บทที่ 209 หัดพูด

พลิกชะตาหมอยา

พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 209 หัดพูด
ห๊ะ? จ้านเป่ยเซียวโดนจับ? มันเรื่องบ้าอะไรกัน

ครอบครัวของเขาเป็นคนก่อตั้งกรมคลังขึ้นมาไม่ใช่หรือ

ใครจะมาจับตัวเขาไปได้ เขาไม่เพียงเป็นถึงโอรสของฮ่องเต้เท่านั้น แต่ยังคนที่เอาไว้สักการะบรรพบุรุษ ใครกันที่กล้าท้าทายเขา?

ไม่ว่าคนผู้นั้นจะไปเอาความกล้าหาญมาจากไหนก็ตาม คนอย่างจ้านเป่ยเซียวจะยอมให้คนอื่นเอาตัวไปหรือ? องครักษ์ของจวนอ๋องเจ็ดไม่ทำอะไรบ้างเลยหรือ

เฟิ่งชิงหัวกระโดดลงมาจากเตียงแล้วเปิดประตูออกไป “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

“พระชายา เมื่อคืนวานท่านออกไปข้างนอกมาใช่หรือไม่ขอรับ”

“ใช่แล้ว” เฟิ่งชิงหัวตอบอย่างไม่เข้าใจ เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับเรื่องที่จ้านเป่ยเซียวถูกจับตัวไปได้อย่างไร

“เมื่อคืนวานท่านอ๋องมอบไหมสวรรค์ให้พระชายาใช่หรือไม่ขอรับ”

“ใช่แล้ว”

“ใช่ขอรับ หลังจากนั้นวันนี้ตอนที่ท่านอ๋องไปว่าราชการ ไหมสวรรค์ปรากฏอยู่ที่ตัวของท่านอ๋อง ใต้เท้าเฉิงเซี่ยงจึงจำได้แล้วบอกว่าท่านอ๋องมีความเกี่ยวข้องกับการสังหารสตรีของเขา ด้วยเหตุนี้ท่านอ๋องจึงถูกคนจากกรมคลังจับตัวไป”

อะไรนะ?

หนานกงจี๋จะจำไหมสวรรค์นั่นได้อย่างไร?

อีกอย่างเมื่อคืนวานจ้านเป่ยเซียวโยนไหมสวรรค์นั่นทิ้งแล้วไม่ใช่หรือ หลังจากนั้นนางก็เก็บเอาไว้

แล้วเขาจะเอาไหมสวรรค์นั่นไปทำไมอีก

เอาไปอวดงั้นหรือ

เฟิ่งชิงหัวกุมหน้าออกของตนเองเอาไว้อย่างไร้คำพูด เกิดเรื่องนี้ขึ้น การที่จ้านเป่ยเซียวถูกจับตัวดูเหมือนว่านางจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย

“ฝ่าบาทว่าอย่างไรบ้าง”

“ท่านอ๋องพยักหน้ายอมรับว่าเขามีความข้องเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นจริง ต่อให้ฝ่าบาทอยากช่วยเขาพ้นผิดก็คงทำอะไรไม่ได้” หลิวหยิ่งร้อนใจอย่างมาก ตอนนั้นเขายกให้เฟิ่งชิงหัวกลายเป็นบุคคลสำคัญในตอนนี้

“ไหนเจ้าลองเล่ามาอย่างละเอียดสิว่า ตอนว่าราชการ เรื่องราวเกิดอะไรขึ้นบ้าง เดินไปคุยไปเถิด พวกเราลองเดินไปดูสถานการณ์ทางด้านกรมคลังด้วย” เฟิ่งชิงหัวรีบเดินมุ่งหน้าออกไปทางประตูใหญ่อย่างรวดเร็ว

หลิวหยิ่งเล่าสรุปเหตุการณ์ให้ฟังโดยสังเขป เฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนั้นคิ้วของนางก็ขมวดแน่น นางคิดอยู่นานกว่าจะกล่าวออกมา “ทำไมท่านอ๋องของเจ้าถึงพูดอะไรโง่ๆ แบบนั้นเล่า! จะปฏิเสธสักหน่อยก็ไม่ได้ ทีเรื่องแบบนี้ล่ะยอมรับแต่โดยดี เขาไม่พูดว่า ‘เมื่อคืนผู้หญิงที่เข้าไปในหมู่บ้านของพวกเจ้าก็คือพระชายาของข้าเอง’ ข้าก็ขอบคุณมากแล้ว

หลิวหยิ่งรีบเดินตามไปพลางแก้ตัวแทนท่านอ๋องของตนเอง “หลายปีมานี้นายท่านมักจะอยู่คนเดียวมาตลอด นายท่านจะมัวต่อปากต่อคำทำไม แม้แต่ท่านเองกว่าจะได้มาอยู่ที่นี่ก็ทำให้นายท่านต้องโมโหไปแล้วกี่รอบ”

เฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนั้นก็แทบจะหายใจไม่ออก แสดงว่านางเป็นคนรังแกจ้านเป่ยเซียวงั้นสิ?

เมื่อเดินไปถึงประตู ทั้งสองก็รีบขึ้นรถม้ามุ่งหน้าไปยังกรมคลังทันที เมื่อไปถึงจึงเห็นว่ามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังมามุงดูอยู่แถวนั้น

จ้านถิงเฟิง จ้านชิงอิงและยังมีอีกหลายคนที่เฟิ่งชิงหัวไม่รู้จัก นางเอามือผลักคนพวกนั้นเพื่อที่จะได้เข้าไปข้างใน

“ใครน่ะ แค่มามุงทำไมต้องทำตัวไร้มารยาทแบบนี้” คนที่โดนเฟิ่งชิงหัวผลักเกิดอาการโมโหขึ้นมา

“พระชายาของจ้านเป่ยเซียว เจ้าว่าข้าไร้มารยาทรึ” เฟิ่งชิงส่งสายตาอำมหิตไป และไม่รู้ว่าสายตาของนางอำมหิตไปหรือไม่ คนผู้นั้นจึงหัวหดแล้วไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก

เมื่อเห็นจ้านชิงอิงเห็นเฟิ่งชิงหัวเพิ่งมาถึงตอนนี้ ก็รีบเดินเข้ามาหาแล้วกล่าวอย่างร้อนใจว่า “พี่สะใภ้เจ็ด พี่อย่าว่าพี่เจ็ดเลย พี่เจ็ดกับผู้หญิงคนนั้นคงไม่มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งขนาดนั้นหรอก”

ตอนแรกเฟิ่งชิงหัวคิดว่านางจะมีความลับสำคัญอะไรอย่างบอกตน เมื่อได้ยินเช่นนี้ นางที่กำลังจะเดินต่อไปก็เริ่มซวนเซ

เมื่อจ้านชิงอิงเห็นสีหน้าของเฟิ่งชิงหัวยังไม่ดีนักก็เอ่ยต่อไปว่า “พี่สะใภ้เจ็ด ข้าเข้าใจว่าเจ้าเป็นคนที่เข้ามาตรงกลางอาจจะทำตัวยาก แต่พี่ลองเตือนดูบ้างเถิด เพราะการที่ทั้งสองก่อเรื่องวุ่นวายแบบนี้ก็ไม่ได้กับพี่เหมือนกัน”

“น้องสิบสอง ระวังคำพูดด้วย” จ้านถิงเฟิงเดินเข้ามาด้วยท่าทางสบายๆ มาหาจ้านชิงอิง แล้วหันไปยิ้มและพยักหน้าให้เฟิ่งชิงหัว สีหน้าของเขานั้นไม่นับว่าเป็นการทักทายแต่น่าจะเป็นการยุแหย่มากกว่า

พิลึก

เฟิ่งชิงหัวไม่อยากมองเขาอีก จึงได้แต่เดินผ่านทั้งสองคนเข้าไป

เมื่อเฟิ่งชิงหัวเข้าไปในห้องโถงใหญ่ คนที่อยู่ด้านในต่างมองมาที่นางยกเว้นจ้านเป่ยเซียวที่ไม่ยอมหันมามอง

คนของจวนกรมคลังรู้จักนางจึงรีบกล่าวว่า “พระชายามาแล้ว เตรียมที่นั่ง”

จากนั้นจึงเตรียมที่นั่งด้านข้างจ้านเป่ยเซียวเอาไว้ให้ ตำแหน่งที่นั่งของทั้งคู่อยู่ใกล้กันกันมาก

เฟิ่งชิงหัวไม่รอช้า นางเดินเข้าไปแล้วนั่งลง นางนั่งหลังตรงเม้มปากเป็นเส้นตรง เห็นได้ชัดว่าสีหน้าไม่พอใจ

ส่วนเขาที่นั่งนิ่งเงียบราวรูปสลักอยู่ข้างๆ มาโดยตลอด ตอนนี้เอนกายพิงพนักพิง ดวงตาทั้งสองของเขามองไปที่พื้นราวกับไม่รู้จักพระชายาที่นั่งอยู่ด้านข้างตน

บรรยากาศเต็มไปด้วยความอึดอัดและไม่ชอบมาพากล

ประธานผู้พิพากษาของกรมคลังเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกสับสนกับสิ่งที่เห็น สองคนนี้เป็นสามีภรรยากันไม่ใช่หรือ เมื่อตกอยู่ในยามยากเช่นนี้ทั้งสองควรจะร้องไห้และปลอบใจกันไม่ใช่หรือ ทำไมถึงมีท่าทางราวกับอีกฝ่ายเป็นคนแปลกหน้าเช่นนี้?

ประธานผู้พิพากษาคิดถึงตรงนี้ก็จินตนาการไปอีก หรือว่าการที่อ๋องเจ็ดไม่ยอมกล่าวถึงฐานะของผู้หญิงคนนั้นเป็นเพราะว่ามีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งเป็นพิเศษกับนาง?

มิน่าตั้งแต่ตอนทีพระชายามาถึงสีหน้าก็ดูแปลกไป ที่แท้ก็เป็นเรื่องหึงหวงกันนี่เอง

ทันใดนั้นเอง จ้านเป่ยเซียวจึงเงยหน้าขึ้นแล้วหันไปมองเฟิ่งชิงหัวแวบหนึ่ง

เฟิ่งชิงหัวมองไปที่เขาเช่นกัน ทั้งสองจึงสบตากัน

คนร้ายกาจอย่างเขา จะเอาตัวเองมาอยู่ในกรมคลังทำไมกัน

นี่หรือที่ท่านเรียกว่าขอความช่วยเหลือ ยังไม่ทันเริ่มก็เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในหลุมพรางเสียแล้ว

แววตาของเฟิ่งชิงหัวเต็มไปด้วยความเยาะเย้ยและสะใจ

จ้านเป่ยเซียวหันหน้าหนีไม่มองนางอีก

“เอ่อ คือว่า เฉิงเซี่ยง ไหนเจ้าว่าต่อไปซิ” ประธานผู้พิพากษากล่าว

“คนของข้าตามคนผู้นั้นไปจนถึงด้านหลังเขา จากนั้นก็หายตัวไป ไหมสวรรค์อยู่ในมือของคนผู้นั้น แสดงว่าหลังจากผ่านเมื่อคืนไปแล้วจะต้องได้เจอหน้าท่านอ๋อง นี่ยังไม่สามารถยืนยันได้อีกหรือว่าท่านอ๋องเป็นคนบงการเรื่องนี้” หนานกงจี๋กล่าวเสียงเครียด