บทที่ 162 ไม่ได้บาดเจ็บถึงสมอง

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 162 ไม่ได้บาดเจ็บถึงสมอง

บทที่ 162 ไม่ได้บาดเจ็บถึงสมอง

“เจ้าเด็กคนนี้ พูดอะไรโฉดเฉากัน ถ้าข้าไม่เชื่อเจ้า จะให้ไปเชื่อเฉาซื่อหรือไร?” น้ำเสียงของท่านป้าจางหนักอึ้งอยู่บ้าง

“ท่านป้าจาง ข้าไม่ขอปิดบังท่านแล้วกัน เงินนั่นเป็นเงินที่ข้าหามาด้วยตัวเองเจ้าค่ะ!” กู้เสี่ยวหวานเปิดบทสนทนา

“แล้ว…เหตุใดจึงมีมากขนาดนั้น!” ท่านป้าจางพูดพร้อมกับทอดถอนใจเล็กน้อย

เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ท่านป้าจางเคลือบแคลงสงสัย ในคืนนั้นกู้เสี่ยวหวานจึงหยิบตั๋วเงินหลายร้อยตำลึงออกจากถุงเงิน ซึ่งทำให้ท่านป้าจางตกใจมากจริง ๆ

“ท่านป้าจาง ท่านยังจำได้ไหมว่าท่านเคยบอกพวกเราเรื่องที่หอหุยชุนกำลังเอาวัตถุดิบยามาปรับใช้ใหม่ในราคาสูง”

“นี่…จำได้สิ ข้าจำได้! ตอนนั้นเจ้าเพิ่งดีขึ้นได้ไม่นาน ข้ามาบ้านเจ้าเพื่อส่งแป้งหมี่ขาว แค่บอกกับพวกเจ้าไปอย่างนั้นเอง พวกเจ้าจะได้ไม่เข้าไปในภูเขาลึก” ท่านป้าจางเหมือนจะนึกถึงอะไรบางอย่าง กล่าวด้วยความกลัวว่า “พวกเจ้าเข้าไปในภูเขาลึกแล้วใช่หรือไม่?”

กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า “อื้ม ครั้งนั้นข้าขุดเจอรากโสม ขายได้ตั้งหลายร้อยตำลึงเลยเจ้าค่ะ!”

“มิน่าเล่า!” ท่านป้าจางรู้สึกโล่งใจ ผงกศีรษะหงึกหงัก นางรู้แล้วว่าเหตุใดกู้เสี่ยวหวานถึงมีเงินมากมายขนาดนั้น

“เอ๊ะ เช่นนั้นก็เป็นแมวตาบอดเจอหนูตายแล้ว*[1] น่ะสิเจ้าคะ ใครเขาเข้าไปในภูเขาครั้งเดียวแล้วได้สัมผัสรากโสมกัน! เงินนั่นก็เป็นเรื่องบังเอิญเหมือนกัน แค่โชคดีเท่านั้นเอง!” กู้เสี่ยวหวานจะทำเป็นว่าตัวเองไม่ได้ขุดเจอรากโสม ไม่ได้รับเงินห้าร้อยตำลึงนั่นแล้วกัน

*[1]เปรียบเทียบว่าโชคเข้าข้างหรือจังหวะบังเอิญพอดี

กู้เสี่ยวหวานไม่ได้บอกที่มาของเงินหมดเปลือก กล่าวคือ นางเลือกพูดอะไรที่ง่ายที่สุด กู้เสี่ยวหวานไม่ได้บอกเรื่องที่ไปร้านจิ่นฝูเพื่อขายตำราอาหาร ประการแรก จะทำให้ท่านป้าจางเกิดคลางแคลงใจ ประการที่สอง กู้เสี่ยวหวานเป็นเพียงดรุณีน้อยวัยแปดขวบ ท่านป้าจางรู้ตื้นลึกหนาบาง ซึ่งเมื่อก่อนกู้เสี่ยวหวานทำสิ่งเหล่านี้ไม่เป็น หากเผลอพลั้งปากพูดจนแพร่สะบัดออกไป กู้เสี่ยวหวานคงได้เป็นปีศาจในสายตาผู้อื่น

“ใช่แล้ว เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายทั้งนั้น ข้าเองก็ไม่ได้หวังจะรวยทางลัดด้วยการทำเช่นนี้หรอก!” ท่านป้าจางคิดว่าสมเหตุสมผล “พวกเรามาใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายกันจะดีกว่า”

“อื้ม ท่านพูดถูกเจ้าค่ะ!” กู้เสี่ยวหวานพยักหป้า เห็นด้วยกับสิ่งที่ท่านป้าจางกล่าว

“เสี่ยวหวาน เจ้าคงไม่มีเงินติดตัวแล้วกระมัง?” ท่านป้าจางเอ่ยด้วยความทุกข์ใจ “เงินจากการขายหน่อไม้ครั้งก่อนยังมีอยู่เลย ตอนนี้เจ้าจำเป็นต้องใช้เงิน เงินพวกนี้เจ้ารับเอาไว้ก่อน”

ป้าจางพูดพลางหยิบถุงผ้าออกมาจากอก เปิดถุงผ้าชั้นที่สามทางด้านซ้ายและขวา ภายในถุงผ้ามีก้อนเงินสามก้อน รวมแล้วเป็นเงินสามสิบตำลึงเงิน

เมื่อเห็นท่านป้าจางยัดเงินเข้าไปในอ้อมอกนาง กู้เสี่ยวหวานจึงรีบดันออก “ท่านป้าจาง เงินนี้ข้ารับไว้ไม่ได้เจ้าค่ะ”

“เอ๋ นี่ก็นับว่าเป็นเงินที่เจ้าหามาเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า เราจะหาเงินถึงสามสิบตำลึงได้อย่างไร ข้าเข้าใจ เจ้าอยากให้ตัวเองอยู่ดีกินดี และอยากให้ครอบครัวของข้ามีความเป็นอยู่ดีขึ้นสักหน่อย แต่ว่าข้าเห็นพวกเจ้าใช้ชีวิตยากลำบากแบบนี้ ข้าก็ไม่สบายใจ!” ท่านป้าจางยิ่งพูดยิ่งเศร้าใจ หยดน้ำตาร่วงเผาะ ๆ

คล้ายว่าจะนึกถึงเถียนซื่อกับกู้ฉวนฟู่เข้า ทั้งสองเป็นคนจิตใจดี ราชันแห่งสรวงสวรรค์ตาบอดหรืออย่างไร

คนดีอายุสั้น คนชั่วกลับอายุยืนเป็นพันปี!

ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย!

ยิ่งท่านป้าจางคิดเรื่องนี้มากเท่าไรก็ยิ่งเวทนาและโมโหมากขึ้นเท่านั้น! เฉาซื่อกับบ้านใหญ่ตระกูลกู้ใช่อำนาจข่มเหงรังแกผู้อื่นชัด ๆ! กลั่นแกล้งคู่สามีภรรยารองตระกูลกู้จนด่วนจากไป เหยียบย่ำทำลายครอบครัวนี้ ยังเป็นคนอยู่หรือไม่?

“ท่านป้าจาง ท่านอย่าได้เศร้าใจไปเลยเจ้าค่ะ!” กู้เสี่ยวหวานพูดอย่างสบาย ๆ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ยิ่งทำให้กู้เสี่ยวหวานมั่นใจมากขึ้น

ต่อให้ทุบหม้อขายเหล็ก*[2] ก็ต้องให้กู้หนิงอันกับกู้หนิงผิงร่ำเรียนต่อไป ทำไมน่ะหรือ? เพราะถ้าไม่เรียนหนังสือ มีความเป็นไปได้สูงที่จะต้องอยู่ในหมู่บ้านอู๋ซีแห่งนี้ไปตลอดชีวิต ยอมหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินเสียยังดีกว่า แสดงให้เห็นว่าพวกเขายังมีต้นทุนชีวิตอยู่

*[2] หมายถึง การทำทุกวิถีทางเพื่อบางสิ่งบางอย่าง

กลัวแต่ว่าไม่รู้จะไปทำไร่ทำนาที่ไหน!

“จะไม่ให้ข้าเศร้าใจได้อย่างไร!” ท่านป้าจางทั้งโมโหและชิงชัง “พวกครอบครัวลุงใหญ่กับอาสามของเจ้าทำเกินไปจริง ๆ ไหนจะหัวหน้าหมู่บ้านเหลียงอีกคน ถือหางฝ่ายนั้นแบบไม่มีเหตุผลเหลือเกิน”

“ท่านป้าจาง ข้าปลงตกแล้วเจ้าค่ะ” กู้เสี่ยวหวานเอ่ยราบเรียบ

เมื่อท่านป้าจางได้ฟังถ้อยคำนี้ สายตาก็จับจ้องกู้เสี่ยวหวานตรง ๆ

ข้าปลงตกแล้ว คำสี่คำนี้กลับออกมาจากปากเด็กวัยแปดขวบ ความสิ้นหวังและความสงบนิ่งเช่นนั้น ทำเอาท่านป้าจางพูดไม่ออกจริง ๆ กู้เสี่ยวหวานที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงทำให้นางประหลาดใจ

“เสี่ยวหวาน เจ้าเพิ่งอายุไม่เท่าไร บอกว่าปลงตกแล้วอะไรกัน ข้าไม่ชอบฟัง!” ไม่ว่าอย่างไร ท่านป้าจางยังคงอยากให้กำลังใจกู้เสี่ยวหวาน นางเพิ่งอายุแปดขวบ กลับสุขุมเป็นผู้ใหญ่มากขนาดนั้น ทำให้หัวใจท่านป้าจางทนรับไม่ไหว

“ท่านป้าจาง ข้ารู้ว่าท่านทำเพื่อข้า บุญคุณของท่าน ข้าจะจดจำมันไว้ในใจตลอดไปเจ้าค่ะ” กู้เสี่ยวหวานไม่อยากคุยในประเด็นเมื่อครู่ต่ออีกแล้ว นางจับมือท่านป้าจาง กล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ “คนที่ช่วยเหลือเราอย่างเงียบ ๆ คอยอยู่เคียงข้างมาตลอด ก็มีเพียงท่าน พี่ฉือโถว และท่านลุงจาง! วันหน้า พวกเราจะตอบแทนท่านแน่นอนเจ้าค่ะ”

“เด็กโง่ พูดเหลวไหลอะไรกัน!” ท่านป้าจางเอ่ยอย่างขุ่นเคืองอยู่บ้าง “ข้าไม่ต้องการให้พวกเจ้าตอบแทนอะไรข้า ขอแค่พวกเจ้าพี่น้องมีความสุข ข้าก็พอใจแล้ว! หากวันหนึ่งข้าไปพบพ่อแม่ของพวกเจ้า ข้าก็จะได้ไม่ละอายใจ!”

กู้เสี่ยวหวานไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ ในใจก็อดรู้สึกสับสนไม่ได้

ทั้งสองนั่งที่โต๊ะและพูดคุยกัน

ในเวลานั้นเอง เสียงผะแผ่วก็ดังแว่วมาจากบนเตียง “ท่านพี่ ท่านพี่…”

กู้เสี่ยวหวานรีบกระโดดลงจากเก้าอี้ สาวเท้าวิ่งไปตรงหน้าเตียง กู้เสี่ยวอี้ลืมตาขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นเพียงประกายในดวงตา เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวาน นัยน์ตาก็เปิดขึ้นเล็กน้อย พูดด้วยความสบายใจ “ท่านพี่ ข้าอยากดื่มน้ำ”

ในช่วงหลายวันมานี้ กู้เสี่ยวอี้นอนหลับสนิทมาโดยตลอด แม้จะตื่นขึ้นมาเป็นครั้งคราว แต่ก็เป็นเพียงชั่วครู่ อีกทั้งไม่เคยเอ่ยปากพูดเลย

นี่เป็นครั้งแรกที่กู้เสี่ยวอี้เปิดปากพูด แถมยังพูดมากด้วย รู้ว่าตัวเองกระหายน้ำ ต้องการดื่มน้ำ

ดูเหมือนว่ากู้เสี่ยวอี้จะไม่ได้บาดเจ็บถึงสมอง พอกู้เสี่ยวหวานคิดถึงจุดนี้ ในใจพลันตื่นเต้นยินดี กล่าวละล่ำละลักว่า “ได้ ได้สิ ข้าจะไปเอาน้ำมาให้เจ้าประเดี๋ยวนี้!”

ท่านป้าจางเดินมาพร้อมกับน้ำถ้วยหนึ่งในมือ ก่อนจะยื่นให้กู้เสี่ยวหวาน “เสี่ยวหวาน รับไปสิ ข้าจะออกไปเอาน้ำข้าวต้มมาให้ ใกล้ได้เวลากินยาแล้ว”

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

โชคดีที่เสี่ยวอี้ไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรง ขอให้เด็ก ๆ บ้านนี้โชคดีบ้างเถอะค่ะ ชีวิตอย่าสู้กลับแรงนักเลย

ไหหม่า(海馬)