บทที่ 183 นายน้อย ท่านที่มัน… 2 (1)
“ทำลาย? ทำลายอะไรหรือขอรับ?”
ฮิลส์แมนถามออกมาด้วยความสับสนแต่คาร์ลก็ไม่คิดที่จะสนใจเขาเช่นกัน เขารีบเดินออกจากบาร์ทันที
คาร์ลเดินลงจากชั้นสามและมุ่งหน้าไปยังหน้าร้าน หลายๆคนที่อยู่บริเวณนั้นต่างจ้องไปที่คาร์ลด้วยความทึ่งเมื่อเห็นเขาสามารถเดินตรงไปข้างหน้าโดยไม่มีอาการเซให้เห็นแม้ว่าจะดื่มเหล้ามาตลอดทั้งวันก็ตาม
ฮิลส์แมนก็ประหลาดใจในเรื่องนี้เช่นกันแต่ทันทีที่เขาเห็นขวดเหล้าที่อยู่ในมือของคาร์ล เขาก็รีบวิ่งไปหาด้วยความตกใจ
“น..นาย..นายน้อย!”
“มีอะไร?”
“ว..วางขวด..เหล้าลงก่อนขอรับ!”
“อ้อ”
คาร์ลลืมเสียสนิท
เขาลืมไปว่าตัวเองกำลังถือขวดเหล้าไว้ในมือ
ฟรึบ!
คาร์ลยกขวดเหล้าขึ้น
“ไม่นะ!!!”
ภาพในอดีตเมื่อสองปีก่อนไหลเข้ามาในหัวฮิลส์แมนทันที เขายังจำคาร์ลในร่างของขยะไร้ค่าในวันนั้นได้ คาร์ลขว้างขวดเหล้าใส่กลุ่มอันธพาลในอาณาเขตเฮนิตัสและฮิลส์แมนต้องเป็นคนจัดการผลที่ตามมาในวันนั้น
“..เจ้าเมาหรือเปล่าเนี่ย?”
“..ขอรับ?”
คาร์ลเลิกคิ้วสูงเมื่อเห็นฮิลส์แมนยกแขนทั้งสองไขว้กันกลางอากาศก่อนจะหันไปส่งขวดเหล้าให้กับรอน
“รอน”
“ขอรับ”
ขวดหายไปจากมือคาร์ลและเขาก็เดินออกจากบาร์ไปทันที
รอนส่งขวดเหล้าคืนให้กับพนักงานและจัดการชำระค่าเครื่องดื่มทั้งหมดก่อนจะวิ่งตามหลังคาร์ลไป เขายังหันกลับมาลากตัวฮิลส์แมนที่ยังคงยืนอึ้งอยู่กับที่ให้ออกไปพร้อมเขาอีกด้วย
“พ่อบ้านรอน..นายน้อยจะทำลายอะไรงั้นหรือ?”
ฮิลส์แมนให้ความเคารพต่อรอนมากกว่าเดิมเมื่อรู้ถึงความสามารถที่เขาซุกซ่อนเอาไว้ ‘ผู้เชี่ยวชาญด้านการสะกดรอยและแฝงตัว’ นั่นคือนิยามที่ฮิลส์แมนมีต่อรอน
“ข้าก็ไม่แน่ใจเช่นกัน”
รอนตอบอย่างใจเย็น
“นายน้อยอาจกำลังหมายถึง..ทำลายบ้านสักหลังก็เป็นได้?”
“..อะไรนะ?”
“เอาล่ะ..เราไปกันเถอะ!”
ฮิลส์แมนวิ่งตามหลังคาร์ลและรอนไปอย่างเร่งรีบ เขาตามทันในที่สุดก่อนจะไปหยุดยืนข้างๆคาร์ลที่กำลังยืนอยู่กลางสะพานด้วยสีหน้าเรียบเฉย
‘..นายน้อยคาร์ลเป็นคนประเภทที่ชอบทำการใหญ่เท่านั้น!’
ฮิลส์แมนรู้ดีว่าคาร์ลมักจะพูดว่าตัวเองจะทำสิ่งต่างๆเพียงเล็กน้อยเท่านั้นแต่สุดท้ายมันก็ขยายวงกว้างเป็นเรื่องใหญ่เกือบทุกที นั่นคือเหตุผลที่เขากำลังถกเถียงกับตนเองว่าควรจะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไรดี ทันใดนั้นเองเสียงของคาร์ลก็ดังขึ้น
“ฮิลส์แมน”
“ขอรับ?”
ฮิลส์แมนหันไปมองคาร์ลทันที ภาพที่ปรากฏตรงหน้าในตอนนี้ดูเหมือนภาพศิลปะเมื่อผมสีแดงของคาร์ลกลืนไปกับสีของแม่น้ำและท้องฟ้าซึ่งถูกชโลมไปด้วยสีแดงจากพระอาทิตย์ตกดิน
มีคนสัญจรผ่านสะพานไม่มากนักเพราะเป็นช่วงเวลาใกล้ค่ำ หากให้พูดกันตามจริงต้องบอกว่ามีคนจำนวนน้อยมากที่จะใช้สะพานแห่งนี้ข้ามจากย่านการค้ามายังสลัมที่ทรุดโทรม
ฮิสล์แมนได้ยินเสียงแผ่วๆของคาร์ลดังขึ้น มันเบามากจนมีเพียงแค่คนที่ยืนอยู่ใกล้ๆเขาเท่านั้นที่จะได้ยิน
“พ่อบ้านจากตระกูลขุนนางเดินทางไปที่สลัมในทุกๆวันเพื่อแจกอาหารให้คนจน”
มันเป็นเรื่องที่ถูกยกขึ้นมาอย่างกะทันหันแต่รองหัวหน้าองค์รักษ์ก็ยินดีรับฟังพร้อมตอบกลับทันควัน
“พ่อบ้านช่างมีเมตตายิ่งนัก”
“ใช่..แม้ว่าพ่อบ้านคนนี้จะมาจากตระกูลขุนนางที่ลักพาตัวชาวบ้านในภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้และขายพวกเขาให้ไปเป็นทาส”
“..ข..ขอรับ!?”
คาร์ลมองข้ามสะพานไปยังสลัมทันที
“พ่อบ้านผู้นี้ตรงไปที่สลัมในทุกๆวัน..เขามุ่งหน้าไปยังบ้านสิบหลังซึ่งใช้คุมขังชาวบ้านพวกนั้นไว้ในชั้นใต้ดิน”
‘ต้องการทำลายพวกมัน’
ฮิลส์แมนเริ่มเข้าใจว่าสิ่งที่คาร์ลต้องการทำลายนั้นคืออะไร
“ฮิลส์แมน”
“ขอรับ?”
“เจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องนี้?”
คาร์ลรอฟังคำตอบจากฮิลส์แมนและเขาก็ตอบกลับหลังจากเงียบไปเพียงครู่เดียว
“อัศวินสามารถทำได้ทุกอย่างหากเห็นความอยุติธรรมอยู่ตรงหน้า”
ฮิลส์แมนเอ่ยเพิ่มเติมเมื่อเห็นคาร์ลจ้องเขม็งมาที่ตน
“แต่ถ้าสิ่งนั้นมีความเกี่ยวข้องกับเจ้านายของเรา..แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเราก็จะยึดตามหน้าที่ของเราโดยไม่คิดสนใจกับสิ่งนั้นเช่นกัน”
“นั่นคือคำปฏิญาณตนของอัศวินอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ขอรับ..นั่นเป็นเพียงความเห็นของกระผม”
เมื่อใดก็ตามที่อัศวินเห็นความอยุติธรรมอยู่ตรงหน้า พวกเขาก็พร้อมจะลงมือทำสิ่งต่างๆเพื่อพิทักษ์ความถูกต้องในทันที ยกเว้นเพียงแต่เรื่องนั้นมีความเกี่ยวข้องกับเจ้านายของพวกเขาโดยตรง ฟังดูเหมือนเห็นแก่ตัวไปบ้างแต่นั่นก็คือความเชื่อของฮิลส์แมน
คาร์ลไม่ได้รู้สึกติดลบต่อความเชื่อของฮิลส์แมนเพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นอัศวินผู้มีความสามารถของอาณาเขตเฮนิตัสและยังมีตำแหน่งเป็นถึงรองหัวหน้าองครักษ์ที่ต้องให้ความสำคัญในการปกป้องและคุ้มครองตระกูลเฮนิตัสเป็นอันดับแรก
คาร์ลเอนหลังพิงกับขอบสะพานและพูดขึ้น
“ถ้าเช่นนั้นก็อย่ารอช้า”
“ขอรับ!”
คาร์ลหันกลับไปมองย่านการค้าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับสลัม
ฟรีเซียกำลังส่งสัญญาณบางอย่างให้กับเขา สัญญาณนี้เป็นตัวบอกว่าคนที่สะกดรอยตามคาร์ลมาตั้งแต่เช้าได้กลับไปรายงานผลกับเจ้านายของตนแล้ว
เจ้านายของพวกเขาก็คืออันโตนิโอ กิลล์ ไม่มีทางที่อันโตนิโอจะปล่อยให้คาร์ลเพ่นพ่านไปมาในอาณาเขตของตนเองโดยไม่คิดทำสิ่งใด
ซึ่งคาร์ลเองก็ยินดีที่จะปรากฏตัวให้พวกเขาได้เห็นแม้จะรู้ว่าอันโตนิโอส่งคนมาสะกดรอยอยู่ก็ตาม
คาร์ลเริ่มเดินข้ามสะพานไปฝั่งสลัมอย่างรวดเร็ว เขามุ่งหน้าไปยังบ้านเก่าๆหลังหนึ่ง มันเป็นบ้านหลังแรกที่อยู่ใกล้กับสะพาน บ้านทั้งสิบหลังถูกสร้างติดๆกันโดยตั้งเป็นรูปคดเคี้ยวไปมา
คาร์ลหยุดยืนหน้าบ้านหลังแรกทันที
“…อ่า..สวัสดีขอรับ?”
ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่หน้าบ้านเอ่ยทักชายหนุ่มที่มีลักษณะคล้ายกับขุนนางและยังมีองครักษ์ยืนอารักขาอยู่ข้างๆอีกด้วย ในขณะเดียวกันเขาก็แสดงสีหน้าหนักใจเมื่อต้องเผชิญหน้ากับขุนนางขี้เมาที่กำลังยืนหน้าแดงก่ำอยู่
คาร์ลเอ่ยถามชายวัยกลางคนขึ้น
“เจ้าพักอยู่คนเดียวหรือ?”
“เอ่อ..ไม่ขอรับ! ข้าน้อยอยู่กับครอบครัว”
“อย่างนั้นรึ?”
คาร์ลแสยะยิ้มและเอ่ยต่อไป
“พาครอบครัวของเจ้าออกมาข้างนอกซะ”
“อะไรนะ?”
“ข้าให้เวลาเจ้า 10 วินาทีเท่านั้น”
“10..9…8”
คาร์ลเริ่มนับถอยหลัง ในขณะที่ชายวัยกลางคนก็ยืนละล้าละลังอย่างทำอะไรไม่ถูก เขาเริ่มกังวลหนักขึ้นเมื่อจู่ๆขุนนางผู้นี้ก็หยุดนับและเอ่ยบางอย่างขึ้นมาจนเขาต้องรีบดึงสติของตนกลับคืนอย่างรวดเร็ว
“เจ้าคงคิดว่าข้าพูดเล่นสินะ?!”
นั่นทำให้ชายวัยกลางคนรีบเข้าไปในบ้านทันที
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนจากย่านการค้าฝั่งตรงข้ามและแน่นอนว่าคนอื่นๆที่อาศัยอยู่ในสลัมต่างก็รีบวิ่งเข้าไปในบ้านและจัดการปิดประตูหน้าต่างที่มีสภาพผุพังอย่างรวดเร็ว
‘ดูเหมือนขุนนางขี้เมากำลังจะก่อปัญหาบางอย่าง’
พวกเขาทั้งหมดต่างก็รู้สึกเช่นนั้น ชายวัยกลางคนที่กำลังนำคนในครอบครัวออกมาจากในตัวบ้านก็รู้สึกแบบเดียวกัน
เขาเดินออกมาพร้อมกับภรรยา ลูกชายสองคนและลูกสาวอีกหนึ่งคน
“นายน้อยขอรับ..นี่คือครอบครัวของข้าน้อย”
ร่างของชายวัยกลางคนเริ่มสั่นเทาและสมาชิกในครอบครัวของเขาก็ดูน่าสงสาร ในเวลาเดียวกันมังกรดำก็ตะโกนเข้ามาในหัวของเขา
~มีคนถูกขังไว้ในห้องใต้ดินจำนวนมาก..แล้วส่วนใหญ่ก็มีแต่เด็กๆทั้งนั้น!~
เสียงของราอนกดต่ำจนดูน่ากลัว
~พวกเขาตัวผอมแห้ง ข้าคิดว่าพวกเขาต้องหิวมากแน่ๆ ตัวพวกเขาทั้งเหม็นและสกปรก! ข้าคิดว่าพวกเขาคงไม่ได้อาบน้ำมานานแล้วแน่ๆ~
ราอนพูดต่อด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ
~มีคนคอยทุบตีพวกเขาไม่หยุด..ช่างน่าสงสารยิ่งนัก..ข้าต้องการฆ่าคนที่ทำเรื่องชั่วช้านี้ให้หมด!~
จากนั้นเสียงของมันก็เหี้ยมขึ้นทันที
คาร์ลมองไปที่ชายหนุ่มทั้งสองและหญิงสาวอีกหนึ่งคนที่ชายวัยกลางคนอ้างว่าเป็นลูกของตนเอง พวกเขารีบก้มศีรษะต่ำลงราวกับเกรงกลัวขุนนางที่อยู่ตรงหน้า
คาร์ลเอ่ยถามชายวัยกลางคนอีกครั้ง
“มีแค่ห้าคนงั้นรึ?”
ร่างของชายวัยกลางคนสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะรีบโค้งตัวคำนับคาร์ลอย่างรวดเร็ว
“ขอรับ! ข้าน้อยจะพาพวกเขาออกไปตามที่ท่านสั่งเดี๋ยวนี้ขอรับ!”
~พวกเขาไม่ได้เป็นอะไรกัน!ครอบครัวงั้นรึ?โกหกสิ้นดี! พวกเขาส่งสัญญาณให้คนอื่นๆและคนเฝ้าคุกทราบเรื่องนี้แล้วด้วย! ทำไมถึงขี้โกหกเช่นนี้!? เลวมาก! พวกเขาช่างเลวจริงๆ!~
ราอนยังคงทำหน้าที่เป็นเครื่องจับเท็จต่อไปแม้ว่าคาร์ลจะไม่ได้สั่งให้มันทำก็ตาม คาร์ลก้มมองชายวัยกลางคนที่สามารถเก็บอาการของตนได้เป็นอย่างดี การจ้องมองนั้นทำให้ชายวัยกลางคนที่ยังคงก้มหน้าอยู่เริ่มเป็นกังวล
คาร์ลเริ่มยิ้ม
ขุนนางขี้เมากำลังยิ้มอย่างนั้นหรือ?
‘นี่ข้ากำลังเจอกับอะไรอยู่นะ?’
ชายวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะเห็นพ่อบ้านประจำตระกูลเชรย์ซี่ที่ยืนอยู่ระยะไกลๆ พ่อบ้านกำลังส่ายหน้าไปมาราวกับให้เขาดูแลตัวเองไปก่อนอย่าให้เรื่องมันสาวมาที่ตัวเขาได้
เสียงของขุนนางขี้เมาลอดเข้ามาในหูของเขาในตอนนั้น
“ในเมื่อคนในครอบครัวของเจ้าออกมาข้างนอกกันหมดก็คงไม่มีใครอยู่ในนั้นแล้วสินะ”
แม้ว่าจะมีทาสจำนวนมากอยู่ข้างในนั้นแต่ชายวัยกลางคนก็ยังคงปิดปากเงียบจะให้เขาพูดสิ่งที่เขาทำให้ขุนนางผู้นี้ฟังได้อย่างไร แต่สิ่งที่ขุนนางผู้นี้กำลังจะทำมันเหนือความคาดหมายของเขายิ่งนัก
“บ้านพวกนี้ทั้งเก่า..ทั้งทรุดโทรม”
คาร์ลพูดช้าๆโดยทิ้งระยะให้คนฟังได้หายใจติดขัด
“ดังนั้น..ข้าจะทำลายมัน”
“..อะไรนะ?!”
ชายวัยกลางคนคิดว่าตัวเองหูฝาดไปแต่สีหน้าของขุนนางผู้นี้ดูจริงจังจนเขาเริ่มลังเล
“เจ้ามีปัญหางั้นรึ? ข้ากำลังจะสร้างบ้านหลังใหม่ให้กับเจ้า..ยังมีเหตุผลอะไรอีกที่ข้าจะทำลายมันไม่ได้?”
“ป..เปล่าขอรับ…”
อัศวินที่ยืนเงียบอยู่นานก้าวมาข้างหน้าทันที เขายังไม่พูดอะไรออกมาเพียงแค่ชักดาบออกจากมาจากฝักและจ้องเขม็งไปที่ชายวัยกลางคนเท่านั้น
‘นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!’
ชายวัยกลางคนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น
แม้ว่าบ้านมันจะดูเก่าและทรุดโทรมเพียงใดแต่มันก็ถือว่าเป็นบ้านที่ดูดีสำหรับสลัมแล้ว ทำไมเขาถึงคิดที่จะทำลายมันกะทันหันเช่นนี้ล่ะ?