ตอนที่ 93-1 มัดใจท่านป้า
จีหว่านไม่เคยพบเด็กน้อยที่งดงามเช่นนี้มาก่อน แล้วก็ไม่เคยเห็นน้องชายอุ้มเด็กคนใดเช่นนี้ด้วย ความจริงแล้วจีหมิงซิวไม่ใช่คนชอบเอ็นดูผู้อื่นนัก นิสัยถึงขนาดเย็นชาอยู่เล็กน้อย สิ้นปีวันตรุษในจวนมีเด็กน้อยมาเยือนก็มักถูกเขารังเกียจอยู่เสมอ อย่าพูดถึงให้เขาอุ้มเลย ไม่ถูกเขาทำหน้านิ่งใส่จนหวาดผวาร้องไห้โฮก็ไม่เลวแล้ว

แม่นางน้อยผู้นี้เหตุไฉนจึงหลับอยู่ได้ ไม่ใช่ว่ากลัวจนสลบไปหรอกนะ

แต่เมื่อมองสีหน้าของจีหมิงซิว ความเอ็นดูที่แผ่ซ่านออกมาอย่างไม่ตั้งใจนั่นก็ทำให้จีหว่านคิดว่าน้องชายน่าจะไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายกลัว

สายตาของจีหว่านจับจ้องบนรอยฝ่ามือน้อยสีดำตรงหน้าอกของจีหมิงซิว น้องชายเป็นคนรักสะอาดเป็นที่สุด ถึงขนาดยอมให้เด็กน้อยคนหนึ่งบังอาจทำเช่นนี้กับร่างกายเขา เด็กคนนี้เป็นผู้ใดกัน

“เด็กน้อยจากที่ใด” จีหว่านเอ่ยถาม

เสียงนางไม่เบานัก ยังดีที่วั่งซูหลับสนิทยิ่ง ฟ้าผ่าก็ไม่ตื่น ครั้งก่อนเฉียวเวยสู้กับคนชุดดำและอู๋ต้าจินที่บ้าน จิ่งอวิ๋นตื่นเพราะเสียงดัง แต่นางยังนอนหลับอุตุ เฉียวเวยแบกนางข้ามเขาเข้าภู สือชีอุ้มนางเหาะข้ามหลังคา นางก็ยังไม่ตื่น จีหว่านพูดไม่กี่คำย่อมมิอาจปลุกนางตื่นได้

จีหมิงซิวหยิกดวงหน้าน้อยอวบอ้วนของนาง “ลูกข้า”

“ลูกเจ้าหรือ” จีหว่านทำหน้าไม่อยากเชื่อ

จีหมิงซิวมองนาง สีหน้าสงบนิ่ง “ลูกข้าเอง”

จีหว่านเหล่มองเขา “เจ้ามีลูกโตขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใด เหตุใดข้าไม่รู้”

“ข้าก็เพิ่งรู้ไม่นานมานี้ว่าข้ามีลูกอยู่ข้างนอกด้วย” จีหมิงซิวเอ่ยโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด

จีหว่านหัวเราะฮ่าๆ “ล้อเล่นก็อย่าให้มันเกินไปนัก ข้ามิใช่เด็กสามขวบ อย่าคิดว่าหาเด็กมาส่งเดชสักคนแล้วจะหลอกข้าได้ ข้าขอบอกเจ้า ไม่มีทางเสียหรอก! วันนี้เจ้าทำให้คุณหนูจวนแม่ทัพตกใจจนหนีไปได้ แต่เมืองหลวงยังมีคุณหนูจวนเจ้ากรม คุณหนูจวนกั๋วกง คุณหนูจวนมหาบัณฑิตอยู่อีก…เจ้าเก่งนักก็ลองจ้างเด็กน้อยสักคนมาขู่พวกนางให้หนีไปจนหมดดูสิ แต่ข้าขอเตือนเจ้าไว้ เจ้าอายุยี่สิบเจ็ดปีแล้ว หากไม่แต่งงานมีบุตรอีก ตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลจีคงต้องเปลี่ยนคนแล้ว”

คำพูดนี้มิใช่จีหว่านขู่ให้กลัว หากตัดฐานะอัครมหาเสนาบดีแห่งต้าเหลียงของจีหมิงซิวออกแล้ว เขาก็ยังมีฐานะอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือหลานคนโตของบ้านหลักตระกูลจี ตระกูลจีเป็นตระกูลทรงอิทธิพลมาหลายร้อยปี มรดกตกทอดของพวกเขามิอาจนำไปเปรียบกับตระกูลธรรมดาได้ จีหมิงซิวเป็นถึงหลานชายคนโตของบ้านใหญ่ย่อมมีหน้าที่สืบต่อสายเลือดตระกูลจีต่อไป แต่เขาอายุปูนนี้แล้วกลับยังไม่แต่งงาน ทำให้คนบางคนสงสัยจริงๆ ว่าเขาไร้ความสามารถในบางด้านหรือไม่

มรดกของตระกูลจีย่อมมิอาจส่งมอบแก่บุรุษผู้ไม่อาจให้กำเนิดทายาท

เหล่าไท่ไท่รีบร้อนจะจับคู่เขากับเฉียวอวี้ซีเช่นนี้ มิใช่ว่ากลัวเขาจะสูญเสียตำแหน่งผู้สืบทอดหรือไร

ทว่าองค์จักรพรรดิไม่รีบร้อนแต่ขันทีกลับร้อนรน นางกับเหล่าไท่ไท่กลัดกลุ้มจนผมหงอกไปหลายเส้น แต่เขากลับทำตัวราวกับไม่มีปัญหาที่ตรงไหน ทั้งวันคิดสารพัดวิธีมาหลอกพวกนาง พวกนางสบายนักหรือ จริงๆ เลย!

จีหมิงซิวเอ่ยอย่างสบายๆ “ไม่ใช่ว่ายังเหลือเวลาอีกสามปีหรือ”

“ตอนเจ้าอายุยี่สิบปีก็พูดกับข้าเช่นนี้ มิใช่ยังเหลืออีกสิบปีหรือ ตอนอายุยี่สิบห้าปีก็พูดว่า มิใช่ว่ายังเหลืออีกห้าปีหรือ อ้อ ตอนนี้เจ้าจะบอกข้าว่า มิใช่ว่ายังเหลืออีกสามปีหรือ แล้วสามปีหลังจากนี้เล่า เจ้าเตรียมจะบอกว่าอย่างไร” จีหว่านโกรธจนกลอกตาใส่เขา

จีหมิงซิวมองเจ้าตัวน้อยในอ้อมแขน “ตรงนี้ก็มีคนหนึ่งแล้วมิใช่หรือไร”

“อย่ามาหลอกข้า!”

“ไม่ได้หลอกท่าน”

จีหว่านมองเจ้าตัวน้อยที่นอนน้ำลายยืด แล้วมองน้องชายของตนเอง ไม่รู้เพราะเหตุใดนางจึงนึกถึงน้องชายตอนยังเล็ก ความจริงเขาก็เป็นเจ้าทึ่มตัวน้อยแสนซื้อบื้อคนหนึ่ง แต่ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นพอโตกลับโตมาเป็นจิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์ตัวหนึ่ง

“ใช่…ของเจ้าจริงหรือ” จีหว่านถามอย่างลังเล

“อืม”

จีหว่านหรี่ตาลง “กับใคร”

“แม่ของนาง” จีหมิงซิวตอบอย่างสบายๆ

จีหว่านเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าย่อมทราบว่าเป็นแม่ของนาง! ข้ากำลังถามเจ้าว่า แม่ของนางคือผู้ใด คุณหนูบ้านไหน อายุเท่าไร ตายแล้วหรือยังอยู่ พวกเจ้าสองคนพบกันได้อย่างไร!”

จีหมิงซิวชำเลืองมองนาง แล้วเอ่ยขึ้นเสียงราบเรียบ “ท่านถามมากไปหน่อย”

จีหว่านยังไม่เชื่อว่าเจ้าตัวน้อยคนนี้เป็นของน้องชายตน แต่ในใจนางปรารถนาอย่างยิ่งยวดให้อีกฝ่ายใช่ ประการแรกเด็กคนนี้เกิดมาน่ารักนักจริงๆ ประการที่สองตัวตนของนางอย่างน้อยก็พิสูจน์ได้ว่าความสามารรถในด้านนั้นของน้องชายไม่มีปัญหา ผู้อาวุโสในตระกูลเหล่านั้นที่โวยวายจะให้เปลี่ยนผู้สืบทอดจะได้หยุดเสียที

จีหว่านดวงตาวูบไหว “มารดานางคือผู้ใด ข้าต้องการพบนาง”

กล่าวถึงเฉียวเวย หลังจากลากบุตรชายหนีออกมาจากห้องส่วนตัวแล้วก็ลงมาชั้นล่างจากอีกฝั่งหนึ่งราวกับเหาะ แล้วเผ่นเข้าไปในตรอกราวกับเหาะเช่นเดียวกัน พอนั่งบนรถม้าเสร็จก็ให้สารถีเฒ่าขับรถม้าจากไป

เรื่องนี้จริงๆ แล้วจะโทษที่นางแผ่นแน่บไม่ได้ จีหว่านดุร้ายเกินไป หากจัดการไม่ดีแล้วนางต้องการพบหน้ามารดาของวั่งซูขึ้นมา ถ้าเช่นนั้นนางคิดจะหนีก็หนีไม่รอดแล้ว

ล้วนต้องโทษเจ้าหมอนั้น ตนเองช่วยเขาจัดการคุณหนูเมิ่งแล้ว เขากลับลักตัวบุตรสาวของนางไป!

อยากตีเขาให้ตายจริงๆ!

จิ่งอวิ๋นมองใบหน้าที่ดำจนราวกับจะกลายเป็นก้นหม้อของมารดา แล้วถามอย่างมึนงง “ท่านแม่ น้องสาวยังจะกลับมาหรือไม่”

แม้น้องสาวมักจะยึดครองมารดาไว้ผู้เดียว ยึดเสี่ยวไป๋ไว้ผู้เดียว ทั้งเกียจคร้านทั้งโง่เขลา แต่เขาก็ชอบน้องสาวยิ่งนัก ไม่อยากแยกจากนาง

เฉียวเวยลูบศีรษะบุตรชาย “น้องย่อมต้องกลับมา นางเพียงช่วยงานท่านลุงหมิงเรื่องหนึ่งเท่านั้น รอช่วยเสร็จแล้ว ท่านลุงหมิงก็จะส่งนางกลับมา”

หากไม่ส่งคืนมา ตนจะไปขโมยนางกลับมาเอง!

บุตรสาวของนาง ผู้ใดก็อย่าคิดจะมาแย่งไปจากนาง!

บิดาแท้ๆ ก็ไม่ได้

นับประสาอะไรกับเจ้าหมอนั้นที่ไม่ใช่บิดาแท้ๆ ของวั่งซู

ฟ้ายังสว่าง ฝั่งหมิงซิวจัดการให้จบในเวลาชั่วครู่ชั่วยามไม่ได้ แทนที่จะรอท่าเดียว มิสู้ไปตระเวนดูเครื่องเรือนก่อนดีกว่า หากเดินดูเสร็จแล้วเขายังไม่ส่งวั่งซูกลับมา นางก็จะไปรอที่เรือนสี่ประสาน อย่างไรเขาก็น่าจะกลับไปที่นั่น

“สารถีกวนพวกเราไปดูเครื่องเรือนกันเถอะ” เฉียวเวยเลิกม่านบอก

สารถีกวนยิ้มตอบว่า “เอาสิ นั่งให้ดี จะไปเดี๋ยวนี้!”

ร้านขายเครื่องเรือนในเมืองหลวงมีมากมายทีเดียว ร้านชื่อดังที่สุดอยู่ฝั่งเหนือของเมือง หอเย่ว์หม่านก็อยู่ที่ฝั่งเหนือ แต่อยู่ถนนเหนือเส้นที่หนึ่งของเมืองฝั่งเหนือ ส่วนร้านขายเครื่องเรือนอยู่ที่ถนนเหนือเส้นที่สอง ระหว่างกลางของถนนเส้นที่หนึ่งกับเส้นที่สองมีเพียงร้านรวงเรียงรายแถวหนึ่งกั้นไว้เท่านั้น เทียบกับเมืองเล็กที่ตั้งร้านกันระเกะระกะ เมืองหลวงมีระเบียบกว่ามากนัก เห็นเจ้าหน้าที่ทางการพกดาบเล่มโตลาดตระเวนรอบด้านอยู่เป็นระยะ

“เอ๋ ท่านแม่ นั่นคือสิ่งใดกัน ใหญ่นัก!” จิ่งอวิ๋นเลิกม่านขึ้นแล้วชี้แผงร้านค้าแผงน้อยที่ขายอาหารทอดแผงหนึ่ง บนโต๊ะวางลูกกลมสีเหลืองทองที่ใหญ่กว่าจานข้าวเอาไว้หลายชิ้น ผิวของลูกกลมโรยงาขาว ดูแล้วยั่วน้ำลายคนอย่างยิ่ง

คิดไม่ถึงว่าในยุคนี้ก็จะมีขนมงายักษ์ด้วย รู้สึกถึงกลิ่นอายของบ้านเกิดเลยเชียว

เฉียวเวยยิ้มละไม “นั่นคือขนมงายักษ์ ทำจากข้าวเหนียว อยากกินหรือไม่”

“หวานหรือไม่” จิ่วอวิ๋นถาม เขากับน้องสาวชอบทานของหวานเช่นเดียวกัน แต่เขาไม่ซ่อนลูกกวาดสองเม็ดไว้ใต้หมอนไว้แอบกินตอนกลางคืน ฟันผุของน้องสาวก็ได้มาเช่นนี้เอง

เฉียวเวยพยักหน้า “หวาน” แต่ก็มีรสเค็มนิดๆ ด้วย เป็นรสชาติที่เด็กส่วนใหญ่ชอบ

เฉียวเวยให้สารถีกวนจอดรถม้าข้างทาง ตนพาจิ่งอวิ๋นลงจากรถ

มีคนต่อแถวอยู่ไม่น้อย สองแม่ลูกรออยู่เกือบครึ่งเค่อในที่สุดก็ถึงตาพวกเขา

เฉียวเวยมองขนมงายักษ์ในกระทะ “เถ้าแก่ ชิ้นละเท่าไร”

เถ้าแก่ตอบว่า “ห้าสิบอีแปะ งาขาวหรืองาดำดี”

แค่ขนมงาร้านข้างทางชิ้นหนึ่งกลับขายตั้งห้าสิบอีแปะต่อหนึ่งลูก เฉียวเวยจิ๊ปาก ไม่เสียทีเป็นเมืองหลวง สิ่งใดก็ขายแพงนัก!

เฉียวเวยควักหนึ่งร้อยอีแปะออกมาจากถุงเงิน แล้ววางไว้บนโต๊ะ “ข้าเอาสองลูก โรยงาดำกับงาขาวอย่างละหน่อยก็แล้วกัน”

เถ้าแก่ใส่ก้อนแป้งที่เพิ่งปั้นเสร็จลงไปกลิ้งกับงาทั้งสองชนิดในจานจากนั้นใส่ลงในกระทะน้ำมัน

ขนมงายักษ์สองลูกทำเสร็จเร็วยิ่งนัก เฉียวเวยมอบลูกหนึ่งให้กับสารถีเฒ่า

สารถีเฒ่ารีบโบกมือ “ไม่ได้! ไม่ได้!” มื้อกลางวันกินดิบดีพอแล้ว ยังจะรับของจากนางอีกได้อย่างไร

เฉียวเวยคลี่ยิ้ม “แค่ขนมจากร้านข้างทางเท่านั้น มิใช่ของมีค่าอันใดเสียหน่อย ท่านอย่าเกรงใจข้าเลย ถือเสียว่าชิมของแปลกใหม่”

สารถีเฒ่ามองออกว่าเฉียวเวยไม่ได้กำลังเอ่ยตามมารยาท จึงบอกขอบคุณแล้วรับเอาไว้

เฉียวเวยกับบุตรชายหาที่ว่างนั่งลง

ขนมงาเย็นลงหน่อยแล้ว กรุบกรอบ หวานน้อยๆ กัดเข้าไปคำหนึ่งกลิ่นงาหอมคลุ้งเต็มปาก แป้งข้าวเหนียวทั้งนุ่มทั้งหนึบ อร่อยยิ่งนัก

มันดูเหมือนใหญ่ แต่ด้านในกลวง จิ่งอวิ๋นกินหมดชิ้นหนึ่งก็เหมือนจะยังไม่พอ เฉียวเวยจึงซื้อมาอีกชิ้นหนึ่งแบ่งกันกินกับเขา

กินมากไปก็เลี่ยนอยู่บ้าง ร้านด้านข้างบังเอิญขายถั่วเขียวต้มพอดี เฉียวเวยจึงซื้อมาสามถ้วย

หลังกินดื่มอิ่มหนำจนพอใจแล้ว สารถีกวนก็ขับรถม้ามุ่งไปยังถนนเหนือเส้นที่สอง

ถนนเหนือเส้นที่สองมีร้านของชาวหุยเหอ[1]ตั้งอยู่ประปราย พวกเขาสวมเสื้อผ้าของชนกลุ่มน้อย ร้านรวงก็ตกแต่งแปลกตา ชวนให้คนมองดูแล้วรู้สึกแปลกใหม่

“เจ้าเดินตรงไปด้านหน้า เริ่มตั้งแต่ช่วงกลางไปจนท้ายถนนเส้นนี้ล้วนเป็นร้านขายเครื่องเรือนทั้งสิ้น!” สารถีเฒ่าชี้บอกทาง เฉียวเวยจูงบุตรชายลงจากรถม้า

อีกปลายด้านหนึ่งของถนนเหนือเส้นที่สอง รถม้าประณีตหรูหราคันหนึ่งจอดที่หัวถนน

คนขับรถม้ายกม้านั่งมาวาง หลินมามาลงจากรถมาก่อน หลังจากนั้นจึงพยุงสวีซื่อเดินลงมา ต่อไปจึงยื่นมือหมายจะประคองคุณชายน้อย แต่เฉียวอวี้ฉีกระโดดลงมาบนพื้นเอง!

สวีซื่อเอ็ด “เดี๋ยวก็ล้ม เจ้าเดินดีๆ ไม่เป็นหรือไร”

เฉียวอวี้ฉีเบ้ปาก “ข้าก็เดินดีๆ อยู่นะ! ท่านดูสิ ข้าเดินมั่นคงอยู่มิใช่หรือ!”

สวีซื่อถูกเขาหยอกจนไม่มีอารมณ์จะโมโห เพียงเคาะศีรษะเขาเสียสองที “ประเดี๋ยวตามข้าไว้ อย่าเดินหายไปเอง เข้าใจหรือไม่”

“เข้าใจแล้ว!” เฉียวอวี้ฉีรับปากอย่าง ‘เชื่อฟัง’

สวีซื่อก็มาซื้อเครื่องเรือนเช่นกัน

หลังเฉียวอวี้ซีออกจากคุกไม่นานก็ล้มป่วยหนัก ไม่ทราบว่าเหน็ดเหนื่อยในคุกหรือถูกเหล่าไท่ไท่ทำให้ตกใจกลัว แต่สุดท้ายก็ตัวร้อนอยู่หลายวันหลายคืน กินยาอย่างไรก็ไม่หายดี นางจนหนทางจึงไปเชิญนักพรตข้างนอกมาทำพิธีในจวน

นักพรตเดินทั่วจวนรอบหนึ่งก็บอกนางว่าเรือนหลักฮวงจุ้ยไม่ดี ให้นางปรับแก้ห้องโถงด้านหน้ากับห้องของเด็กๆ สักหน่อย

การปรับแก้ย่อมหมายความว่าของเก่าหลายอย่างจะใช้ไม่ได้แล้ว ต้องเพิ่มของใหม่เข้าไป นางจึงพาบุตรชายออกมาเดินเลือกซื้อ

สวีซื่อหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของบุตรชาย “นักพรตให้เพิ่มฉากกันลมในห้องของเจ้ากับพี่สาวเจ้า ประเดี๋ยวเจ้าเลือกเอง มีอันที่ชอบก็บอกแม่”

เฉียวอวี้ฉีฉีกยิ้ม “เข้าใจแล้วขอรับ!”

กล่าวจบก็หันหลังไปแล้วทำหน้าบึ้ง เขาไม่อยากซื้อเครื่องเรือนสักนิด แต่อยู่ที่บ้านจนเบื่อจึงออกมาข้างนอกกับมารดา หากรู้ก่อนว่าจะมาเดินซื้อเครื่องเรือน เขายอมเฝ้าคนขี้โรคอย่างเฉียวอวี้ซีที่บ้านเสียดีกว่า

สวีซื่อเลือกของช้านัก เก้าอี้ตัวเดียวก็ดูอยู่ได้เป็นนาน เมื่อมีหลินมามาที่ช่างเลือกเพิ่มมาอีกคน ร้านหนึ่งไม่มีครึ่งชั่วยามก็ไม่ออกมา

เฉียวอวี้ฉีกลอกตา สมองส่วนไหนของเขามีปัญหากันนะ เหตุใดจึงตามออกมาด้วย น่าเบื่อยิ่งกว่าอยู่บ้านเสียอีก อยู่ที่บ้านยังอ่านหนังสือได้ ดีร้ายก็ยังไปเล่นกับพี่รองได้ อยู่ที่นี่จะทำอะไรเล่า

“เก้าอี้ตัวนี้ของเจ้าทำจากไม้หวงหลีหรือ เหตุไฉนข้าดูแล้วไม่เหมือน…”

เสียงไม่รีบไม่ร้อนของสวีซื่อดังออกมาจากในร้าน เฉียวอวี้ฉียืนหาวอยู่หน้าประตู พอหันไปอีกทางก็เห็นเด็กคนหนึ่งเดินเข้าไปในร้านที่อยู่เยื้องๆ กันฝั่งตรงข้าม เด็กคนนั้นสวมเสื้อไหมตัวยาวสีฟ้าคราม หน้าตางดงามเหมือนซิ่วไฉน้อยที่มาเมืองหลวงเพื่อเข้าสอบคนหนึ่ง แม้ฝูงชนเดินพลุกพล่าน แต่มองปราดเดียวก็มองเห็นเขา

เฉียวอวี้ฉีขมวดคิ้ว หากเขาจำไม่ผิด เจ้าซาลาเปาน้อยนั่นเหมือนจะเป็นทั่นฮวาน้อยที่ชนะเขาในการสอบเสินถง

เอ๋ ทั่นฮวาน้อยเหตุไฉนจึงมาอยู่ที่นี่

พี่สาวผู้มีพระคุณอยู่ด้วยหรือไม่

เฉียวอวี้ฉีโยนคำเตือนของสวีซื่อทิ้งออกจากสมองอย่างรวดเร็วยิ่งนัก ขาน้อยๆ ก้าวเร็วจี๋ไล่ตามไป!

เมื่อสวีซื่อเลือกเก้าอี้เสร็จหันกลับมาดูบุตรชาย ไหนเลยจะยังเห็นคนอยู่

ร้านเครื่องเรือนในเมืองหลวงไม่ใช่เพียงใหญ่โต แต่ยังงดงาม ข้าวของล้วนขายเป็นชุด จัดแสดงครบถ้วน วัสดุแตกต่าง รูปแบบคนละอย่าง ราคาก็ไม่เหมือนกัน กวาดตามองครั้งเดียวก็กระจ่าง

ชาติก่อนเฉียเวยชอบเครื่องเรือนแบบจีน เพียงแต่นางไม่มีความรู้ในด้านนี้ ไม่เข้าใจและเลือกไม่เป็นจึงว่าจ้างบริษัทรับตกแต่งภายในตลอด นางเพียงรับผิดชอบหิ้วสัมภาระเข้าอยู่เท่านั้น แต่ชีวิตนี้ไม่รวยเช่นนั้น

เฉียวเวยหยุดหน้าเตียงป๋าปู้[2] ทางเข้ารูปวงโค้งหลังหนึ่งที่มองดูแล้วคล้ายห้องขนาดเล็ก จากนั้นถามว่า “หลังนี้ขายอย่างไร”

เถ้าแก่เดินเข้ามาแล้วเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ฮูหยินสายตาดีจริงๆ หลังนี้คือเตียงป๋าปู้ที่ร้านเราเพิ่งทำขึ้นมา ทำจากไม้ประดู่ชั้นเยี่ยม นายช่างผู้ชำนาญสองคนทำอยู่สามเดือนเต็มๆ แล้วยังใช้เวลาครึ่งเดือนทาน้ำมันอีกสามรอบจึงจะเสร็จงาน”

พอเฉียวเวยได้ฟังว่าใช้เวลาสามเดือนครึ่งกว่าจะทำเสร็จก็สังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาเลือนราง พริบตาต่อมาก็ได้ยินเถ้าแก่พูดดังคาด “วันนี้เปิดกิจการ หากฮูหยินชอบจริงๆ จะขายให้ฮูหยินราคาถูก ห้าร้อยตำลึงก็แล้วกัน”

ห้า ห้าร้อยตำลึง!

เตียงหลังเดียวเนี่ยนะ!

นางสร้างบ้านทั้งหลังเพิ่งจะห้าสิบตำลึงเท่านั้นเอง!

“เถ้าแก่ท่านไร้คุณธรรมแล้ว เห็นว่าข้าเป็นคนต่างถิ่นเลยจะรังแกใช่หรือไม่ ไม้ผุกองหนึ่งท่านยังกล้าเรียกราคาสูงเทียมฟ้า ท่านมอบไม้ให้ข้า ไม่ต้องใช้ถึงสามเดือน เพียงเดือนเดียวข้าก็ทำออกมาให้ท่านได้เหมือนกันทุกอย่าง! ข้าไม่คิดท่านห้าร้อยตำลึง คิดท่านเพียงร้อยตำลึงเป็นเช่นไร”

น่าโมโหนัก ทั้งบ้านนางรวมเงินแล้วมียังไม่ถึงห้าสิบตำลึง เขาช่างกล้าเรียกราคาจริงๆ!

เถ้าแก่ได้ฟังคำนี้ของนางก็พอเดาได้แล้วว่านางไม่มีเงิน จึงลอบกลอกตา เห็นนางแต่งตัวเรียบง่าย แต่ท่วงท่าดูไม่ธรรมดา คิดว่าเป็นฮูหยินขุนนางบ้านไหนเสียอีก ที่แท้เป็นยาจกนี่เอง

เถ้าแก่ไม่กระตือรือร้นต้อนรับแล้ว “หากฮูหยินต้องการของราคาถูกก็ไปฝั่งตะวันตกของเมืองเถิด ที่นั่นมีถนนเส้นหนึ่งค่อนข้างเหมาะกับฮูหยิน”

ฝั่งตะวันตกของเมืองเป็นเขตที่ยากจนที่สุดของเมืองหลวง จะบอกว่าเป็นที่อาศัยของคนยากคนจนก็ไม่เกินไป ของที่นั่นจะมีของดีอันใดได้

เถ้าแก่ผู้นี้ช่างตาสุนัขชอบดูแคลนกันเสียจริง!

เฉียวเวยยิ้มเฉยชาเอ่ยว่า “ท่าทีเช่นท่าน ต่อให้ข้ามีเงินก็ไม่ซื้อ”

เถ้าแก่ยิ้มหยาม “รอท่านมีเงินแล้วค่อยว่ากันเถิด”

อีกด้านหนึ่งมีลูกค้าหลายคนเดินเข้ามาใหม่ เถ้าแก่ยิ้มแย้มแจ่มใสเข้าไปต้อนรับ “โอ๊ะ ซุนฮูหยิน ลมอะไรหอบท่านมาเล่า…”

เฉียวเวยพาบุตรชายออกจากร้าน ตัดสินคนจากฐานะเช่นนี้ ถึงขอร้องนาง นางก็ไม่มาอีกแล้ว

“พี่สาว! เป็นท่านจริงด้วย!” เฉียวอวี้ฉียิ้มแป้นวิ่งเข้ามา

เฉียวเวยเห็นเฉียวอวี้ฉีผู้เหงื่อเต็มศีรษะ แรกสุดก็ตะลึงแต่จากนั้นก็ยิ้มน้อยๆ “เจ้าอีกแล้วหรือพ่อหนุ่มน้อย เจ้ามาซื้อเครื่องเรือนเหมือนกันหรือ”

“ข้าไม่ซื้อหรอก! ข้าถูกหลอกออกมาต่างหาก เบื่อจะตายอยู่แล้ว!” เฉียวอวี้ฉีบ่นหลายคำอย่างรำคาญ เมื่อคิดอะไรได้ ดวงตาก็เป็นประกาย “พี่สาว วันนี้ท่านไปบ้านข้าเถอะ! ครั้งก่อนข้าบอกว่าจะมอบภาพวาดของท่านให้ แต่ข้าไม่คิดว่าวันนี้ออกจากบ้านมาจะพบท่าน ดังนันจึงไม่ได้พกติดตัวมา ท่านไปเอาที่บ้านข้านะ!”

เด็กคนนี้ นั่นก็แค่คำพูดตามมารยาทประโยคหนึ่งเท่านั้น เขาก็คิดเป็นจริงเสียได้

เฉียวเวยตบหัวไหล่น้อยของเขาแล้วตอบว่า “ภาพวาด เจ้าช่วยเก็บรักษาไว้แทนข้าทีเถอะ ข้ากลัวว่าข้าจะทำหาย”

เฉียวอวี้ฉีเอ่ยอย่างจริงใจ “ท่านทำหาย ข้าวาดให้ใหม่อีกภาพก็ได้!”

เฉียวเวยอ้าปาก “แต่หากถูกผู้อื่นเก็บไป จะไม่ดีนัก เจ้าคิดว่าอย่างไร”

เฉียวอวี้ฉีคิดครู่หนึ่งก็เห็นว่ามีเหตุผลจึงพยักหน้าตอบว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ได้ ข้าจะเก็บรักษาไว้แทนท่านก่อน” เขาเว้นจังหวะครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ไม่อย่างนั้น ท่านบอกที่อยู่บ้านท่านกับข้าเถอะ ข้าจะส่งไปให้ท่าน! เช่นนี้ ท่านก็จะไม่ทำหายแล้ว!”

[1] หุยเหอ อีกชื่อหนึ่งของชนเผ่าอุยกูร์

[2] เตียงป๋าปู้ เตียงโบราณขนาดใหญ่ของจีน มีลักษณะคล้ายห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง หน้าเตียงยกพื้นกว้างประมาณหนึ่ง วางโต๊ะเก้าอี้ขนาดเล็กและของจิปาถะได้ รอบเตียงล้อมด้วยเสาสี่ด้าน