หลังจากวิเคราะห์ผลกระทบของโอสถรักษาวิญญาณระดับหกในหัวของเขาแล้ว มุมปากของเขาก็กระตุกขึ้นทันที
หล่อเลี้ยงปราณวิญญาณเพื่อเสริมสร้างรากฐาน ทำให้ปราณวิญญาณเสถียร เสริมพลังหยางโดยกำเนิด…เห็นได้ชัดว่าหัวหน้าศิษย์สำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน มีทักษะการเล่นแร่แปรธาตุที่ค่อนข้างน่าทึ่งทีเดียว เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะนำโอสถรักษาวิญญาณระดับหกที่กลั่นพลังหยางออกมาได้
โอสถนี้…
ข้าจะมอบให้อาจารย์ใช้มัน
ท้ายที่สุด มันคือโอสถรักษาวิญญาณระดับหกซึ่งให้ผลในการเสริมพลังหยางโดยกำเนิดให้แข็งแกร่งขึ้น และยังสามารถรักษาปราณวิญญาณให้เสถียรมั่นคง ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากต่อเซียนจั๋วอย่างท่านอาจารย์
แต่โอสถเม็ดนี้จะมีผลบางอย่างที่ผู้ฝึกฝนไม่อาจระงับได้ในร่างกายของพวกเขา เช่นนั้นควรเกลี้ยกล่อมให้ท่านอาจารย์หาภรรยาจะดีหรือไม่
แต่หากเป็นเพียงเพราะโอสถก็ไม่จำเป็น
เช่นนั้น เหตุใดข้าถึงไม่เก็บโอสถนี้ไว้เพื่อมอบเป็นของขวัญแสดงความยินดีให้ท่านอาจารย์ในยามที่ท่านพบคู่บำเพ็ญเต๋าของท่านเล่า
หลี่ฉางโซ่วแย้มยิ้มเแล้วเก็บขวดกระเบื้องเอาไว้
จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็ค่อยๆ ปล่อยพลังสัมผัสเซียนซึ่งอยู่ห่างจากโถงตู้เซียนไประยะทางหนึ่ง
ในขณะนี้ ศิษย์น้องหญิงของเขายังคงนอนหลับสบายอยู่ที่บ้านของอาจารย์ป้าจิ่วซือ อย่างไรก็ตาม ถุงที่ผูกเอาไว้ที่รอบเอวของนางยังคงดิ้นอยู่ตลอดเวลา…ท่านอาจารย์ตื่นแล้วหรือนั่น
ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็รีบขึ้นไปบนก้อนเมฆทันที
เขาคิดหาวิธีมานานแล้วว่าจะอธิบายให้อาจารย์ของเขาฟังได้อย่างไรในภายหลัง ในระหว่างทางนั้น หลี่ฉางโซ่วได้เดินผ่านหอไป่ฝาน และเหลือบไปมองมัน
ใต้ร่มไม้มีศิลาจารึกสองแผ่น บนแผ่นจารึกแผ่นหนึ่งนั้น มีคำที่บรรยายถึงภัยพิบัติที่จู่ ๆ ก็เกิดขึ้นกับ สำนักตู้เซียนอย่างกะทันหันรวมถึงกระบวนการต่อสู้เพื่อปกป้องสำนัก
ส่วนแผ่นศิลาอีกแผ่นหนึ่งเป็นนามของเซียนจากสำนักตู้เซียนที่เสียชีวิตในการต่อสู้ครั้งนั้น…
ความมั่นคงของนิกายนั้นย่อมขึ้นอยู่กับผู้บำเพ็ญในสำนักที่ต้องปกป้องและรักษาสำนักเอาไว้
แน่นอนว่าพวกเขาต้องปกป้องที่พักอาศัยของตัวเอง
แต่ในไม่ช้า หลี่ฉางโซ่วก็เห็นอีกมุมหนึ่งของจัตุรัสตรงข้ามกับศิลาสองแผ่นนั้น…
มีรูปปั้นหินสามรูปที่เพิ่งวางลงไว้บนพื้น
ทางด้านซ้ายมือเป็นเซียนสตรีร่างเล็กกะทัดรัด ผู้มีใบหน้างดงาม ตรงกลางห้องมีเซียนบุรุษถือกระบี่ และทางด้านขวาเป็นชายร่างกำยำที่ถือขวานขนาดใหญ่และหัวเราะพร้อมกับอ้าปากกว้างออกมา
รูปปั้นหินทั้งสามนั้นดูศักดิ์สิทธิ์ทีเดียว ผู้สร้างรูปปั้นหินจับ “ไขกระดูกศักดิสิทธิ์” ของนักพรตเต๋าทุกแผ่นอย่างแม่นยำ
นอกจากนี้ มีแผ่นจารึกแนวตั้งสองแผ่นทั้งสองด้านของรูปปั้นหินทั้งสาม ซึ่งถูกเขียนเอาไว้ว่า
‘ผู้กล้าแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์’
‘สำนักตู้เซียนจักเคารพพวกท่านนิรันดร’
ที่ด้านหน้ามีกระถางธูปขนาดเล็กซึ่งมีธูปยาวสามดอกปักอยู่
หลี่ฉางโซ่วอดจะเอามือก่ายกลางหน้าผากเคร่งเครียดขึ้นมาทันทีแต่ก็แสร้งทำเป็นไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ และรีบพุ่งไปหาศิษย์น้องหญิงของเขาอย่างรวดเร็ว
ในเวลานี้ สำนักตู้เซียนกำลังตรวจสอบที่มาของหุ่นเชิดยุงเลือดและผู้ติดตามของ ‘สหายเต๋าผู้ทรงธรรม’
เหตุผลในการสืบหาอดีตนั้นเรื่องปกติในการไล่ตามล้างแค้น
ส่วนเหตุผลในการตรวจสอบสหายเต๋าผู้ทรงธรรมนั้น คือเพื่อชดเชยโดยให้ผลประโยชน์แก่ญาติมิตรและครอบครัวของสหายเต๋าทั้งสาม
หลี่ฉางโซ่วรู้สึกว่าเป็นการดีกว่าที่จะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับและปล่อยให้สำนักตู้เซียนค้นหาอย่างไปไร้จุดหมาย แทนที่จะเปิดเผยข้อมูลที่เขารู้ให้สำนักตู้เซียน
และ ‘สหายเต๋าผู้ทรงธรรม’ เหล่านี้…
ในที่สุดหลี่ฉางโซ่วก็ผุดความคิดหนึ่งขึ้นมาได้ทันที
ข้าน่าจะหาตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์สักสองสามตัวเพื่อไว้อาลัยแล้วรับสมบัติล้ำค่าและศิลาวิญญาณจากสำนักแทนดีหรือไม่
แต่หลี่ฉางโซ่วก็กลับยิ้มและปัดความคิดนั้นออกไปทันที…
การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้เขาเข้าใจหน้าที่ของค่ายกลได้ชัดอย่างเจนและเขายังได้วางแผนเพิ่มเติมขึ้นอีกด้วย
ค่ายกลของยอดเขาหยกน้อยสามารถเสริมความแข็งแกร่งและผลักดันให้ลึกขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ฐานค่ายกลภายในสามารถรวมกันเป็นค่ายกลเดียว และเขายังสามารถปรับแต่งยอดเขาหยกน้อยให้เป็นรากฐานค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ได้
มีเซียนที่มีขอบเขตพลังการฝึกฝนขั้นสูงจะปรับแต่งถ้ำของตัวเองให้กลายเป็นอาวุธเวทมีขนาดเท่าใดก็ได้ตามแต่ประสงค์ของพวกเขา
เมื่อข้ามีขอบเขตพลังสูงขึ้น ข้าก็ทำได้เช่นกัน
ในเวลานั้นหากมีภัยพิบัติอื่นเข้ามาคุกคามสำนัก…
ข้าก็สามารถนำยอดเขาหยกน้อยออกไปเพื่อฆ่าศัตรูที่แข็งแกร่งได้
หากต้องถอยหนี ข้าก็สามารถเอายอดเขาหยกน้อยใส่ไว้ในแขนเสื้อและหลบหนีไปได้นับแสนลี้
แต่การทำเช่นนี้ได้ ต้องใช้ขุมทรัพย์มหาศาลและเตรียมการระยะยาว
เวลานี้ไม่มีเวลาแล้ว ข้าต้องทำในสิ่งที่จำเป็นต้องทำก่อน
เมื่อหลี่ฉางโซ่วตัดสินใจได้ เขาก็ตระหนักว่า บัดนี้ดินแดนจิ่วเซียนอยู่ข้างหน้าเขาแล้ว จึงก้มศีรษะและสงบจิตใจก่อนจะพุ่งลงไป
เขาต้องปลุกศิษย์น้องหญิงของเขาก่อนและพากลับไปที่ยอดเขาหยกน้อยด้วยกัน และต้องรีบปลอบท่านอาจารย์ของเขาก่อนเรื่องอื่นใด
ตอนนี้ ข้าจะทำอะไรให้ศิษย์หลานหานจื่อได้บ้าง
ที่ด้านข้างของสระขุมทรัพย์บนเกาะเต่าทอง
อ๋าวอี่ ซึ่งดูเหมือนชายหนุ่มรูปงาม ดวงตาของเขาดูโศกสลดยามเมื่อมองหานจื่อที่แอบเศร้าสร้อย
ศิษย์พี่หยวนเจ๋อถูกคนวางแผนร้ายและควบคุมจิตใจให้เขาทำเรื่องไร้สาระ และเมื่อสองสามวันก่อน เขาก็ถูกท่านปรมาจารย์ศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินส่งตัวกลับมาที่เกาะเต่าทอง
หลังจากได้รับการชี้แจงแล้ว เหล่าปรมาจารย์ทั้งหลายต่างก็อ้อนวอนขอความเมตตาต่อหน้าปรมาจารย์ศิษย์พี่ใหญ่ และในที่สุดเสี้ยววิญญาณที่เหลืออยู่ของศิษย์พี่หยวนเจ๋อ ก็ได้รับการชำระล้างและกลับชาติมาเกิดใหม่ได้ โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยอีกต่อไปแล้ว…
เมื่อนึกถึงศิษย์พี่หยวนเจ๋อดูแลเขา อ๋าวอี่ก็อดตัดสินใจกล่าวออกมาไม่ได้
ข้าจะดูแลศิษย์ของท่านเป็นอย่างดี
“หานจื่อ…”
และขณะที่อ๋าวอี่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง จู่ๆ พลังสัมผัสเซียนของเขาก็ได้ค้นพบนักพรตเต๋าชราสองคนกำลังบินตรงมาหาเขาจากนอกเกาะเต่าทอง
เขาเงยขึ้นทันทีแล้วรีบกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “ศิษย์พี่ทั้งสองคนที่ส่งวิญญาณของศิษย์พี่หยวนเจ๋อไปนรกกลับมาแล้ว!”
หานจื่อเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาของนางพลันแดงก่ำอีกครั้งขณะรีบขับเคลื่อนเมฆไปหาพวกเขาเพื่อถามว่าอาจารย์ของนางเป็นอย่างไรเมื่ออยู่ในนรกนั้น….
ไม่นานนัก นักพรตเต๋าชราสองคนนี้ก็ถูกอ๋าวอี่และหานจื่อหยุดเอาไว้ พวกเขาทั้งสองต่างขมวดคิ้วโดยไม่รู้จะว่าจะเอ่ยอย่างไร
อ๋าวอี่รีบถามเร็วรี่ว่า “ศิษย์พี่ทั้งสอง มีอะไรผิดปกติบ้างหรือไม่”
“เอ่อ…”
“อ่า มันน่าจะดี ไม่น่าจะมีอะไร!”
นักพรตเต๋าชราทางซ้ายถอนหายใจและกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ด้วยอยู่ในบัญชีของสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย เหล่าเซียนในแดนยมโลกย่อมจะไม่ทำให้เขาลำบากเกินไป”
“แต่ตามกฎของท่านปรมาจารย์จอมปราชญ์ พวกเราไม่อาจเข้าไปยุ่งในเรื่องหกวิถีแห่งการกำเนิดใหม่ได้ ดังนั้นเหล่าเซียนแห่งแดนยมโลกจึงทำได้เพียงรับรองว่าพวกเขาจะจัดการให้ศิษย์น้องหยวนเจ๋อได้เกิดใหม่เป็นคนที่โชคดี เขาจะไม่มีความผูกพันใดๆ กับชีวิตนี้อีกต่อไป แต่ไม่คิดว่า…”
นักพรตเต๋าชราทางขวาเงยหน้าขึ้นพลางถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ก่อนที่ศิษย์น้องหยวนเจ๋อจะดื่มน้ำแกงยายเมิ่ง[1] เสี้ยววิญญาณของเขาก็พูดขึ้นอีกครั้ง!”
“อะ อันใดกัน…”
หานจื่อถามเสียงสั่นๆ “อาจารย์ของข้าพูดว่าอะไรหรือเจ้าคะ”
“เขาพูดว่า จงวางใจได้เลยว่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นการกลับชาติมาเกิดนี้จะไม่มีสิ่งใดผิดพลาด”
หานจื่อก็อดจะเอามือก่ายหน้าผากไม่ได้ด้วยรู้สึกเวียนศีรษะขึ้นมาทันที…
อ๋าวอี่ถามอย่างเร่งรีบว่า “เกิดอันใดขึ้น”
“เขาข้ามสะพานไน่เหอ[2] ดื่มน้ำแกงยายเมิ่ง และเดินไปถึงด้านหน้าสองสามเส้นทาง แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉับพลันนั้นก็มีคลื่นในแม่น้ำลืมเลือนปรากฏขึ้นและพุ่งออกไปกระแทกร่างวิญญาณของเขาแล้วส่งไปยังเส้นทางอาณาจักรสัตว์ สู่การเป็นสัตว์ร้าย พวกเราไม่อาจช่วยเขาได้เช่นกัน วิญญาณของเขาถูกสังสารวัฏดูดกลืนเข้าไป จากนั้นเรายังถามถึงเรื่องอื่นๆ ที่เหลืออีกด้วย ดูเหมือนว่า ศิษย์น้องหยวนเจ๋อจะกลับชาติมาเกิดเป็นสัตว์ปีศาจ และในชีวิตหน้าของเขา เขาน่าจะเป็นเสือดาวดำ”
“ท่านอาจารย์…” เมื่อหานจื่อได้ยินเช่นนี้ นางก็ท่วมท้นไปด้วยความเศร้าใจจนปราณวิญญาณของนางสับสนวุ่นวายและอ่อนล้าจนจะหมดสิ้นสติ ร่างของนางสั่นไหวและเกือบจะทรุดลงไป ในขณะที่อ๋าวอี่รีบเข้าไปประคองนางเอาไว้ได้อย่างรวดเร็ว
[1] ยายเมิ่ง เป็นเทพอาวุโสท่านหนึ่งที่ประจำการในแดนยมโลก ในช่วงจุดผ่านแดนที่วิญญาณจะไปเกิดใหม่ โดยจะอยู่ริมสะพานไน่เหอเพื่อคอยมอบน้ำแกงยายเมิ่งให้วิญญาณทุกดวงที่มุ่งหน้าไปเกิดใหม่ เพื่อลบความทรงจำของวิญญาณ
[2] สะพานไน่เหอ ตามความเชื่อของจีน สะพานไน่เหอหรือสะพานข้ามแม่น้ำลืมเลือนเป็นพรมแดนที่เริ่มต้นการกลับชาติไปเกิดใหม่