ตอนที่ 207 วางแผน กระบี่บนสายพิณ (3)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 207 วางแผน กระบี่บนสายพิณ (3)

มั่วเหนียงพูดถึงตรงนี้ นางก็คิดถึงความดีของฮ่องเต้ “เอ่ยถึงเรื่องนี้ วันข้างหน้าคุณหนูต้องขอบพระทัยฮ่องเต้นะเจ้าคะ ถึงอย่างไรท่านกั๋วกงก็เคยช่วยฮ่องเต้ไว้ อีกทั้งตระกูลเฟิงก็เป็นถึงตระกูลขุนนางขั้นหนึ่ง เมื่อเรื่องไปถึงท้องพระโรง ฮ่องเต้ทรงเห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีต พระองค์จึงให้เวลาหนึ่งปี มีราชโองการว่า ‘หากเจอตัวบุตรีภรรยาเอกของท่านกั๋วกงภายในหนึ่งปี ทุกอย่างจะยังคงเป็นเหมือนเดิม แต่หากไม่พบตัวบุตรีภรรยาเอก เช่นนั้นก็ทำตามที่ตระกูลมั่วบอก รับบุตรบุญธรรมให้แก่ท่านกั๋วกง อย่างน้อยจะได้คนคอยกราบไหว้บรรพบุรุษ’”

หลังจากพูดถึงฮ่องเต้จบลง มั่วเหนียงก็กัดฟันกรอดแล้วพูดถึงคนตระกูลมั่ว “ฝ่าบาททรงแสดงท่าทีแล้ว แต่คนตระกูลมั่วกลับมีแผนการมากมาย แผนการที่หนึ่งไม่สำเร็จก็ใช้แผนการที่สอง ยื่นฎีกาบอกว่าท่านกั๋วกงช่างน่าสงสาร ทำสงครามสร้างคุณงามความดีมาทั้งชีวิต แต่กลับไม่มีคนคอยกราบไหว้ ทั้งยังบอกอีกว่าลูกหลานสามคนที่มากความสามารถของตระกูลยินดีที่จะกราบไหว้บูชาป้ายวิญญาณโดยไร้บรรดาศักดิ์ เฝ้าดวงวิญญาณท่านกั๋วกงหนึ่งปี ฮ่องเต้ไม่รู้ว่าคนตระกูลมั่วไร้ยางอาย พระองค์ทรงตื้นตันจนน้ำตารินไหล ทรงอนุญาตในทันที หลังจากนั้นลูกหลานแซ่มั่วสามคนนั่นก็ได้พาองครักษ์ย้ายเข้าไปอยู่ในจวนมั่วอย่างไร้ซึ่งความเกรงใจ…”

สีหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยแปรเปลี่ยนเล็กน้อย “เช่นนั้นก็หมายความว่า เวลานี้อำนาจในจวนกั๋วกงไม่ได้อยู่ในมือของหมัวมัวและพ่อบ้านแล้วล่ะสิ”

สีหน้าของมั่วเหนียงแข็งกร้าว “แม้ภายนอกอำนาจในจวนกั๋วกงจะไม่ได้อยู่ในมือของบ่าว แต่เส้นสายที่เป็นรากฐานยังคงอยู่ ขอเพียงคุณหนูกลับเมืองหลวงอย่างราบรื่น ไม่ว่าพวกเขาจะทำเช่นไรก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ รอให้คุณหนูยืนยันตัวตนให้ถูกต้อง จากนั้นบ่าวกับพ่อบ้านใช้กลอุบายอีกเล็กน้อย ต้องขับไล่สามคนนั้นออกจากจวนกั๋วกงได้แน่นอนเจ้าค่ะ”

หลังจากตอบคำถามเสร็จ มั่วเหนียงคุกเข่าลงบนพื้น “ทำให้คุณหนูต้องเดือดร้อน ในตอนนั้นใช้แผนการต่ำช้าเช่นนี้ ให้เสี่ยวเหนียนตายแทน ก็ล้วนเป็นเพราะสถานการณ์บีบบังคับ บ่าวคิดเพียงว่าอยากจะรีบหลุดพ้นจากการถูกกักขังแล้วรีบกลับเมืองหลวง กลับจวนกั๋วกง เมื่อกลับไปถึงเรื่องราวทุกอย่างย่อมคลี่คลายไปโดยปริยาย แต่คิดไม่ถึงเลยว่า เพราะเหตุนี้ทำให้คุณหนูต้องสูญเสียความทรงจำ…”

“ลุกขึ้นเถอะ คราวหน้าห้ามคุกเข่าอีก” คนที่คิดเผื่อตนด้วยทั้งหัวใจที่มี ปฏิบัติต่อตนเยี่ยงลูกสาวในไส้ จะให้ตนตำหนิได้อย่างไร! ยิ่งไปกว่านั้น หมัวมัวก็ไม่ได้ทำสิ่งใดผิด

เรื่องของจวนกั๋วกง เรื่องของตระกูลมั่ว ภายในใจของมั่วเชียนเสวี่ยพอจะลำดับได้แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงพูดขึ้น “หมัวมัว หมัวมัวดูให้หน่อยสิว่าเกิดอะไรขึ้นกับลมปราณของข้า”

ลมปราณของนาง หนิงเซ่าชิงเคยตรวจจับชีพจรให้ ทั้งยังสอนวิธีดึงลมปราณกับนาง ทว่าก็ไม่อาจกระตุ้นลมปราณได้ แม้กระทั่งหมอหวังก็บอกว่าลมปราณของนางแปลกประหลาดอย่างมาก ถึงจะเปิดจุดแล้ว แต่ยังคงเหมือนน้ำตาย ไม่อาจเคลื่อนไหวได้

ในเมื่อมั่วเหนียงดูแลปรนนิบัติรับใช้นางตั้งแต่เล็ก เช่นนั้นเรื่องลมปราณ หมัวมัวต้องรู้อย่างละเอียดแน่นอน

เป็นจริงตามคาด…

ทันทีที่มั่วเหนียงได้ยินนางเอ่ยถึงลมปราณ สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความตกใจและกังวล “คุณหนูสามารถใช้ลมปราณได้ด้วยตนเองแล้วหรือเจ้าคะ สุขภาพร่างกายของคุณหนูเป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ”

“ร่างกายของข้าไม่เป็นเช่นไร แต่ว่ายังคงไม่อาจใช้ลมปราณได้…” ด้วยเหตุนี้ มั่วเชียนเสวี่ยจึงเล่าเรื่องที่หมอหวังเปิดลมปราณให้ฟัง พร้อมกับกล่าวชื่นชมทักษะทางการแพทย์ของหมอหวัง

มั่วเหนียงคิดว่าหมอหวังรักษาโรคประหลาดของนางจนหายดีแล้ว จึงดีใจอย่างมาก หมัวมัวหยิบตำราหนึ่งเล่มออกมาจากเสื้อของนาง มอบให้มั่วเชียนเสวี่ย “แม้ว่าฮูหยินจะเกิดในตระกูลขุนนางขั้นหนึ่ง แต่เป็นจอมยุทธ์หญิงที่แท้จริง ตอนสาวๆ ฮูหยินพาบ่าวขึ้นเหนือล่องใต้ ด้วยเหตุนี้จึงบังเอิญพบกับท่านกั๋วกง…”

หลังจากนั้นหมัวมัวก็เล่าอย่างออกรส นางเล่าเรื่องราวความลำบากตรากตรำต่างๆ ของบุตรีภรรยาเอกตระกูลขุนนางที่ได้แต่งงานกับทหาร มั่วเชียนเสวี่ยย่อมตื้นตัน ทางด้านหมัวมัวเองก็เล่าด้วยน้ำตา ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยประทับใจยิ่งกว่าเดิม

“วิชากำลังภายในของฮูหยินเป็นผู้วิเศษท่านหนึ่งถ่ายทอดให้ คุณหนูฝึกวิชายุทธ์นี้ตั้งแต่เด็ก ตอนที่ฮูหยินฝากตำราเล่มนี้เอาไว้กับบ่าว ฮูหยินไม่ต้องการให้คุณหนูกลายเป็นปรมาจารย์ในยุทรจักร แค่ต้องการให้คุณหนูใช้ตำรานี้ในการฝึกตนให้แข็งแรง…ขอเพียงคุณหนูฝึกพลังภายในตามตำราเล่มนี้ ก็จะสามารถใช้กำลังภายในได้…”

เรื่องเคล็ดวิชาได้ข้อสรุปแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยหยั่งเชิงหมัวมัวทางอ้อม พบว่าหมัวมัวไม่เคยได้ยินแม้แต่เรื่องการมีอยู่ของป้ายไม้ดำ ด้วยเหตุนี้จึงบอกกับหมัวมัวว่าตนเหนื่อยแล้ว นั่งหลับตาเอนตัวพิงรถม้าแล้วเริ่มใช้ความคิด

มั่วเชียนเสวี่ยคาดว่า เรื่องใหญ่อย่างเรื่องป้ายไม้ดำ มั่วเหนียงเองก็ไม่มีสิทธิ์รู้

เมื่อเห็นมั่วเชียนเสวี่ยหลับตาเอนตัวพิงรถม้า มั่วเหนียงจึงไม่ได้รบกวนนางอีก เพียงแค่หยิบผ้าห่มมาห่มให้นาง แล้วเฝ้าอยู่ข้างกาย

กล่าวโดยสรุป กระทั่งเวลานี้ ความเป็นจริงนางมีศัตรูไม่มาก ศัตรูที่เห็นชัดก็มีเพียงตระกูลมั่วเท่านั้น

แต่นางมีไพ่ในมือไม่น้อย ความรู้ที่ตกตะกอนมาจากอารยธรรมปัจจุบันย่อมไม่ด้อยไปกว่าคนสมัยโบราณ ขอเพียงนางตั้งใจ ไม่มีอุปสรรคใดที่ไม่อาจฟันฝ่าไปได้

ในช่วงเวลาคับขัน นางมีตระกูลเจี่ยน ตระกูลซินคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ในอนาคตนางก็ยังมีถงจื่อจิ้งซึ่งเป็นผู้กุมอำนาจตระกูลถง ในสถานการณ์เลวร้ายที่สุด นางก็ยังมีเงินทอง นางสามารถใช้วิธีการของอารยธรรมสมัยใหม่ในการสร้างอำนาจของตนขึ้นอีกครั้ง

แค่ตระกูลเล็กๆ อย่างตระกูลมั่ว ยังไม่คู่ควรที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของนาง

กลัวแค่ว่า เบื้องหลังจะมีคนคอยบงการ!

……

จวนหนิง เมืองหลวง

ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ภายในห้องอบอุ่น สตรีชั้นสูงนั่งอยู่ด้านใน หมัวมัวคนหนึ่งเดินมาทำความเคารพ แล้วพูดเตือน “ฮูหยินเจ้าคะ ได้เวลาน้อมทำความเคารพนายท่านแล้วเจ้าค่ะ”

“อืม ไปกันเถอะ”

เซี่ยซื่อส่งเสียงในลำคอด้วยความเย้ยหยัน เหยียดกายลุกขึ้น เดินออกไปด้านนอก

คิดถึงเมื่อครั้นในอดีต นางทำทุกวิถีทางเพื่อแต่งเข้ามาในตระกูลนี้ ไม่เพียงแค่เพราะตำแหน่งหัวหน้าตระกูลของเขา แต่เพราะนางชื่นชอบเขาจากใจจริง

นางทำทุกวิถีทาง เอาใจเขาด้วยความระมัดระวังและอ่อนโยน แต่เขาเล่า?

ในใจของเขา นอกจากตระกูลหนิงแล้ว ก็คือบุตรชายที่เกิดโดยภรรยาเอกผีร้ายตนนั้น ไม่เคยมีที่สำหรับนางมาก่อน

เซ่าอวี่บุตรชายที่ตนกับเขา เขาไม่เคยชายตามองแม้แต่น้อย ไม่เคยยิ้ม ไม่เคยชื่นชม ไม่เคยมองด้วยแววตาให้กำลังใจเลยสักครั้ง

ออกมาจากเรือน เดินลัดเลาะผ่านสวนดอกไม้ เมื่อเดินออกจากซุ้มประตู ก็จะเห็นห้องหรูหราอยู่ด้านหน้า

นั่นคือห้องที่หัวหน้าตระกูลหนิงมักจะใช้สำหรับทำงาน โดยปกติเมื่อทำงานจนถึงค่ำเขาก็จะนอนค้างในห้องนี้ ตั้งแต่คุณชายใหญ่หายตัวไปเมื่อหนึ่งปีก่อน หลังจากหัวหน้าตระกูลล้มป่วยเป็นโรคซังหาน[1] สุขภาพหัวหน้าตระกูลย่ำแย่ลง นับจากคืนนั้นก็ไม่กลับเรือนในอีกเลย เขาอาศัยอยู่ในเรือนหลังนี้

กระทั่งต้นปี สุขภาพร่างกายยิ่งย่ำแย่ ถึงขั้นไม่เดินออกจากเรือนแม้แต่ก้าวเดียว

มีเสียงไอดังขึ้นภายในเรือน เซี่ยซื่อเดินนำผอจื่อที่คอยติดตามอยู่ด้านหลัง ใช้ผ้าปิดจมูก เดินเข้าไปช้าๆ

หนิงไคบ่าวรับใช้ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกห้องหนังสือ เมื่อเห็นเซี่ยซื่อเดินมา เขายิ้มแล้วเดินไปต้อนรับ โน้มตัวทำความเคารพ “น้อมเคารพฮูหยิน”

“อืม ลุกขึ้นเถอะ” เซี่ยซื่อผายมือบอกให้บ่าวรับใช้ลุกขึ้น จากนั้นใช้ผ้าปิดจมูก คล้ายกลัวจะติดโรคอย่างไรอย่างนั้น นางเอ่ยพูด “นายท่านดีขึ้นบ้างหรือยัง”

หนิงไคตอบ “นายท่านยังคงเหมือนเดิมขอรับ”

หนิงไคพูด พร้อมกับชำเลืองตาให้ฮูหยินเพื่อบอกสถานการณ์ด้านใน

เสียงไอในห้องดังขึ้นไม่หยุด ทั้งยังมีเสียงต่างๆ ของบ่าวรับใช้ดังเล็ดลอดออกมา

เซี่ยซื่อพูดต่อ “นายท่านกินยาตามเวลาหรือไม่”

หนิงไคตอบ “กินแล้วขอรับ ทว่าไม่เห็นผลแต่อย่างใด”

เซี่ยซื่อคล้ายจะพอใจกับคำตอบนี้มาก “อืม ข้าเข้าใจแล้ว ปรนนิบัติรับใช้นายท่านให้ดี”

“ขอรับ”

หัวหน้าตระกูลหนิงนั่งอยู่บนตั่งไม้ด้วยความสง่างาม สีหน้านิ่งเฉย มีความน่าเกรงขามแผ่ซ่านออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีอาการไอแม้แต่น้อย ด้านล่างมีคนยืนอยู่สองคน ท่าทีทรงพลังเช่นเดียวกัน ทั้งสองรูปร่างสูงโปร่ง มีเพียงจั่งสุยที่ยืนอยู่ข้างประตูส่งเสียงไอซ้ำแล้วซ้ำเล่า

[1] โรคซังหาน หมายถึงโรคที่เกิดจากพิษภัยภายนอกทำให้มีไข้ เกิดจากถูกพิษเย็น มีอาการสำคัญได้แก่ ไข้ ไม่มีเหงื่อ ปวดศีรษะ