บทที่ 197 โหลวจวินเหยา! เจ้าคนบ้ากาม!

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

บทที่ 197 โหลวจวินเหยา! เจ้าคนบ้ากาม!

เห็นเขาเดินออกมา ชิงเป่ยก็ประหลาดใจในคราแรก ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น “ชิงอวี่ฟื้นหรือยัง?”

ไป๋จือเยี่ยนส่ายหน้า “นางกลืนยาไม่ลง แหวะออกมาจนหมด ข้ากำลังจะไปหาสมุนไพรชุดใหม่มาต้มยาให้นาง”

พูดจบเขาก็ทำท่าจะจากไป ทว่าชิงเป่ยเรียกเขาไว้ เขาจึงหันมามองเด็กหนุ่มหน้าฉงน

“ชิงอวี่ไม่ชอบดื่มยาต้ม เพราะนางไม่ค่อยป่วยบ่อยนัก และถึงจะป่วยนางก็จะไม่ยอมกินยาต้มเด็ดขาด กัดฟันทนจนกว่าจะหายเอง เพราะหากได้ลิ้มรสยาต้มขม ๆ แล้วนางก็จะอาเจียนออกมาจนหมด หากเป็นยาลูกกลอนหรือยาทิพย์นางยังพอกลืนไหว แต่กับยาต้มอย่างไรนางก็ดื่มไม่ลง” ชิงเป่ยว่าแล้วก็ถอนหายใจ

ไป๋จือเยี่ยนได้ยินดังนั้นก็เบิกตากว้างประหลาดใจ “เป็นนักปรุงยาที่ไม่กล้าดื่มยาต้มงั้นหรือ? นางไม่เหมือนใครจริง ๆ”

นักปรุงยาต้องรู้จักตัวยาต่าง ๆ ผ่านกลิ่นและรสชาติของมัน ดังนั้นจึงห้ามแพ้หรือต่อต้านสมุนไพรและยาต้มทั้งหลาย ไป๋จือเยี่ยนเคยเห็นนางแยกตัวยามาก่อน ก็ไม่เห็นจะมีปฏิกิริยาต่อต้านเช่นนี้ ไม่คิดเลยว่านางจะไม่ชอบกินยาต้ม

ไป๋จือเยี่ยนพลันยักไหล่ “เช่นนั้นข้าจะลองหาทางดู”

“ข้าเข้าไปดูชิงอวี่ได้หรือไม่?” ชิงเป่ยจึงถามขึ้น

“อืม เอาเลย แต่นางยังไม่ฟื้นเลยนะ”

ไป๋จือเยี่ยนเดินเข้าไปพร้อมกับชิงเป่ย ทว่าพริบตาที่เดินเข้าไป ภาพตรงหน้าก็ทำให้ทั้งคู่ชะงักค้างอยู่เช่นนั้น เบิกตากว้างอ้าปากค้างไปตาม ๆ กัน

ร่างสูงของชายหนุ่มนั่งอยู่ริมเตียง แขนข้างหนึ่งพาดไหล่เด็กสาวไว้ ส่วนร่างเด็กสาวกำลังพิงแนบอกเขาอยู่ อีกมือกำลังถือชามยาเล็ก ๆ จรดริมฝีปาก ดื่มยาสีเข้มเข้าไปด้วยใบหน้าเรียบสนิท จากนั้นก้มหน้าประทับมันเข้ากับริมฝีปากไร้สีของเด็กสาว ค่อย ๆ ป้อนยาให้นาง

รสชาติยาอาจไม่ดีเท่าไหร่นัก ด้วยใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มดูเบ้ไปเล็กน้อย ทว่าก็ยังค่อย ๆ ป้อนยาให้นางทีละคำ ไม่ให้ยาหกแม้สักหยด

ไม่นานก็เห็นถึงก้นถ้วย

ไป๋จือเยี่ยนกับชิงเป่ยยืนแข็งค้างราวกับถูกสกัดจุด ตกตะลึงพรึงเพริด ไม่รู้จะทำหน้าแบบไหนไปชั่วขณะ

หลังจากป้อนยาต้มไปพักหนึ่ง ใบหน้างามของเด็กสาวก็ยับยู่ยี่ สีหน้าไม่สบายราวกับอยากอาเจียนยาออกมา ทว่าน้ำเสียงทุ้มรื่นหูของชายหนุ่มพลันดังขึ้นที่ข้างหู ทั้งยังเจือแววข่มขู่น้อย ๆ “หากเจ้ากล้าแหวะออกมา ข้าจะป้อนยาอีกสองถ้วย”

แม้นางจะไม่ค่อยได้สติเท่าไหร่ เด็กสาวก็ยังกลัวยาต้มโดยสัญชาตญาณ ร่างกายยอมกลืนยาลงไปแต่โดยดี ไม่พ่นมันออกมาอีก

ชายหนุ่มยกยิ้มพึงพอใจ ก้อนจะเอนร่างนางนอนลง นางได้รับบาดเจ็บหนักที่หลัง ดังนั้นเขาจึงประคองให้นางนอนตะแคงข้าง แม้ท่านี้อาจจะไม่สบายตัวเท่าไหร่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

จากนั้นเขาก็ดึงผ้าขึ้นห่มร่างเด็กสาว ก่อนจะหันมาเห็นคนสองคนที่ยืนบื้อใบ้อยู่ที่หน้าประตู ราวกับกำลังมองดูเรื่องน่าตกใจสุดขีด

โหลวจวินเหยาจึงลุกขึ้นเดินไปหา กระทั่งเอื้อมมือไปปิดประตูเสียงเบาให้อีกด้วย

เป็นจังหวะนั้นเองที่ไป๋จือเยี่ยนดึงสติกลับมาได้ เขากลืนน้ำลาย จากนั้นเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก “นาง….. ดื่มหมดเลยหรือ?”

“อืม” โหลวจวินเหยาตอบ สีหน้าเป็นปกติอย่างยิ่ง

ไป๋จือเยี่ยนสายตาซับซ้อนนัก “แล้วเจ้าฉวยโอกาสตอนนางหมดสติทำเช่นนั้นน่ะหรือ?”

ช่างเป็นภาพน่าเศร้าน่าอับอายแท้!

โหลวจวินเหยาจึงหันไปมองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าฉงน “ข้าทำอะไร?”

ไอ้เจ้าคนชั่วช้า! ทำแล้วยังไม่ยอมรับอีก!!

เขาเห็นเต็มสองตาเลยนะ!

โหลวจวินเหยาใช้สายตาขุ่นเคืองมองไป๋จือเยี่ยน พลางเลิกคิ้วถาม “ข้าเพียงแต่ป้อนยานางเท่านั้น ในหัวเจ้าคิดเรื่องบ้าอะไรอยู่กัน?”

“วิธีป้อนยาของเจ้านี่มันช่างเป็นเอกลักษณ์จนข้าอาจจะล้มป่วยเป็นรายต่อไปเลย” ไป๋จือเยี่ยนโต้กลับ

“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะให้หลิงซูเป็นคนป้อนเจ้า”

ไป๋จือเยี่ยน “…..”

ต้องแบ่งแยกกันถึงขั้นนี้เลยหรือ?!

โหลวจวินเหยาไม่สนใจอีกฝ่าย หันไปหาเด็กหนุ่มด้านข้างแทน “ได้ยินว่าเจ้าถูกหลอกเข้าสถานที่ต้องห้ามไป ได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่?”

ชิงเป่ยส่ายหน้า “ข้าไม่เป็นไร ข้าประมาทเกินไปจึงลากชิงอวี่เข้ามาด้วย นางเข้าไปที่นั่นก็เพราะข้า”

โหลวจวินเหยามองเด็กหนุ่มที่มีสีหน้าเศร้าโศก พลันตบไหล่เขา “เจ้าไม่ผิดหรอก เป็นชะตาที่กำหนดว่านางต้องลงเอยเช่นนี้ ผ่านไปแล้วก็ดีเอง”

ชิงเป่ยพลันนึกถึงภาพที่ตนเพิ่งเห็นเมื่อครู่ ใบหน้าเริ่มรู้สึกร้อนขึ้นมา จ้องชายหนุ่มอยู่ชั่วประเดี๋ยวแล้วเอ่ยเสียงลังเล “เมื่อครู่ท่าน…..”

“ร่างกายนางอ่อนแอมาก นั่นเป็นยาบำรุงร่างที่ดีนัก หากนางไม่ยอมดื่มก็จะหายช้า แผลก็อาจติดเชื้อได้” โหลวจวินเหยายิ้มปลอบ ก่อนอธิบายเสียงนุ่ม

ชิงเป่ยเปล่งเพียงเสียง “อ้อ” ออกมา ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเบา “ท่านสนใจชิงอวี่ในเชิงนั้นหรือ…..”

จริง ๆ แล้วมันเป็นสิ่งที่เขาอยากถามมาโดยตลอด เพราะยามเกิดเรื่องกับชิงอวี่ บุรุษผู้นี้ก็มักจะปรากฏตัวเสมอ สายตาที่เขาใช้มองนางทำให้คนอื่นอดคิดมากไม่ได้

เขาอ้างว่าเป็นเพราะเขาสนิทกับท่านแม่ของพวกเขา ทำให้มีความเป็นห่วงเป็นใย แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มลึกลับผู้นี้ปรากฏตัวขึ้นล้วนเป็นเพราะชิงอวี่ทุกครั้ง

คำถามที่ออกจะน่าอายไปสักหน่อยทำไป๋จือเยี่ยนเลิกคิ้วขึ้น ตัวเขาเองก็สงสัยจนอดมองอีกฝ่ายไม่ได้เช่นกัน “ข้าก็สงสัยเช่นกัน นี่เจ้ามีความคิดซ่อนเร้นกับแม่นางน้อยหรือไม่ อย่างความคิดที่มันไม่ถูกไม่ควรเท่าไหร่น่ะ?”

นางมีใบหน้างดงามเกินกว่าจะหาคำใดมาบรรยาย เป็นประเภทที่บุรุษทั้งหลายต้องพึงใจ

ความงามของนางเจือแววบริสุทธิ์ ทุกรอยยิ้ม ทุกยามที่นางขมวดคิ้วต่างมีเสน่ห์หมดจด กระทั่งยามปลอมเป็นบุรุษก็ยังล่อลวงสตรีมากมายเข้ามาได้ ให้พวกนางตกหลุมรักหัวปักหัวปำ

อีกทั้งนางยังไม่ใช่เพียงแจกันที่มีแต่ความงดงาม ยังมีวิชาแพทย์และพิษสูงส่ง พลังบำเพ็ญเกินหยั่งถึง ร้ายกาจและฉลาดเฉลียวเป็นยิ่งนัก ไม่ใช่สตรีอ่อนแอบอบบางที่ต้องคอยให้บุรุษคอยปกป้อง หัวใจนางกล้าหาญชาญชัย นิสัยก็น่าคบหาไม่ใช่น้อย

หากไม่สนเรื่องอื่น ไป๋จือเยี่ยนนับว่าชอบนางอยู่มาก เพียงแต่ไม่ได้ชอบพอในแบบที่บุรุษชอบสตรีเท่านั้นเอง เขาทำตัวสำมะเลเทเมามามากเกินไป ยากนักที่จะปักใจกับใครได้ ดังนั้นเขาเพียงแต่ชื่นชมเด็กสาวด้วยใจจริงเท่านั้น

แต่กับเจ้าโหลวจวินเหยาผู้นี้นั้นกล่าวได้ยาก เขาทำตัวแปลก ๆ พร่ำบอกว่าตนเป็นห่วงนางในฐานะผู้อาวุโสคนหนึ่ง มีแต่คนโง่เท่านั้นล่ะที่จะเชื่อคำเขา!

เห็นหรือไม่ หมอนั่นกระทั่งกล้าขโมยจูบนาง อ้างว่าทำไปเพื่อป้อนยา ดูสิว่ายังจะกล้าปฏิเสธอีกหรือไม่!

โหลวจวินเหยาเพียงหัวเราะเบา ๆ ออกมา นัยน์ตาสีม่วงเป็นประกายยิ้ม ภายใต้สายตากดดันจากคนอีกสองคน เขาเพียงเอ่ยเสียงขันออกมา “อย่าไปพูดต่อหน้านางเชียว สตรีทั้งหลายหน้าบางกว่าพวกเรานัก นางได้ยินแล้วอาจพิศวงไปได้ แต่เอาเถอะ ข้าจะไปพักผ่อนสักหน่อย ไม่อยากให้ใครมารบกวน”

พูดจบ โหลวจวินเหยาก็เดินกลับเข้าไปด้านใน ได้ยินเสียงเบา ๆ ที่หลังประตู เข้าไปด้านในแล้วยังลงกลอนประตูห้องอีกด้วย

ชิงเป่ยใบหน้าสับสนนัก “…..” เหมือนอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจคำถามนะ?

ไป๋จือเยี่ยนเองก็พูดไม่ออก “…..” แล้วสรุปยอมรับหรือไม่กันแน่? ไม่ยอมอธิบายให้ชัดเจนเช่นนี้ นิสัยไม่ดียิ่ง!

แต่เจ้านั่นก็อาจเหนื่อยจริง ๆ บาดแผลเก่าก็ยังไม่หายดี เสียเลือดไปมากขนาดนั้น ยังไม่ทันได้พักฟื้นดี ๆ ก็ต้องแยกมิติข้ามสองแดนมาถึงที่นี่ มาถึงก็จัดการเจ้าปีศาจซากผีทรงพลังนั่น จากนั้นก็นั่งเฝ้าแม่นางน้อยด้วยความกังวลไม่หลับทั้งคืน กระทั่งคนที่มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ดีก็ยังไม่อาจทานไหว

คิดได้ดังนั้น ไป๋จือเยี่ยนจึงเริ่มรู้สึกสงสารอีกฝ่าย แต่กลับนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้

ในห้องนั้น….. เหมือนจะมีแค่หนึ่งเตียงนี่?

ถึงจะเป็นเตียงใหญ่ แต่ก็มีแค่เตียงเดียวเองนะ! ชิงอวี่นอนหลับอยู่แล้วด้วย แล้วเจ้านั่นจะไปนอนที่ไหนกัน?

เมื่อครู่คงจงใจเปลี่ยนเรื่องกระมัง คงตั้งใจจะไปนอนกอดแม่นางน้อยหลับไปสินะ!

เจ้าเล่ห์นัก

ชิงอวี่หมดสติไปทั้งวันทั้งคืน เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็ทันเห็นแสงสุดท้ายของวันที่ส่องผ่านหน้าต่างที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเข้ามาพอดี

นางกะพริบตาสองครั้ง ยังรู้สึกง่วงงันไม่หาย นอนนิ่งไม่ขยับกายชั่วขณะ จนกระทั่งรู้สึกถึงลมหายใจแผ่วเบาข้าง ๆ และฝ่ามืออุ่นที่กุมหลังมือนางอยู่

นางพลันได้สติ หันไปมองด้านข้างทันที

ใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มอยู่ห่างไปเพียงแค่คืบ ขนตายาวมีเสน่ห์ปิดลงอย่างเงียบเชียบ เกิดเป็นเงาเล็ก ๆ บนใบหน้า มองแล้วน่ารักไม่น้อย ริมฝีปากบางเผยอออกเล็กน้อย ยามเขาไม่ได้ยิ้มเช่นนี้ก็ดูเย็นชาอยู่บ้าง แต่เมื่อไหร่ที่มันยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย มันก็ดูน่าหลงใหลจับตา

ชิงอวี่กะพริบตาไล่ความมึนงง จากนั้นก็กะพริบตาอีกครา เวลาเขานอนอยู่ก็ดูอ่อนโยนใจดีเช่นนี้นี่เอง…..

แต่ว่านางอยู่ที่ไหนกัน?

นางควรจะต้องอยู่ในสถานที่ต้องห้ามไม่ใช่หรือ? เขาคงจะปรากฏตัวขึ้นแล้วสังหารเจ้าปีศาจซากผีได้ แต่….. แล้วทำไมนางถึงมานอนอยู่ข้างกายเขาได้เล่า?

อีกทั้งเขายังดูหลับสบายมากอีกต่างหาก นางตื่นมาครู่หนึ่งแล้ว เขากลับไม่รู้สึกอะไรเลย

ด้วยชิงอวี่นอนหลับไปนานมาก ร่างกายจึงยังเฉื่อยชาและอ่อนแรงอยู่บ้าง นางคิดจะลุกออกไปเดินยืดแขนขาสักหน่อย ไม่คิดว่าที่แผ่นหลังตนเองจะมีบาดแผลฉกรรจ์ มองไม่เห็นเนื้อดี นางพลิกตัวมานอนหงายก่อนจะนอนแบ็บลงเช่นนั้น

“โอ๊ย…..” จู่ ๆ ก็เกิดความเจ็บปวดรุนแรงขึ้นทั่วร่าง นางไม่ทันระวังจึงร้องตกใจออกมา

โหลวจวินเหยาได้ยินเสียงนางก็ลืมตาตื่นทันที มองเห็นสิ่งแรกคือดวงตาหงส์ของเด็กสาวที่ดูเหมือนจะมีน้ำตารื้นขอบ ดูน่าสงสารราวกับกำลังเจ็บปวดเหลือทน

เขาอดยกยิ้มไม่ได้ “ฟื้นแล้วหรือ?”

ชิงอวี่มองหน้าเขาเหมือนว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว นางกัดฟันแน่นเอ่ยเสียงสั่นออกมา “ข้า….. เกิดอะไรขึ้นกับข้า…..”

ทำไมที่หลังถึงรู้สึกเหมือนถูกถลกหนังออกไปสักหลายชั้นเลยเล่า? มันเจ็บจนนางเริ่มไม่อยากหายใจแล้วนะ

นางถามมาเช่นนั้น โหลวจวินเหยายิ่งกดรอยยิ้มลึกขึ้นกว่าเดิม นิ้วเรียวยกขึ้นหยิกแก้มนางแล้วเอ่ยพร้อมใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ยังกล้าถามอีกหรือ? เจ้าคิดว่าร่างเจ้าเป็นเหล็กแกร่งหรือจึงกระโดดไปรับการโจมตีแทนบุรุษอื่น!? ไม่คิดหรือว่าแบบนี้มันน่าโดนตีนัก? ใครเป็นคนสัญญากับข้าว่าจะดูแลตนเองดี ๆ?”

ชิงอวี่รู้ว่านางเป็นคนผิดจึงไม่เถียง เพียงแต่ตอบเสียงอ่อนไป “แต่จะให้ข้ายืนดูเขาตายก็ใช่เรื่อง? อีกทั้งให้ข้าบาดเจ็บเล็กน้อยก็ยังดีกว่าเขาตาย ท่านว่าจริงไหม?”

โหลวจวินเหยาหรี่ตาลงอย่างอันตราย “แล้วเขาเป็นใคร?”

ชิงอวี่ตอบ “ท่านน่าจะได้เห็นเขา เป็นนักฆ่าที่แปลกไม่เหมือนใครเชียว”

โหลวจวินเหยาหัวเราะ “แปลกอย่างไร? หน้าตาดีจนน่าแปลกงั้นหรือ?”

ชิงอวี่คิดชั่วครู่ก่อนพยักหน้า “ก็หน้าตาดีจริง ๆ”

สุดท้ายนางก็ถูกเขาจ้องแทบเป็นรู สายตาเขาน่ากลัวเกินไป ชิงอวี่เผลอถอยหลบนัยน์ตาคู่นั้น ทำให้โดนแผลเข้า

ความเจ็บปวดที่ตีขึ้นมาทำให้นางนึกอยากตายนัก ใบหน้าเคล้าน้ำตาเจ็บเหลือคณา

โหลวจวินเหยาเห็นท่าทางน่าสงสารนั่นแล้วก็ทั้งโกรธทั้งตลก เอื้อมไปคว้ามือนางไว้ไม่ให้ขยับมั่วซั่วอีก ก่อนเอ่ยเสียงอ่อนโยนขึ้น “ให้ข้าดูหน่อยว่าแผลเปิดหรือไม่”

“ไม่” ชิงอวี่ส่ายหน้า

นางได้รับบาดเจ็บที่หลัง หากจะดูแผลต้องถอดชุดออก ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกันถึงเพียงนั้น

ทว่าฉุด ๆ รั้ง ๆ กันอยู่นั่นเอง ผ้าห่มที่คลุมร่างนางพลันหลุดออก ที่ไหล่รู้สึกได้ถึงอากาศเย็นทันที ชิงอวี่จึงหลุบตาลงมองด้วยความฉงน ก่อนใบหน้าจะร้อนฉ่าขึ้นในทันใด

“โหลวจวินเหยา!”