พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 208 จ้านเป่ยเซียวโดนจับ
ระหว่างที่กล่าวนางก็ยังไม่ยอมเอาเท้าแตะพื้น เขาอุ้มนางขึ้นมา จากนั้นนางจึงหาวอย่างสบายใจจนมีน้ำตาซึมออกมาสองหยด ดูจากท่าทางแล้วไม่ต่างอะไรกับลูกแมวที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา
จ้านเป่ยเซียวเห็นท่าทางเช่นนี้ของนางก็หัวเราะ “เฟิ่งชิงหัว เจ้านับวันก็จะยิ่งเอาใหญ่แล้วนะ”
เฟิ่งชิงหัวกลอกตา “ท่านต่างหากที่เป็นคนย้อนแย้ง ตอนที่ข้าไม่อยากให้ท่านอุ้มท่านก็จะอุ้มให้ได้ ตอนที่ให้ท่านอุ้ม ท่านก็เอาแต่บ่นไม่เลิก ถ้าไม่อยากอุ้มก็ไม่เป็นไร ข้าก็ไม่ได้อยากให้ท่านอุ้มเท่าไหร่นักหรอก วางข้าลง”
“อย่าขยับ ไม่งั้นเดี๋ยวข้าทำเข้าร่วงนะ” จ้านเป่ยเซียวกล่าวพลางทำท่าราวกับจะโยนเฟิ่งชิงหัวลง เฟิ่งชิงหัวจึงหันมาคว้าแขนเขาเอาไว้ในทันที
“น่าเบื่อ” เฟิ่งชิงหัวถอนใจ
“ว่าข้าว่าน่าเบื่องั้นหรือ เจ้าดีนักหรือไง” จ้านเป่ยเซียวเอ่ยเสียงแข็ง
“ข้าไม่ดีตรงไหน” เฟิ่งชิงหัวถลึงตามองเขา “ห้ามว่าว่าข้าอัปลักษณ์ ท่านเองต่างหากที่ตั้งความหวังเอาไว้สูงเกินไป หน้าตาอย่างข้าหากไม่ใช่ยอดหญิงงามของเมือง อย่างน้อยๆ ก็ต้องเป็นดอกไม้ประจำหมู่บ้านแหละน่า”
“อารมณ์ร้อน สมองไม่ดี อันนี้นับด้วยหรือไม่” จ้านเป่ยเซียววางเฟิ่งชิงหัวลงบนเตียง
เฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนี้ก็เริ่มไม่พอใจ นางชี้เข้าหาตัวเอง “ข้าอารมณ์ร้อน ท่านต่างหากที่อารมณ์ร้อนไม่ได้เรื่อง พูดไม่เข้าหูนิดเดียวก็จะตัดแขนขาคนอื่นไปทำปุ๋ยต้นไม้เสียแล้ว หากไม่ได้เป็นเพราะข้าฉลาดหลักแหลม ป่านนี้ต้นไม้ที่ขึ้นบนหลุมฝังศพคงเจริญเติบโตจนผลิดอกออกผลไปแล้ว”
จ้านเป่ยเซียวไม่ได้กล่าวปฏิเสธแต่อย่างใด เขาเป็นคนที่มีอารมณ์ร้อนมาตลอด ในเมื่อเขาก็ไม่จำเป็นต้องเอาใจใครแล้วทำไมเขาต้องอารมณ์ดีด้วยล่ะ
เฟิ่งชิงหัวเค้นถามต่อ “อารมณ์ของข้าดีกว่าท่านมากเลยใช่ไหมล่ะ”
“ใช่แล้วอย่างไร? สตรีคือหยิน อ่อนโยนราวสายน้ำ งดงามราวพระจันทร์ เจ้าได้หนึ่งในหมื่นส่วนแล้วหรือยัง”
“โถ! ใครกันที่บอกว่าผู้หญิงอ่อนโยนมาแต่กำเนิด การอ่อนโยนนั้นก็ต้องมีขอบเขตบ้างกระมัง คนที่ไม่ดีกับข้าทำไมข้าต้องอ่อนโยนด้วยเล่า อีกอย่าง เมื่อก่อนท่านเคยใจดีกับข้าเพราะข้าอ่อนโยนกับท่านไหมล่ะ สุดท้ายก็เป็นเพราะความฉลาดเฉลียวของข้าต่างหากที่ทำให้ข้ารอดพ้นไปได้”
จ้านเป่ยเซียว “เมื่อก่อนไม่ใช่”
“หืม?” เมื่อก่อนไม่ใช่ แล้วตอนนี้ล่ะ?
จ้านเป่ยเซียวกล่าวเสียงอ่อนว่า “สรุปง่ายๆ เลยก็คือ เจ้าต้องจำเอาไว้ว่าเจ้าคือผู้หญิง อย่าเอาแต่วิ่งวุ่นไปทั่ว คิดว่าในโลกใบนี้ไม่มีใครเป็นศัตรูกับเจ้าหรือ เมื่อคืนหากไม่ได้เป็นเพราะหนานกงจี๋ซื่อบื้อเกินไป เจ้าคิดว่าตอนนี้เจ้าจะมีชีวิตรอดกลับมาหรือ”
เฟิ่งชิงหัวถูกจี้ใจดีเช่นนี้ นางจึงบิดตัวไปมาบนเตียง เมื่อนึกถึงสภาพย่ำแย่เมื่อคืนนี้ อารมณ์ของนางก็หมองหม่นอีกครั้ง ก่อนจะเถียงเบาๆ อย่างไม่พอใจว่า “นั่นเป็นเพราะว่าข้าต้องการช่วยใครกันล่ะถึงได้ทำเต็มที่แบบนั้น ไม่อย่างนั้นข้าไม่มีทางกลัวหรอก”
จ้านเป่ยเซียวจ้องเฟิ่งชิงหัวอย่างไร้ความรู้สึก “ไปโดยไม่รู้จักประเมินตัวเอง อย่างนี้มีเหตุผลหรือ”
เฟิ่งชิงหัวเบะปากอย่างไม่ชอบใจ
จ้านเป่ยเซียวเคาะหน้าผากของนาง “ข้าว่าพลังของเจ้าก็ทั่วๆ ไป อย่าคิดว่าไม่มีใครสู้เจ้าได้ ระหว่างจะตกหลุมพลางโดยไม่รู้ตัว เรื่องใดก็ตามที่เจ้าไม่สามารถทำเองได้ ก็ให้ขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเข้าใจไหม”
เฟิ่งชิงหัวเอามือลูบบริเวณหน้าผากที่ตัวเองรู้สึกเจ็บ จากนั้นจึงเงยหน้ามองเขาแล้วเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “ขอความช่วยเหลือจากคนอื่นยังไง ใครจะช่วยได้ล่ะ”
จ้านเป่ยเซียวกระแอม
เฟิ่งชิงหัวหรี่ตามองจ้านเป่ยเซียวอย่างใช้ความคิด จากนั้นจึงเอ่ยว่า “จ้านเป่ยเซียว”
จ้านเป่ยเซียวมองนาง “ว่าอย่างไร”
“ท่านมีวิธีใช่หรือไม่”
จ้านเป่ยเซียวนั่งลงตรงหัวเตียงแล้วเอามือทั้งสองข้างใส่เข้าไปในแขนเสื้อ แล้วกระแอมอีกที ท่าทางของเขาดูสง่างามสูงส่งและเย็นชา
ดวงตาของเฟิ่งชิงหัวเป็นประกาย นางไม่รู้สึกง่วงนอนแล้ว ทันใดนั้นนางก็โผเข้าไปกอดแขนทั้งสองของจ้านเป่ยเซียวเอาไว้ “ท่านอ๋อง!”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยอาการประจบประแจงอย่างเต็มที่
จ้านเป่ยเซียวมองกิริยาของนางอย่างไม่วบอารมณ์ “เรียกข้าทำไม”
เฟิ่งชิงหัวเขย่าแขนทั้งสองของจ้านเป่ยเซียว “ท่านอ๋องเจ้าคะ ท่านเป็นคนสง่างามแข็งแกร่ง มีสติปัญญาหาใครเปรียบได้ กำราบคนรอบอาณาบริเวณเป็นพันลี้ ท่านรีบบอกข้ามาเร็วเข้าว่าจะทำอย่างไรให้หนานกงจี๋เผยจุดอ่อนของตนเองออกมา”
จ้านเป่ยเซียวได้ยินดังนั้นก็นวดหว่างคิ้วตนเอง “เฟิ่งชิงหัว ข้าว่าข้าบอกไปแล้วนะว่าให้เจ้าคิดเอง”
“แต่เมื่อกี้ท่านอ๋องก็บอกแล้วว่าให้ขอความช่วยเหลือ ข้าเป็นคนฐานะต่ำต้อย สติปัญญาตื้นเขิน เทียบกับท่านอ๋องไม่ได้เลยสักนิด ข้าย่อมขอความช่วยเหลือจากท่านอ๋องอยู่แล้ว” เฟิ่งชิงหัวกะพริบตาปริบ ขนตายาวๆ ของนางกะพรือราวกับปีกผีเสื้อ ทำให้คนที่เห็นอยากจะยื่นมือออกไปสัมผัส
จ้านเป่ยเซียวนึกขำในใจ ผู้หญิงคนนี้เข้าใจเอาอกเอาใจนัก แต่คราวนี้เขาจะไม่มีทางตกหลุมพลางของนางง่ายๆ เรื่องเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือนั้น ผู้หญิงคนนี้ทำได้อย่างสมบูรณ์แบบเสมอ หากยอมบอกนาง เกรงว่านางคงกระโดดโลดเต้นและสร้างเรื่องวุ่นวายให้เขานับไม่ถ้วน
จ้านเป่ยเซียวกล่าวปฏิเสธ “ไม่ได้”
เฟิ่งชิงหัวถลึงตาใส่ “ไม่ได้จริงหรือเจ้าคะ”
“ไม่ได้”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนั้นก็สลัดแขนของจ้านเป่ยเซียวทิ้งแล้วเปลี่ยนสีหน้าทันที “อย่างนั้นก็ไม่มีอะไรต้องพูดกันแล้ว ท่านออกไปเถิด”
แม้ว่าจ้านเป่ยเซียวจะทำใจเอาไว้แล้วว่าตนเองจะต้องเผชิญกับสีหน้าเย็นชาแบบนี้ แต่ก็ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้จะเปลี่ยนท่าทีได้เร็วอย่างกับเปลี่ยนหน้าหนังสือ มิน่าเล่าถึงมีคำกล่าวว่าอารมณ์ของผู้หญิงไม่ต่างอะไรกับอากาศในเดือนหก ส่วนอารมณ์ของเฟิ่งชิงหัวนั้นก็แปรปรวณราวกับการเปลี่ยนแปลงฤดูทั้งสี่
ตอนที่เอาใจนางก็ทำให้นางมีท่าทีสูงส่งสง่างาม เวลาที่นางเย่อหยิ่งก็ไม่ต่างอะไรกับตะวันที่ร้อนแรง ตอนที่นางสงบก็มีท่าทีราวราชินี ตอนที่นางกังวลนางก็เหมือนแหนที่อยู่บนน้ำ แต่สิ่งที่จ้านเป่ยเซียวทนไม่ได้ที่สุดก็คือเวลาที่นางเย็นชาราวพระจันทร์แรม และวาดกำแพงขึ้นมากั้นเขาไว้
เมื่อก่อนหากเขาได้ตัดสินใจอะไรไปแล้วจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลง คำพูดของเขานั้นศักดิ์สิทธิ์ แต่มักจะเป็นเพราะนางที่ทำให้เขาต้องถอยให้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จ้านเป่ยเซียวเม้มปากอย่างหงุดหงิดใน จากนั้นจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
เมื่อเฟิ่งชิงหัวเห็นว่าเขาไม่ยอมบอกนางจริงๆ ก็รู้สึกโกรธมาก
ในความเข้าใจของเฟิ่งชิงหัว ตอนนี้พวกเขาเหมือนตั๊กแตนที่ถูกจับมัดเอาไว้ด้วยกัน หากเผชิญปัญหาก็ต้องร่วมแรงร่วมใจกันสู้ แต่ตอนนี้เขากลับวางท่าทีราวกับคนนอกที่เฝ้ามองเหตุการณ์ นี่เองที่ทำให้นางอึดอัด
เฟิ่งชิงหัวล้มตัวลงนอนบนเตียง นางพลิกตัวไปมา ไม่ว่าจะนอนอย่างไรก็นอนไม่หลับ
นางคิดว่าจะต้องเป็นเพราะว่านางกินอิ่มเกินไปแน่ๆ
ใครบอกว่ากินอิ่มแล้วค่อยนอน กินอิ่มแล้วนอนหลับที่ไหนกัน
นางนอนกระสับกระส่ายพลิกไปมาราวกับขนมแป้งปิ้งที่ทุกข์ทรมาน
เมื่อคิดวิธีไม่ออก นางก็รู้สึกทรมานใจ
เฟิ่งชิงหัวนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงเช่นนั้น นางบิดตัวไปมา หากใครไม่รู้คงคิดว่านางมีมัดอยู่บนหลังแน่ๆ
ในตอนที่เฟิ่งชิงหัวเหลือพลังอยู่เพียงอีกน้อยนิดนั้นเอง นางก็เริ่มเวียนหัว ดวงตาของนางอ่อนล้าและเตรียมจะเข้าสู่นิทราอยู่นั้น ด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตูดังเข้ามา
เฟิ่งชิงหัวกระเด้งตัวลุกขึ้นมาจากเตียง “ใครน่ะ เช้าขนาดนี้จะไม่ให้นอนกันเลยหรือไง!”
คำพูดประโยคนี้ออกจะแปลกประหลาดไปสักหน่อย
เฟิ่งชิงหัวยังไม่ทันจะได้ถามอะไรซ้ำ เสียงของหลิวหยิ่งก็ดังเข้ามาจากด้านนอก “พระชายา แย่แล้วขอรับ ท่านอ๋องถูกคนจากกรมคลังจับตัวไปแล้ว!”