พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 207 สอนคนให้รู้จักตกปลา
เมื่อเห็นสีหน้าของเฟิ่งชิงหัว จ้านเป่ยเซียวก็เอ่ยว่า “ในเมื่อเขาไม่มีทางหันกลับ เขาจะต้องพยายามอย่างเต็มที่ ภายในช่วงเวลานี้จะต้องมีการเคลื่อนไหวใหญ่ ข้าได้ส่งคนออกไปจับตาดูแล้ว เจ้าอดทนรอดูก็แล้วกัน”
“รอ? แล้วต้องรอถึงเมื่อไหร่” เฟิ่งชิงหัวไม่ใช้คนใจร้อน แต่เมื่อนึกถึงแผนการเบื้องหลังของหนานกงจี๋นางก็รู้สึกตัวสั่นขึ้นมา ใครจะรู้ว่าต้องมีคนบริสุทธ์อีกมากมายเท่าไหร่ต้องตายไปด้วยน้ำมือของเขา
“เจ้าไม่อยากรอ? แล้วเจ้าคิดอย่างไร บุกเข้าไปจับเขาถึงที่เลยงั้นหรือ หลักฐานล่ะ? คนเผ่าเซียนเปย์ที่ยังอยู่ในหมู่บ้านตอนนี้งั้นหรือ ตอนนี้เทียนหลิงพยายามเป็นพันธมิตรกับทุกประเทศ แม้ว่าจะเป็นชาวเผ่าเซียนเปย์ก็ยังคงต้องมีท่าทางผ่อนปรณ เจ้าจะใช้เหตุผลแค่นี้ไปจับเขางั้นหรือ”
เฟิ่งชิงหัวที่เดิมทีคิดว่าตนเองควบคุมความลับขั้นสุดยอดเอาไว้ ตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดของจ้านเป่ยเซียวแจกแจงออกมาเช่นนี้ก็รู้สึกท้อใจและรู้สึกว่าสิ่งที่ตนเองทำมาตลอดทั้งคืนนั้นสูญเปล่า
“อย่างนั้นจะทำอย่างไร เสด็จพ่อของท่านให้ข้าเป็นตัวแทนสืบคดี ตอนนี้เรารู้ตัวคนร้ายแล้วแต่ยังจับไม่ได้ แถมยังไม่มีเบาะแสอีก หลังจากนี้ข้าจะรับมือต่ออย่างไรดี” เฟิ่งชิงหัวกล่าวอย่างเหลืออด
“ใครบอกว่าไม่มีหลักฐาน ในเมื่อเจ้ารู้แล้วว่าคนร้ายคือใคร เจ้าก็แค่คิดหาวิธีโยงเรื่องทั้งสองเข้าด้วยกันก็เท่านั้นเอง”
“จะโยงยังไงล่ะ”
“เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าผู้ส่งสารที่นำทางศพมาหายตัวไปไม่ใช่หรือ ถ้าหากหนานกงจี๋รู้ว่าผู้ส่งสารที่นำทางมาอยู่ที่ไหน เขาจะต้องทิ้งร่องรอยเอาไว้บ้างไม่ใช่หรือ”
“ท่านรู้หรือว่าเขาอยู่ที่ไหน”
“ไม่รู้ แล้วสร้างขึ้นมาไม่ได้หรือ”
“จะสร้างยังไงล่ะ” เฟิ่งชิงหัวรีบร้อนกล่าว
จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้วมองนาง “เรื่องนี้เจ้าเป็นตัวแทน ข้าก็แค่ให้ความร่วมมือกับเข้า เรื่องนี้เป็นหน้าที่ที่เจ้าต้องคิดเองอยู่แล้วไม่ใช่รึ ตัวข้าอุตส่าห์ช่วยเจ้าตั้งมากมายขนาดนี้แล้ว เจ้าคงไม่คิดจะยืมมือคนอื่นหรอกกระมัง”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนั้นก็ตะลึงงัน เขาให้แนวทางก็จริง แต่นางรู้สึกว่าเขายังไม่ได้พูดอะไรที่เป็นประเด็นสำคัญเลย
จ้านเป่ยเซียวส่ายหน้า “ใช้สมองให้มากกว่านี้ อย่าคิดจะฉวยโอกาสง่ายๆ ข้าได้สอนวิธีให้เจ้าแล้ว”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนั้นก็ดึงมือของตัวเองกลับมาอย่างแรง และจ้องไปที่จ้านเป่ยเซียว “คิดเองก็คิดเอง ไม่เห็นมีอะไรยากเลย”
มือของจ้านเป่ยเซียวยังคงอยู่ในท่าเดิม แต่แข็งทื่อขึ้นเล็กน้อย จากนั้นจึงค่อยๆ ดึงมือกลับแล้วกล่าวเสียงแข็งว่า “สุนัขจิ้งจอก”
“เอาล่ะๆ ท่านไปได้แล้ว อย่ารบกวนเวลานอนของข้า ท่านนอนมากพอแล้ว ส่วนข้ายังไม่ได้นอนทั้งคืน ท่านคิดดูว่าถ้าข้าตายไปแล้วท่านได้อะไร รีบไปเถิด” เฟิ่งชิงหัวไล่จ้านเป่ยซียวราวกับไล่แมลงวัน
“ใครบอกเจ้าว่าข้านอนพอแล้ว” แววตาของจ้านเป่ยเซียวมองนางอย่างล้ำลึก เขายังไม่รู้เลยว่านางหายไปไหนกลางดึก
หากไม่ใช่เพราะเหตุผลพิเศษ จะยอมปล่อยนางออกไปคนเดียวได้อย่างไร
“ท่านนอนไม่พอแล้วเกี่ยวอะไรกับข้าด้วยล่ะ ท่านออกไปได้แล้ว”
“กินอะไรก่อนสิแล้วค่อยนอน ไม่งั้นจะไม่ดีต่อร่างกายนะ”
“ข้ารู้จักร่างกายของตัวเองดี ท่านไม่ต้องยุ่ง”
เฟิ่งชิงหัวกล่าวจบก็อยากจะทิ้งตัวลง แต่หัวของนางยังไม่ทันถึงหมอนจ้านเป่ยเซียวก็อุ้มนางขึ้นมา แล้วเดินมุ่งหน้าออกไปข้างนอกห้อง
อาหารถูกจัดวางบนโต๊ะที่อยู่ด้านนอกอย่างรวดเร็ว กลิ่นของมันหอมเตะจมูก
เฟิ่งชิงหัวอดไม่ได้ที่จะลองใช้จมูกสำรวจกลิ่นดู นางไม่รอให้จ้านเป่ยเซียวเรียกก็หยิบขนมแป้งทอดขึ้นมากัดเข้าไปคำหนึ่งแล้ว ตอนนั้นเองนางจึงรู้ตัวว่าท้องของนางหิวจนไร้ความรู้สึก
หลังจากกินอิ่มแล้ว เฟิ่งชิงหัวก็เรอออกมาอย่างสบายใจ ท่าทางของนางเกียจคร้าน จากนั้นจึงมองไปที่จ้านเป่ยเซียวที่กินอิ่มมาสักพักหนึ่งแล้วพลางยกมือขึ้นเอ่ยว่า “เจ้าเซียว อุ้มข้ากลับไปที”
จ้านเป่ยเซียวจ้องนางเขม็งราวกับมองคนไม่สมประกอบ
เฟิ่งชิงหัวทำตัวตามสบาย นางแกว่งเท้า “ท่านบอกเองไม่ใช่หรือว่าไม่ให้ข้าเดินเท้าเปล่า เอาล่ะ ข้าเดินกลับเองก็ได้”