บทที่ 210 เปลี่ยนผิดเป็นชอบ

พลิกชะตาหมอยา

ประธานผู้พิพากษาพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย ก่อนจะหันไปมองจ้านเป่ยเซียว “ท่านอ๋องจะว่าอย่างไรกับเรื่องนี้ดี”

จ้านเป่ยเซียวจ้องไปที่หนานกงจี๋พลางแค่นยิ้ม “ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่า คนผู้นั้นข้ารู้จัก แล้วอย่างไรต่อ”

รู้จัก แล้วอย่างไรต่อ

หากกล่าวถึงคำว่าโอหัง ใต้หล้านี้คงไม่มีใครโอหังไปกว่าจ้านเป่ยเซียวอีกแล้ว

เมื่อหนานกงจี๋ได้ยินคำพูดเช่นนี้ของจ้านเป่ยเซียวสีหน้าของเขาก็เครียดขึ้น “ท่านอ๋อง ท่านรู้หรือไม่ว่าคำพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร การลอบสังหารราชสำนัก โทษนี้ไม่น้อยเลย หากคนผู้นั้นเป็นคนที่ท่านส่งมาจริง ท่านก็จะต้องโทษไปด้วย!”

ระหว่างที่หนานกงจี๋กล่าว เขาก็แอบสังเกตจ้านเป่ยเซียวอยู่ตลอดเวลา เพราะอยากรู้ว่าเขาจะแสดงอาการอะไรออกมาบ้างหรือไม่ และอยากรู้ว่าเขาจะยอมรับว่าเป็นคนวางแผนลอบฆ่าหรือว่าจะรู้เรื่องอื่นใดอีกบ้าง

แต่สิ่งที่เขาสัมผัสได้จากตัวจ้านเป่ยเซียวก็คือ คนผู้นี้ไม่กลัวเขาแม้แต่น้อยตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้

หนานกงจี๋จ้องไปที่จ้านเป่ยเซียว “ท่านอ๋องยอมรับหรือว่าผู้หญิงคนนั้นคือคนที่ท่านส่งมาสังหารข้า”

“หนานกงเฉิงเซี่ยงเป็นได้นักเล่านิทานได้เลยนะ”

น้ำเสียงเช่นนี้

ทำเอาหนานกงจี๋โกรธจนแทบชักดิ้นชักงอ

ไม่เคยเจอคนผิดที่ไหนโอหังเช่นนี้มาก่อน

ไม่ว่าอย่างไร ตนก็เป็นถึงเฉิงเซี่ยงของแคว้น!

“ท่านอ๋องเจ็ด จะดีร้ายอย่างไร ท่านก็น่าจะเคารพพ่อตาอย่างข้าบ้าง!” หนานกงจี๋จ้องไปที่จ้านเป่ยเซียว “ความเคารพ ท่านไม่มีหรืออย่างไร”

“ท่านตัดความสัมพันธ์พ่อลูกกับพระชายาไปแล้วไม่ใช่หรือ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ท่านเกี่ยวอะไรกับข้าอีก” จ้านเป่ยเซียวกล่าวช้าๆ

หนานกงจี๋จุกอกจนพูดไม่ออก

เขาถือดีอย่างไรถึงโอหังเช่นนี้ ถือว่าตัวเองเป็นโอรสของฮ่องเต้งั้นรึ?

แต่นอกจากเขาจะเป็นเฉิงเซี่ยงแล้วยังเป็นลุงขององค์รัชทายาทอีก เขาไม่มีความกลัวเลยสักนิดเลยหรือว่าถ้าองค์รัชทายาทได้ขึ้นครองราชย์เมื่อไหร่จะแก้แค้นเขา

หนานกงจี๋แผดเสียง “หรือว่าท่านอ๋องเห็นว่าข้าไม่ลงรอยกับลูกสาวของข้า แล้วคิดจะสังการข้างั้นหรือ”

จ้านเป่ยเซียวมองไปที่เขาอย่างเย็นชา “สังหารเจ้า? ข้าใช้เพียงนิ้วมือเดียวก็สำเร็จแล้ว”

หนานกงจี๋ตกใจสายตาคู่นั้นของเขาจนถอยหลังหนี จากนั้นจึงมองไปที่เฟิ่งชิงหัวที่นั่งเงียบมาโดยตลอดแล้วตวาดว่า “ในเมื่อไม่ใช่นักฆ่าที่ท่านส่งมา เช่นนั้นผู้หญิงคนนั้นคือใคร หรือว่าเป็นบ้านน้อยที่ท่านแอบเลี้ยงเอาไว้ แล้วท่านจะจัดการอย่างไรกับนาง”

“”ห๊ะ?” เฟิ่งชิงหัวที่กำลังนั่งมองจ้านเป่ยเซียวปะทะกับหนานกงจี๋ เมื่อถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยก็ทำอะไรไม่ถูก

ทำไมนางถึงโดนลากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย เฟิ่งชิงหัวได้แต่กระแอมเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “เรื่องนี้มีบางอย่างเข้าใจผิดกันหรือไม่”

“จะเข้าใจผิดอะไรกัน เมื่อคืนวานที่ข้าโดนลอบทำร้ายคือเรื่องจริง ที่มือของผู้หญิงคนนั้นมีผ้าไหมขาวออกมาคือเรื่องจริง แต่ตอนนี้ผ้าไหมขาวนั้นอยู่ที่ท่านอ๋องเจ็ด นั่นก็คงไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิดกระมัง หลักฐานแน่นหนา ต่อให้ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คนของท่านอ๋อง แต่ก็น่าจะพอรู้ฐานะของผู้หญิงคนนั้น ตอนนี้ข้าแค่อยากให้ท่านอ๋องบอกชื่อของผู้หญิงคนนั้นแต่ท่านอ๋องกลับปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่ไม่นับว่าเป็นการตั้งใจปกปิดรึ!”

เฟิ่งชิงหัวส่ายหน้า “เฉิงเซี่ยง ทำไมข้ารู้สึกว่าตรรกะของท่านมันผิดปกติอย่างมาก ตอนนี้ท่านกำลังใส่ร้ายท่านอ๋องอย่างไม่เป็นธรรมเอาเสียเลย”

ระหว่างที่กล่าว เฟิ่งชิงหัวก็มองไปที่ประธานผู้พิพากษา “ใต้เท้าก็คิดว่าเฉิงเซี่ยงพูดถูกหรือเจ้าคะ”

ประธานผู้พิพากษาเตรียมจะพยักหน้า แต่เมื่อเห็นสีหน้าของเฟิ่งชิงหัว เขากลับบ่ายเบี่ยงแล้วกล่าวถากถางว่า “พอฟังเช่นนี้ก็รู้สึกว่ามีเหตุผลอยู่บ้าง ไม่ทราบว่าพระชายาคิดเห็นอย่างไร”

“ข้าคิดว่ามีปัญหา ปัญหาใหญ่เชียวล่ะ” เฟิ่งชิงหัวกล่าวอย่างหัวเสีย

“ปัญหาอะไรรึ”

เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกไปว่า “เพราะว่าคนที่ท่านอ๋องบอกว่ารู้จักก็คือข้าเอง”

“ห๊า?” ตอนนั้นคนในที่นั้นพากันตะลึงงัน

หนานกงจี๋กลับหรี่ตามองเฟิ่งชิงหัว “ความหมายของเจ้าคือ เมื่อคืนวานคนที่แอบบุกรุกเข้ามาในหมู่บ้านก็คือเจ้างั้นรึ”

เฟิ่งชิงหัวกล่าวอย่างขบขันว่า “คำพูดของเฉิงเซี่ยงช่างน่าขันนัก เห็นได้อย่างชัดเจนว่าขัดแย้งกันเอง อย่างแรกเลย หากเป็นข้าจริง ทำไมถึงใช้คำว่าบุกรุกล่ะ? เพราะนั่นเท่ากับว่าข้าเข้าไปในบ้านของตัวเองไม่ใช่หรือ อย่างที่สอง นางต้องการสังหารท่านไม่ใช่หรือ ใช่ข้าหรือไม่ ทำไมท่านถึงมองไม่ออกล่ะ หรือว่าสตรีนางนั้นที่เข้าไปในหมู่บ้านด้วยเหตุผลประการอื่น แต่เฉิงเซี่ยงไม่รู้จะพูดอย่างไรเลยบอกว่าเข้าไปสังหารตนเอง อยู่ดีๆ ดึกๆ ดื่นๆท่านไม่ยอมอยู่ที่จวนเฉิงเซี่ยงของตัวเอง แต่กลับไปที่หมู่บ้าน ทำไมรึ ซ่อนหญิงงามเอาไว้หรืออย่างไร”

“ข้าเปล่านะ เจ้าพูดจาเหลวไหล!” หนานกงจี๋ตวาด แววตาของเขาที่จ้องเฟิ่งชิงหัวเต็มไปด้วยความสงสัย

ในหัวของเขาเกิดความคลางแคลงใจบางอย่างขึ้นมา ผู้หญิงเมื่อคืนเขาเห็นใบหน้าของนางอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่ใบหน้านี้ แต่ในเวลาเดียวกัน เฟิ่งชิงหัวก็เป็นคนที่รู้วิชาปลอมตัว หรือว่าเมื่อคืนวานจะเป็นนาง?”

เฟิ่งชิงหัวเอียงคอ “ข้าเหลวไหลตรงไหน หรือคำโกหกของท่านที่เหลวไหล รบกวนเฉิงเซี่ยงช่วยตอบที ข้าจะได้แก้ไขให้ถูกต้อง”

หนานกงจี๋อึดอัดใจมาก ทั้งๆ ที่ทุกคำพูดของนางเต็มไปด้วยปัญหา แต่ตอนนี้เขากลับไม่สามารถจัดการได้

ได้แต่กล่าวไปดื้อๆ ว่า “เจ้าบอกเองว่าเป็นเจ้า ท่านอ๋องเองก็ยอมรับว่ารู้จักผู้หญิงคนเมื่อวาน เจ้ายังคิดปฏิเสธอีกรึ!”

“ข้าปฏิเสธอะไรหรือ รบกวนท่านนำคำพูดของท่านอ๋องในตอนนั้นไปคิดทบทวนดูให้ดีว่าท่านเองหรือเปล่าที่ถามท่านอ๋องว่ารู้จักเจ้าของผ้าไหมขาวนั้นหรือไม่ ท่านอ๋องบอกว่ารู้จักก็เพราะว่าเจ้าของผ้าไหมขาวนั้นก็คือข้าเองไง ท่านอ๋องมอบให้ข้าแล้วก็ยอมเป็นของข้าแล้ว”

“เมื่อคืนผู้หญิงคนนั้นใช้ผ้าไหมขาวผืนนี้จริงๆ!”

“เฉิงเซี่ยง ข้าว่าท่านอายุมากแล้วเลยไม่อยากยอมแพ้ แต่ในโลกใบนี้ผ้าไหมขาวมีตั้งมากมาย แม้ว่าคนที่ใช้ผ้าไหมขาวเป็นอาวุธจะมีน้อย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีกระมัง ทำไมท่านถึงรู้ว่าเป็นผืนเดียวกันล่ะ อีกอย่างแม้แต่ใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นท่านยังจำไม่ได้ ท่านจะจำผ้าไหมผืนนั้นได้อย่างไรกัน”

“เจ้ามันเปลี่ยนผิดเป็นชอบ!” หนานกงจี๋ตวาด

“เห็นชัดๆ ว่าท่านเฉิงเซี่ยงแต่งเติมมากเกินไป ผู้หญิงคนหนึ่งที่ถือผ้าไหมขาวมา ท่านก็คิดว่าเป็นมือสังหารจึงจับตัวมาแล้ว เอาล่ะ ข้าคิดว่านี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด พอได้แล้วล่ะ วันนี้ท่านทำให้ชื่อเสียงของท่านอ๋องเสียหายแล้ว เอาคนดีๆ เข้ามาในกรมคลัง หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปคนคงคิดว่าพวกเราทำอะไรที่ผิดต่อแผ่นดินเป็นแน่” เฟิ่งชิงหัวโบกมือด้วยท่าทางสบายๆ

ระหว่างที่กล่าว เฟิ่งชิงหัวก็หันหน้าไปมองจ้านเป่ยเซียวอย่างไม่สบอารมณ์นัก แล้วกล่าวตำหนิต่อหน้าฝูงชนว่า “วันหน้าช่วยพูดให้มากกว่านี้สักคำสองคำได้หรือไม่ ทำให้เกิดเรื่องเข้าใจผิดใหญ่โตขนาดนี้ โชคดีที่เมื่อคืนคนที่ลอบทำร้ายเฉิงเซี่ยงเป็นผู้หญิง หากเป็นผู้ชาย ท่านคงถูกตั้งข้อหาไปแล้วกระมัง”

“สมองของคนบางคนโง่เขลา เข้าใจยาก ท่านก็ช่วยใจกว้างกับเขาหน่อย อธิบายเพิ่มสักคำสองคำ วันนี้เสียหายขนาดนี้ ต้องโทษที่ท่านไม่รู้จักพูด”