บทที่ 196 เจ้าหลับตาเสีย อย่ามองสิ่งไม่ควรมอง
โหลวจวินเหยาออกคำสั่งลับเรียกไป๋จือเยี่ยนกลับจากแดนเมฆาสวรรค์ทันที
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคงเกิดเรื่องขึ้นกับแม่นางคนนั้น เจ้านั่นถึงได้ตื่นตระหนกถึงเพียงนั้นได้
ที่หน้าประตูที่ปิดแน่นสนิทมีคนหลายคนยืนรออยู่ ชิงเป่ยที่มีสีหน้ากังวล มู่ไหลที่มีใบหน้าเย็นชาเคร่งขรึม และซีจ้านเฉินที่ปล่อยกลิ่นอายดุดันน่ากลัวออกมา
“อาจ้าน เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมเจ้าเข้าไปนานนัก? แล้วระเบิดนั่นมันคืออะไร?” เฟิงฉีและคนอื่น ๆ ที่เห็นสัญญาณรีบรุดเข้ามาทันที เมื่อเห็นชายหนุ่มหน้าซีดเผือดก็อดเป็นห่วงไม่ได้
หรือเกิดอันตรายอะไรขึ้น?
แต่อาจ้านฝีมือเก่งกาจ น่าจะรับมือได้อยู่แล้ว
“ได้ดอกบัวหัตถ์พระโพธิสัตว์มาหรือไม่?” เห็นอีกฝ่ายไม่ตอบ เฟิงฉีก็ถามต่อ
แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่เอ่ยคำ
เฟิงฉีขมวดคิ้ว กำลังจะถามขึ้นอีก สายตาดันเหลือบไปเห็นมู่ไหลที่ยืนพิงกำแพงอยู่ด้านข้าง ดังนั้นจึงเอ่ยเสียงประหลาดใจขึ้น “คุณหนูมู่ก็อยู่ด้วยหรือ?”
มู่ไหลคิดแต่เรื่องบาดแผลชิงอวี่ที่อยู่ในห้อง ไม่ทันสังเกตเห็นกลุ่มคน เมื่อได้ยินคนเรียกชื่อจึงเห็นว่าผู้นำตำหนักนักฆ่า นักฆ่าฝีมือฉกาจ ซีจ้านเฉิน คนที่ชิงอวี่ช่วยมาก่อนหน้านี้ยืนอยู่ด้านหน้ากลุ่มคน
มู่ไหลพยักหน้าทักทายเล็กน้อย “ไม่ได้พบกันนาน”
เฟิงฉีพลันเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ไม่ได้พบกันกว่าครึ่งปี คุณหนูมู่อยู่สำนักละอองหมอกงั้นหรือ? เมื่อครั้งก่อนเรารีบร้อนจากไป ไม่ทันได้ขอบคุณคุณหนูมู่ที่ช่วยชีวิตพวกเราไว้”
มู่ไหลตอบเสียงเรียบ “ข้าไม่ได้ช่วยอะไรมาก คนที่ท่านต้องขอบคุณคือชิงอวี่”
“แม่นางชิงอวี่ก็อยู่ด้วยหรือ?” เฟิงฉีถามด้วยความประหลาดใจ
ซีจ้านเฉินยังมัวแต่จดจ่ออยู่กับภาพที่ชิงอวี่สกัดก้อนหมอกดำนั่นให้เขา ก่อนร่างเล็กจะล้มลงต่อหน้าต่อตา เมื่อมีคนเอ่ยชื่อนางขึ้น เขาจึงหลุดจากภวังค์ทันที “พวกเจ้าว่าอะไรนะ?”
เฟิงฉีอธิบาย “ตอนนั้นน่ะอาจ้าน ชีวิตเจ้าแขวนอยู่บนเส้นด้าย ถูกคำสาปอสรพิษเข้า เป็นแม่นางชิงอวี่ที่ปรากฏตัวขึ้นทันเวลาช่วยชีวิตเจ้าไว้ ไม่เช่นนั้นเจ้าคงไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้หรอก”
ซีจ้านเฉินนัยน์ตาเฉียบคม ร่างกายแข็งค้าง
เช่นนั้นนางก็เป็นคนที่ช่วยเขาไว้
เมื่อตั้งสติได้ เงาร่างเลือนรางก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า แม้จะมองไม่เห็นไม่ชัด แต่ก็ยังได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยนเจือแววยิ้มของคนผู้หนึ่งแว่วมา
มิน่าเขาจึงคุ้นเคยกับนางนัก พวกเขาเคยพบกันมาก่อนจริง ๆ
ในเมื่อนางจำเขาได้ ทำไมจึงไม่เผยตัวตนเล่า?
อีกทั้งนางยังช่วยชีวิตเขาไว้ถึงสองครั้งสองครา
ตอนนี้นางนอนอยู่ในนั้น ได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่รู้ว่าจะอยู่หรือตาย
ภายในห้อง ดวงหน้าเล็กของเด็กสาวขาวซีดจนน่ากลัว ขนตายาวหลุบลง นางย่นหน้าดูไม่สบายตัว ที่หน้าผากชุ่มเหงื่อเย็น นางนอนตะแคงไม่ขยับร่างแม้แต่นิด
เห็นบาดแผลที่หลังนางแล้ว ไม่ว่าใครมองก็ต้องปวดใจ
ชุดขาวราวหิมะแปรเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ เลือดผสมกับเนื้อเน่า นับเป็นภาพน่าขนลุกเกินมอง
นางนอนหงายไม่ได้เลย เพราะบาดแผลบนหลังสาหัสเกินไป แค่คิดก็น่าจะพอนึกออกว่าจะเจ็บขนาดไหน
ไป๋จือเยี่ยนขมวดคิ้วแน่น จนคำพูดอยู่บ้าง แผลมีขนาดใหญ่มาก หากจะให้ตัดเนื้อตายออกทั้งหมด เกรงว่านางคงเสียเลือดมากเกินไป อีกทั้ง….. เขาจำต้องถอดชุดบนร่างนางออก ไม่เช่นนั้นต่อให้เก่งกาจขนาดไหนก็ไม่อาจรักษาแผลได้
ด้านข้างเขาคือโหลวจวินเหยาในชุดคลุมตัวสีม่วง กำลังเหลือบมองพลางถามขึ้น “อะไร? ยากมากเลยหรือ?”
“มันก็ไม่ได้ยากหรอก ก็แค่ต้องตัดเนื้อตายออกเท่านั้น พอเนื้อใหม่ขึ้นนางก็ไม่เป็นไรแล้ว แต่ในเมื่อแผลลามไปทั้งหลังเช่นนี้ จะตัดเนื้อตายออกก็ต้องถอดชุดไง…..” เสียงไป๋จือเยี่ยนเบาลงที่ท้ายประโยค เบาจนแทบไม่ได้ยิน ด้วยเห็นใบหน้าของคนบางคนเริ่มน่ากลัวขึ้นเรื่อย ๆ
“ถอดชุด?” โหลวจวินเหยาเอ่ยเสียงสงบ ไม่รู้ว่าโกรธหรือเบาใจกันแน่ แต่ไป๋จือเยี่ยนฟังแล้วขนลุกซู่
ไป๋จือเยี่ยนใบหน้าเศร้าโศก “หากไม่ถอดชุดข้าจะดูแผลได้อย่างไรเล่า? คิดว่าข้ามองทะลุเสื้อผ้าได้งั้นหรือ? เกิดทำอะไรไม่ถูกต้องขึ้นมา เจ้าจะโทษข้าไม่ได้นะ”
บัดซบ! ทำไมเจ้าหมอนั่นทำหน้าเหมือนเขาเป็นพวกบ้าตัณหาเล่า? ทำอย่างกับเขาหมายจะล่วงเกินแม่นางน้อยเสียอย่างนั้น
โหลวจวินเหยาพินิจอยู่ชั่วครู่ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าหลับตาเสีย”
นัยน์ตาดอกท้องามของไป๋จือเยี่ยนเบิกกว้างอย่าไม่อยากเชื่อ “ต้องถึงขนาดนั้นเลยหรือ!? คนเป็นหมอเขาไม่แยกเพศคนไข้หรอกนะรู้ไหม? หมอมีหน้าที่รักษาคนไข้ ไม่ใช่คิดจะลวนลามนางเสียหน่อย! เจ้าช่วยสงบจิตสงบใจลงบ้างเถอะ!?”
“บอกมาว่าต้องทำอะไรบ้าง ข้าจะทำเอง” โหลวจวินเหยาตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไม่ยอมให้อีกฝ่ายได้เห็นแม่นางน้อยแม้สักนิด
ทว่าคำของเขากลับทำให้ไป๋จือเยี่ยนตะลึงค้างไม่พอใจ “เจ้าไม่ใช่นักปรุงยา จะทำได้อย่างไร? ไม่ให้ข้าเห็นแผลนางแล้วเจ้าเห็นได้ไม่เป็นไรหรือ?!”
ทำไมเขาถึงรู้สึกว่ามันมีอะไรแปลก ๆ กัน?
แต่น่าแปลกนักที่ชายหนุ่มทำเพียงเหลือบมองเขาสีหน้าไร้อารมณ์ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติราวกับเรื่องควรจะเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว “จิ้งจอกน้อยเป็นลูกสาวของอาหลาน ข้าก็นับเป็นผู้อาวุโสของนางคนหนึ่ง กับข้ามันไม่เหมือนกัน”
พูดจบก็ไม่สนใจไป๋จือเยี่ยนที่ยืนงง เดินไปนั่งข้างเตียงนางแล้วค่อย ๆ ช้อนร่างเด็กสาวให้มานอนบนตัก
เดิมทีเขาอยากถอดชุดชุ่มเลือดให้นาง แต่ตอนนี้ผ่านไปนานเกินไป เนื้อผ้าที่หลังน่าจะติดไปกับแผลเรียบร้อยแล้ว ตกดึกคงได้ยินเสียงร้องเจ็บปวดจากเด็กสาวแน่
โหลวจวินเหยาขมวดคิ้ว คิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวกับไป๋จือเยี่ยนว่า “เจ้าหันหลังซะ”
ไป๋จือเยี่ยนเข้าใจว่าอีกฝ่ายคิดทำอะไร หันไปอย่างรู้ความ พริบตาต่อมาก็ได้ยินเสียงคล้ายกับเสียงอะไรสักอย่างกำลังสลายตัว
ในพริบตาผิวของนางก็ปรากฏขึ้นเป็นหนังไก่เพราะสัมผัสอากาศเย็น ตอนนี้เด็กสาวเหลือเพียงชุดชั้นในตัวเดียว เผยให้เห็นแขนเนียนและแผ่นหลังทั้งหมด
ผิวที่ปกติถูกซ่อนอยู่ใต้ชุดนั้นเนียนนุ่มราวกับหยก ทว่าแผ่นหลังที่ควรจะงดงามเย้ายวนใจกลับมีบาดแผลน่ากลัวขนาดใหญ่ประทับอยู่
โหลวจวินเหยาขมวดคิ้วมุ่น แม่นางน้อยปล่อยให้ตนบาดเจ็บหนักเช่นนี้ได้อย่างไร นางสัญญากับเขาแล้วว่าจะไม่ปล่อยให้บาดเจ็บอีก แต่กลับเกิดเรื่องเช่นนี้ น่าตีจริงเชียว
แต่เมื่อเห็นนางบาดเจ็บหนักไม่ได้สติ นางก็ดูน่าสงสารราวกับแมวตัวน้อยที่นอนนิ่งไม่ไหวติง โหลวจวินเหยาเจ็บปวดใจนัก เจ้าตัวเล็กดูแลตนเองไม่ดีเอาเสียเลย หากเป็นสตรีอื่นบาดเจ็บหนักเช่นนี้คงสิ้นใจตายไปแล้ว
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไปนาน ไป๋จือเยี่ยนก็อดถามขึ้นไม่ได้ “พอเถอะ หากช้าไม่ทันการจะทิ้งแผลเป็นไว้บนร่างนางได้ พลังชั่วร้ายของปีศาจซากผีหนาแน่นมาก นางโชคร้ายนักที่ไปเจอมันเข้า แต่เคราะห์ดีที่พิษยังซึมไม่ถึงกระดูก ยังรักษาได้”
โหลวจวินเหยารีบตั้งสติทันที “ข้าต้องทำอะไรบ้าง?”
“เจ้าทำได้แน่หรือ? เจ้าต้องตักเนื้อเน่าออก ลงยาบนแผลเพื่อหยุดเลือด จากนั้น…..”
“เจ้าทำ แต่ปิดตาด้วย”
“…..”
สุดท้ายไป๋จือเยี่ยนก็ยังต้องลงมือทำ ทว่าลงมือทำพร้อมทั้งปิดตาไว้ ส่วนโหลวจวินเหยาคอยกำกับอยู่ข้าง ๆ บาดแผลได้รับการจัดการเป็นอย่างดี ทว่าด้วยขั้นตอนดูน่าเจ็บปวดนัก โหลวจวินเหยาจึงสกัดจุดหลับเด็กสาว ทำให้นางหมดสติหลับลึกไป
ทั่วทั้งหลังนางถูกพันแผลเรียบร้อย แผลนางไม่อาจโดนน้ำได้อีกสักระยะหนึ่ง
โหลวจวินเหยาค่อย ๆ ดึงผ้าห่มบางขึ้นคลุมร่างบอบบางของนาง ไป๋จือเยี่ยนจึงปลดผ้าปิดตาลงด้วยใบหน้าเรียบเฉย อาจเพราะเป็นครั้งแรกที่พบคนไข้ที่ยากจะรับมือเช่นนี้เขาจึงรู้สึกอึดอัดอยู่เล็กน้อย
“แผลนางสาหัสมาก ต้องกินยาต่ออีกสักหลายวันเพื่อไม่ให้แผลติดเชื้อ เจ้าดูนางไว้ ข้าจะไปต้มยา”
โหลวจวินเหยาพยักหน้า
ไป๋จือเยี่ยนผลักประตูจากไป คนด้านนอกล้อมเข้ามาทันที ชิงเป่ยถามพร้อมสีหน้าเป็นกังวล “ชิงอวี่เป็นอย่างไรบ้าง?”
ไป๋จือเยี่ยนมองเขา “นางไม่เป็นไรแล้ว” ว่าแล้วก็เดินจากไปทันที
ชิงเป่ยหมายจะเดินเข้าไปดูอาการนาง ทว่าชายสวมเกราะดำสองคนปรากฏตัวขึ้นอย่างไร้เสียง ขวางทางเข้าเอาไว้ “โปรดถอยออกไปด้วย”
ชิงเป่ยขมวดคิ้ว “ในนั้นคือพี่สาวข้านะ ข้าเพียงอยากเข้าไปดูแผลนางเท่านั้น”
ชายสวมเกราะดำยิ้มสุภาพก่อนตอบ “นายท่านเองก็อยู่ด้วย แม่นางชิงไม่เป็นอะไรหรอกขอรับ”
ดูท่าโหลวจวินเหยาคงจะสั่งไว้ว่าอย่าให้ใครเข้าไปรบกวนชิงอวี่
ชิงเป่ยกัดฟันโกรธ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะอย่างไรอีกฝ่ายเป็นคนช่วยชิงอวี่ไว้
เมื่อเห็นเด็กหนุ่มไม่ดื้อด้านจะเข้าไป ชายเกราะดำทั้งสองก็ค่อย ๆ กลับไปซ่อนตัว หายไปอย่างไร้ร่องรอย
มู่ไหลเห็นเข้าก็ตาเป็นประกายวาบ เอ่ยถามชิงเป่ย “โหลวไป่เชียนคนนี้เป็นเพียงอาจารย์ภาควิชาพิเศษแน่หรือ?”
“ข้าก็ไม่รู้ว่าเขามีตัวตนเช่นไร รู้เพียงว่าเขาเป็นสหายของท่านพี่เท่านั้น” ชิงเป่ยตอบ
จริง ๆ แล้วชิงอวี่เคยเล่าให้เขาฟังแล้วว่าชายหนุ่มตาม่วงคนนี้มาจากแดนเมฆาสวรรค์ซึ่งเป็นแดนสูงที่สุด อีกทั้งยังเป็นเพื่อนเก่าของท่านแม่ เป็นมิตรมิใช่ศัตรู ทว่าชิงเป่ยก็ไม่คิดเปิดเผยตัวตนเขาเช่นนั้น
เวลาผ่านไปช้า ๆ ยามพวกเขาออกมาจากสถานที่ต้องห้ามก็ดึกมากแล้ว เกือบจะขึ้นวันใหม่ และหลังจากวันนี้ไปก็จะเป็นวันงานสานสัมพันธ์สามสำนักใหญ่แล้ว
ชิงอวี่ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นคืนสติ นางนอนเงียบสนิทไปทั้งคืน
ไป๋จือเยี่ยนกำลังประคองชามสีเขียวลวดลายซับซ้อน ภายในบรรจุยาต้มสีดำสนิทอยู่ พริบตาที่เขาเข้ามา โหลวจวินเหยาก็ขมวดคิ้ว “อะไรน่ะ?”
“ยาบำรุงกำลัง ทำจากผลฟื้นวิญญาณ ผสมกับสมุนไพรอีกสิบสองชนิดที่รักษาบาดแผลได้ดี นางเสียเลือดไปมาก หากไม่ดื่มยาร่างกายนางจะอ่อนแอ” ไป๋จือเยี่ยนตอบ
โหลวจวินเหยาเลิกคิ้วมองอีกฝ่าย “ขอบใจ”
ผลฟื้นวิญญาณเป็นของหายากจากแดนเมฆาสวรรค์ที่แม้จะมีเงินทองก็หามาไม่ง่ายดาย เจ้านั่นกล้าเอามาใช้ต้มยาบำรุงร่างกายนางเช่นนี้ ปากร้ายใจดีเห็น ๆ แท้จริงแล้วก็คงเป็นห่วงนางไม่น้อย
โหลวจวินเหยารับชามยามาแล้วพลิกตัวนาง ใช้แขนหนึ่งพยุงคอนางไว้ ก่อนจะตักยาช้อนหนึ่งป้อนเข้าริมฝีปากไร้สีเลือด นางกลืนยาลงไปแต่โดยดี
แต่ยังไม่ทันได้ป้อนยาอีกช้อน เด็กสาวก็ขมวดคิ้วก่อนจะอ้วกยาทั้งหมดออกมา
โหลวจวินเหยาเห็นแล้วก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนหันมาถาม “เกิดอะไรขึ้นกัน?”
ไป๋จือเยี่ยนเองก็เลิกคิ้วประหลาดใจ “ยาน่ะไร้ปัญหา เพราะต้มจากสมุนไพรที่อ่อนโยนทำให้ผ่อนคลาย ไม่ควรมีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้ได้”
โหลวจวินเหยาจึงพยายามป้อนยาอีกช้อนหนึ่ง ทว่าก็ได้ผลลัพธ์ดังเดิม นางขมวดคิ้วก่อนจะอ้วกยาออกมาทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้สติ ราวกับร่างนางไม่คิดรับยาแม้แต่นิด
“ข้าไปต้มอีกถ้วยก็แล้วกัน”
ไป๋จือเยี่ยนพูดจบก็หมุนตัวเดินจากไป ชนเข้ากับชิงเป่ยพอดิบพอดี