูกปิดผนึกไว้อย่างแน่นหนา ผนังด้านใดด้านหนึ่งของกําแพงมีความสูงมากกว่าสองวา เอี้ยนลี่เฉียงพุ่งไปที่กําแพงและฟังเสียงอย่างเงียบๆ

หลังจากนั้นเขาก็ปีนขึ้นไปบนกําแพงและเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบราวกับเหยี่ยวราตรี

ภายในกําแพง บ้านหลังหนึ่งยังคงสว่างไสว ยามชาตูไม่กี่คนในนั้นมีหน้าที่ดูแลโกดังแห่งนี้ในตอนกลางคืน

ไฟในห้องถูกจุดไว้สว่างเพื่อป้องกันคนภายนอกเหมือนกับหุ่นไล่กาในนาข้าว เนื่องจากตลอดหลายปีที่ผ่านมาไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นดังนั้นการเฝ้าระวังที่นี่จึงค่อนข้างหย่อนยาน

เอี้ยนลี่เฉียงเคยมาสํารวจที่นี่เมื่อครั้งที่เป็นวิญญาณ เขารู้ว่าจะมียามเฝ้ากะอยู่ครั้งละสี่คน ชาวชาตูสองในสี่จะออกมาลาดตระเวนทุกๆชั่วยาม

ขณะที่คนอื่นๆยังคงนอนอยู่ในบ้านต่อไป แต่ในความเป็นจริง ยามชาตูที่นี่คุ้นเคยกับการลาดตระเวนพื้นที่เพียงลําพังแล้ว ดังนั้นตามปกติจะมีคนที่นอนอยู่สามคน

เอี้ยนลี่เฉียงเดินเข้ามาใกล้ทางเข้าบ้านอย่างเงียบๆ หลังจากรอไม่ถึงสิบนาที เขาก็ได้ยินภาษาชาตูที่สนทนากันเบาๆ ประมาณสิบวินาทีต่อมาประตูบ้านก็เปิดจากด้านในและชายชาตูที่เป็นกะ ต่อไปก็ถือตะเกียงออกมาลาดตระเวน

เอี้ยนลี่เฉียงเอื้อมมือไปปิดปากของชายชาตูคนนั้นก่อนจะลากเขามาที่กําแพงพร้อมกับใช้มีด จวงแทงเข้าหัวใจของฝ่ายตรงข้าม

ชายชาตูคนนั้นทรุดตัวลงกับพื้น ก่อนที่โคมของเขาจะแตะพื้น เอี้ยนลี่เฉียงก็คว้ามันแล้วพุ่งเข้าห้องทันที

ในห้องมีสี่เตียง ชายชาวชาตูอีกสามคนป้องกันตัวเองจากแสงนอกหน้าต่างพวกเขาจึงคลุมศีรษะของตัวเองด้วยผ้าห่ม เสียงกรนของพวกเขากระจายไปทั่วห้องโดยไม่รู้ว่าเวลานี้มัจจุราชมาเยือนพวกเขาแล้ว

เอี้ยนลี่เฉียงเคลื่อนไหวด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าและวนไปรอบๆอีกสามเตียงอย่างรวดเร็ว มีดสั้นของเขาแทงทะลุหัวใจของชายชาตรีสามคน แม้กระทั่งตายแล้วพวกเขาก็ยังไม่รู้ตัว

เอี้ยนลี่เฉียงเปาตะเกียงในมือให้ดับแล้ววางลง เขาเปิดประตูและลากชายชาตูอีกคนหนึ่งที่ทางเข้ากลับเข้าไปในห้อง จากนั้นเขาก็แทงมีดเข้าใส่หัวใจของทุกคนอีกครั้ง

หลังจากแน่ใจว่าทุกคนตายสนิทดีแล้ว เอี้ยนลี่เฉียงก็หยิบกุญแจที่แขวนอยู่บนผนังข้างประตู และออกจากบ้านหลังเล็กไป เมื่อเขาจากไป เขาไม่ลืมที่จะปิดประตูเพื่อไม่ให้คนนอกสงสัยอีกด้วย