ตอนที่ 93-2 มัดใจท่านป้า
เฉียวเวยเกือบถูกความดื้อดึงของเด็กคนนี้ทำให้พ่ายแพ้แล้ว เขารู้หรือไม่ว่าพี่สาวของเขากับนางเป็นอริกันประหนึ่งน้ำกับไฟ มายุ่งเกี่ยวกับนาง ไม่กลัวพี่สาวของเขาจัดการเขาหรือ

เมื่อนึกถึงพี่สาวผู้ทรงอำนาจคนนั้นของหมิงซิว เฉียวเวยก็เหงื่อตกแทนเฉียวอวี้ฉี

“พี่สาวๆ ข้าเลี้ยงท่านกับน้องชายกินอะไรก็แล้วกัน!” เฉียวอวี้ฉีลากแขนเสื้อเฉียวเวยพลางเอ่ยบอก

เรียกนางว่าพี่สาว เรียกบุตรชายนางว่าน้องชาย….

เฉียวเวยประคองแก้มขยับยิ้ม “…จะรับได้อย่างไรเล่า ไม่ต้องจริงๆ พวกเราเพิ่งกินขนมงายักษ์มาสองลูกอิ่มแทบแย่แล้ว”

“อ้อ” เฉียวอวี้ฉีผิดหวังยิ่งนัก เขาอยากจะเลี้ยงอาหารพี่สาวผู้มีพระคุณสักมื้อ เหตุไฉนจึงลำบากเช่นนี้เสียทุกครั้ง

“พี่สาวท่านไม่ชอบข้าหรือเปล่า” เขาถามอย่างน่าสงสาร

ไม่ใช่ไม่ชอบเจ้า แต่ไม่ชอบพี่สาวของเจ้า ดังนั้นจึงไม่สะดวกคบหาสนิทกับเจ้านัก แต่ข้าก็บอกเจ้าชัดๆ ไม่ได้อีก เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าเสี้ยมให้เจ้ากับพี่สาวเจ้าแตกคอกัน

เฉียวเวยกำลังลังเลว่าจะอธิบายกับเด็กดื้อคนนี้อย่างไร สวีซื่อก็วิ่งกระหืดหระหอบมา “อวี้ฉี! อวี้ฉี! บอกแล้วว่าไม่ให้เจ้าวิ่งมั่วซั่วใช่หรือไม่ เจ้าทำไมไม่ฟัง เจ้าทำแม่ตกใจแทบตายแล้วรู้หรือไม่ ไม่ได้มองเดี๋ยวเดียวก็วิ่งส่งเดช ครั้งก่อนวิ่งไปใต้กีบเท้าม้าของผู้อื่นจนเกือบจะตายอยู่แล้ว ครั้งนี้ยังจะวิ่งร่อนไปทั่วถนนอีก เจอพวกจับคนไปขายจะทำเช่นไร”

เฉียวอวี้ฉีแสร้งทำท่าว่านอนสอนง่ายเอ่ยว่า “ท่านแม่ข้าไม่ได้วิ่งส่งเดช ข้าเห็นพี่สาวจึงมาคุยกับพี่สาวเท่านั้น”

“พี่สาว พี่สาวเจ้าไม่ใข่…” สวีซื่อเอ่ยพลาง สายตาก็กวาดไปเห็นเฉียวเวยที่อยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยดวงนั้นชัด ดวงตาก็หดเล็กวูบหนึ่งทันใด นางไม่ได้มองผิดใช่หรือไม่ คนผู้นี้คือ…คุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวหรือ

คุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวมิใช่ถูกหลินมามาลักพาตัวไปไว้หอคณิกาแล้วหรือ เหตุใดยังมาโผล่ที่นี่อีก แล้วยังไม่มีตรงไหนเสียหายสักนิด แล้วยังพาบุตรชายนางมาด้วย

ในหัวใจสวีซื่อมีคลื่นความตระหนกสาดซัด หากไม่ใช่ว่านางตั้งสมาธิให้มั่น ตอนนี้น่ากลัวว่าคงแข้งขาอ่อนไปแล้ว ความจริงก็แข้งขาก็อ่อนอยู่บ้าง

เฉียวเวยมองสวีซื่อโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด “ทุกครั้งที่ฮูหยินเห็นข้าดูเหมือนจะตกใจกลัวมาก ข้าเคยทำอันใดให้ฮูหยินรู้สึกหวาดกลัวหรือ”

ลำคอของสวีซื่อขยับไหวเล็กน้อยอย่างยากลำบาก มือซ้ายที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกว้างกำหมัดแน่น พยายามทำให้ตนเองสงบกลับมาเป็นปกติ “อวี้ฉี เจ้าไปรอแม่ในร้าน อย่าวิ่งมั่วซั่วเข้าใจหรือไม่”

กันเขาออกไปอีกแล้ว! เขาไม่ใช่เด็กน้อยเสียหน่อย!

เฉียวอวี้ฉีแค่นเสียงเหอะ แล้วเดินไปด้านหน้าอย่างไม่ใคร่จะยินยอม ตอนที่เดินเฉียดผ่านไหล่ของจิ่งอวิ๋นก็จูงมือน้อยของจจิ่งอวิ๋นแล้วว่า “ไป พี่ชายพาเจ้าไปกินเต้าฮวยเค็ม”

ร้านขายเต้าฮวยเค็มอยู่ใกล้ๆ จิ่งอวิ๋นหันกลับไปมองเฉียวเวย เฉียวเวยพยักหน้า เขาจึงตามเฉียวอวี้ฉีไป

พอเห็นบุตรของผู้อื่นเพิ่งจะห้าจขวบก็รู้ความเชื่อฟังเช่นนี้ แล้วมองดูบุตรชายของตนเอง วันๆ หนึ่งหากไม่ขัดคำสั่งคนในบ้านแล้วตัวจะคันคะเยอ ในใจสวีซื่อรู้สึกว่านั่นช่างไม่ยุติธรรม

“ฮูหยินมีคำใดจะพูดกับข้าหรือ”

เฉียวเวยเอ่ยเสียงราบเรียบขัดความคิดของสวีซื่อ สวีซื่อได้สติกลับมาแล้วเค้นสมองอยู่พักหนึ่งจึงเอ่ยด้วยสีหน้าละอายใจ “เรื่องครั้งก่อนขออภัยจริงๆ”

เฉียวเวยยิ้มอย่างเฉยชา “ฮูหยินหมายถึงเรื่องใดเล่า เรื่องเก่าเมื่อครึ่งปีก่อนหรือว่าเรื่องที่จวนเจ้าเมืองเดือนนี้”

แววตาของสวีซื่อวูบไหว “ทุกเรื่อง ทุกเรื่องเลย บุตรสาวข้ากับฮูหยินเหมือนจะเข้าใจผิดกันอยู่เล็กน้อย…”

เฉียวเวยขัดคำพูดนาง “ฮูหยินจะพูดไปไยเล่า บุตรชายท่านไม่รู้เรื่องรู้ราว ท่านก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยหรือ ข้ากับบุตรสาวท่านไม่ถูกกัน ท่านมิต้องเสแสร้งทำท่าไม่ถือสาสักนิดหรอก ในใจท่านไม่ละอายใจสักนิด น่ากลัวคงรู้สึกว่าข้าถูกขังคุกไม่นานพอ อยากจะยัดข้ากลับเข้าไปล่ะสิ!”

สวีซื่อสะอึกทันใด สาวน้อยคนนี้…แม้แต่ในใจนางคิดอะไรก็รู้ได้อย่างไร…

เฉียวเวยเอ่ยต่อ “บ้านของพวกท่าน มีแต่บุตรชายของท่านที่ข้าเห็นแล้วยังไม่ขัดตาเท่าไร ดังนั้นเก็บความเสแสร้งของท่านไปเสีย พวกเราผู้ใดก็ไม่ต้องเปลืองแรง วันหน้าพบหน้ากันถือว่าไม่รู้จัก มิจำเป็นต้องเดินมาขออภัย ท่านไม่ยุ่งกับข้า ข้าไม่ยุ่งกับท่าน”

สวีซื่อคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยวาจาตรงไปตรงมาเช่นนี้ แม้ก่อนหน้านี้คุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวมิเคยใกล้ชิดนางมาก่อน เพราะนิสัยหยิ่งทะนง ดูแคลนบ้านรองที่เกิดจากอนุภรรยา แต่นางไม่เคยมีท่าทางข่มขวัญคนเช่นนี้แน่ หากมิใช่ว่าหน้าตาและเสียงของอีกฝ่ายเหมือนก่อนหน้านี้ทุกอย่าง สวีซื่อแทบจะคิดว่าคนผู้นี้ไม่ใช่คุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวแล้ว!

อีกด้านหนึ่งเด็กสองคนกินได้พอประมาณแล้ว เฉียวเวยจึงเดินเข้าไปหาแล้วตบหัวไหล่น้อยของเฉียวอวี้ฉีเบาๆ “พ่อหนุ่มน้อย ข้าจะไปแล้ว วันหน้าพบกัน”

เฉียวอวี้ฉีกอดแขนของนางไว้ “อย่าเพิ่งสิ พี่สาว ท่านเที่ยวเล่นเป็นเพื่อนข้าอีกสักประเดี๋ยวสิ!”

เห็นบุตรชายเกาะติดคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวแจ สวีซื่อก็ลมแทบออกหู หากเขาทำกับพี่สาวแท้ๆ ของตนให้ได้ครึ่งหนึ่งของที่ทำกับคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียว สองพี่น้องก็คงไม่ทะเลาะกันจนกลายเป็นศัตรู!

สุดท้ายเฉียวเวยก็พาบุตรชายจากไป สวีซื่อให้คนขับรถเผ้าบุตรชายไว้ให้ดี ส่วนตนดึงหลินนมามาเข้ามาในตรอกแล้วด่าใส่หน้า “เจ้าทำงานอย่างไร ตอนนี้นางยังอยู่ดี! แล้วยังมาเมืองหลวงอีกด้วย!”

หลินมามาตกตะลึง “อะไร…เป็นไปได้อย่างไร นางถูกส่งเข้าหอคณิกาไปแล้วชัดๆ…” สตรีที่เข้าไปในหอคณิกาแล้วคนใดหนีออกมาได้บ้าง กลืนยาลูกกลอนเข้าไปสองสามเม็ด ความบริสุทธ์ชั่วชีวิตก็ย่อยยับ สถานที่พรรค์นั้นก็คือนรกของสตรี ไม่มีโอกาสหนีรอดออกมาได้สักนิด…

เมื่อคิดอะไรได้ ใบหน้าของหลินมามาก็ปรากฏสีหน้าหวาดผวา “ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีช่วยนางออกมาหรือ”

สวีซื่อสูดหายใจลึกๆ สงบอารมณ์ “ข้าดูแล้วไม่เหมือน”

หลินมามาดวงตาวูบไหวเล็กน้อย “ฮูหยินหมายความว่า…”

สวีซื่อครุ่นคิดครู่หนึ่ง “วันนั้นพวกเจ้าจับผิดคนหรือไม่ เจ้าดู ท่าทางไม่หวาดกลัวนั่นของนางเหมือนเคยหวาดกลัวกับการเข้าหอคณิกามาหรือ” หอคณิกาถูกนางทำให้กลัวยังจะดูเข้าเค้ากว่า!

หลินมามาสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเบาๆ “น่าจะไม่นะเจ้าค่ะ”

นางสั่งคนขับรถม้าอย่างละเอียด ว่าต้องรออีกฝ่ายวิ่งมาสักหลายรอบค่อยลงมือ เพื่อไม่ให้ทำร้ายผิดคน ทำร้ายผิดคนยังไม่สำคัญ แต่ปล่อยคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวให้รอดนั่นสิน่าเสียดาย

สวีซื่อโบกมือ “ช่างเถิด เรื่องผ่านไปแล้วก็อย่าเอ่ยถึงอีก คิดหาวิธีว่าจะจัดการปัญหายากเย็นตอนนี้อย่างไรเถอะ อัครมหาเสนาบดีได้หนังสือหมั้นหมายกลับไปแล้วคงยิ่งไม่มีสิ่งใดหวั่นเกรงอีก ข้าไม่ต้องการให้นางได้แต่งเข้าจวนอัครมหาเสนาบดี!”

หลินมามาแค่นเสียงหยัน “อย่างนางคิดจะแต่งเข้าจวนอัครมหาเสนาบดีหรือ ฮูหยินท่านลืมแล้วหรือไรว่านางเป็นแม่ม่าย นางกับยิ่นอ๋องเคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันมาก่อน แล้วนางยังหนีไปกับผู้อื่น สตรีเช่นนี้มีคุณสมบัติอันใดแต่งเข้าจวนอัครมหาเสนาบดี”

สวีซื่อขยำผ้าเช็ดหน้าอย่างกลัดกลุ้ม “เรื่องยิ่นอ๋อง พวกเรากล้าปูดออกไปหรือไม่เล่า บอกออกไปตัวตนของนางก็เปิดเผยกันพอดี แล้วสินเดิมของเสิ่นซื่อก็คงรักษาไว้ไม่ได้ ส่วนที่เจ้าพูดว่านางหนีไปกับผู้อื่น ข้าว่าอัครมหาเสนาบดีรสนิยมไม่เหมือนใคร ดูท่าทางเขาไม่ถือสาสักนิด!”

บุปผาสูงค่าไม่นึกชอบ ดันไปชอบคนมีลูกแล้ว นี่หรือสาเหตุที่อัครมหาเสนาบดีไม่แต่งภรรยามานานปีปานนี้ หากรู้ก่อนนางก็จะให้บุตรสาวของนางแต่งงานไปก่อนสักรอบเหมือนกัน!

หลินมามาหลุบตาลงแล้วยิ้มนิดๆ “ฮูหยินอย่าเพิ่งร้อนใจ บ่าวมองว่าเรื่องนี้มิใช่ว่าไม่เหลือทางออก”

สวีซื่อแค่นเสียงหยัน “ครั้งก่อนเจ้าก็พูดเช่นนี้ ผลสุดท้ายดูเรื่องงามหน้าที่เจ้าทำสิ!”

หลินมามาคลี่ยิ้ม “ครั้งก่อนมอบหมายงานให้คนขับรถม้า บางทีฟ้าอาจมืดเกินไป คนขับรถม้าจึงจับผิดตัว ครั้งนี้ฮูหยินออกโรงเอง รับรองว่าไม่พลาดแน่นอน!”

สวีซื่อชี้ตนเอง “ข้าออกโรงเองหรือ เจ้าคิดจะให้ข้าออกโรงไปทำอันใด อย่าคิดจะให้ข้าวางยาพิษนางล่ะ เรื่องพรรคนั้นข้าทำไม่ได้”

หลินมามาบ่นอุบ “ดูฮูหยินพูดเข้าสิ บ่าวจะยอมให้ฮูหยินเอาตัวไปเสี่ยงอันตรายได้อย่างไรเล่า วิธีนี้ของบ่าว มิใช่วิธีนอกรีตอันใด แต่เป็นการธำรงความยุติธรรมอย่างสง่าผ่าเผย”

สวีซื่อไม่เข้าใจ แต่นึกสนใจขึ้นมาครามครัน นางลูบผ้าเช็ดหน้าแล้วเอ่ยว่า “ลองว่ามาซิ”

หลินมามาถามว่า “ฮูหยินยังจำได้หรือไม่ว่าครั้งนี้นายท่านถูกขังอยู่ในคุกที่ใด”

“ศาลต้าหลี่ ทำไมหรือ” สวีซื่อถาม

“ถ้าเช่นนั้นตุลาการศาลต้าหลี่คือผู้ใดเล่า” หลินมามาถามอีก

สวีซื่อขมวดคิ้ว “บุตรชายคนโตของจวนอานกั๋วกงหลินซูเยี่ยน เรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับเขา ข้าจำไม่ได้ว่าเขารู้จักคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียว”

หลินมามาหัวเราะ “ย่อมไม่เกี่ยวข้องกับเขา แต่…ฮูหยินท่านลองคิดดูอีกหน่อย ภรรยาของหลินซูเยี่ยนคือผู้ใด”

“ภรรยาของเขามิใช่คุณหนูตระกูลจี จีหว่านพี่สาวแท้ๆ ของอัครมหาเสนาบดีหรือ” สวีซื่อคล้ายเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว นางมองอีกฝ่ายเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ “เจ้าจะบอกให้ข้า…เข้าทางจีหว่านหรือ”

หลินมามายิ้มแย้มแล้วพยักหน้า “คุณหนูจวนอัครมหาเสนาบดีผู้นี้สุดยอดนักล่ะ ตอนนั้นจีเหล่าฮูหยินพยายามจับคู่อัครมหาเสนาบดีกับคุณหนูใหญ่ ก็นางนี่แหละที่หัวเด็ดตีนขาดไม่เห็นด้วย เหตุใดนางจึงไม่เห็นด้วยเล่า ไม่ใช่เพราะคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวตอนนั้นทำเรื่องผิดต่ออัครมหาเสนาบดีหรือ นางจึงพาลชิงชังจวนเอินปั๋วของพวกเราทั้งหมดไปด้วย ท่านว่า นางเป็นเช่นนี้ หากทราบว่าคนรักของอัครมหาเสนาบดีคือคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียว นางจะปล่อยไปไม่สนใจหรือ

แล้วท่านก็ไม่ต้องกังวลว่านางจะปูดตัวตนของคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวออกไปด้วย นางชิงชังคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวไม่น้อยกว่าพวกเรา นางจะยอมเห็นคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวแย่งชิงสินเดิมของเสิ่นซื่อกลับไป กลับมาเป็นคนเหนือคนมีชีวิตเจิดจรัสหรือ”

สวีซื่อยิ้มเย็นชา “ไม่ผิด หากบอกว่าทั้งเมืองหลวงยังมีผู้ใดไม่ต้องการเห็นคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวอีก ก็คงหนีไม่พ้นจีหว่าน เจ้าไปจวนอานกั๋วกงสักเที่ยว บอกว่าข้ากำลัง…” นางมองรอบๆ แล้วมองไปเห็นโรงน้ำชาด้านข้างจึงเอ่ยว่า “ข้ากำลังรอนางอยู่ที่โรงน้ำชาหย่วนเค่อ เรื่องเกี่ยวข้องกับใต้เท้าอัครมหาเสนาบดี เชิญนางเดินทางมาสักครั้งให้ได้”

รถม้าขยับขโยกเขยกวิ่งไปบนถนน ‘ครอบครัวสามคน’ นั่งอยู่ในตัวรถ เจ้าซาลาเปาน้อยนั่งอยู่ตรงกลาง ซ้ายมือคือจีหมิงซิว ขวามือคือจีหว่าน

“มา อ้าปาก” จีหมิงซิวหยิบเหอเถา[1]ขึ้นมาลูกหนึ่ง แกะเมล็ดด้านในออกมาแล้วป้อนถึงปากวั่งซู

วั่งซูแสยะเขี้ยวตะกุยกรงเล็บ แล้วอ้า ‘ปากสีแดงสดออกกว้าง’ “หมาป่าตัวโตกำลังจะกินสัตว์ประหลาดน้อยแล้ว! อ้าม…”

จากนั้นก็เคี้ยวเมล็ดเหอเถาเข้าปากในคำเดียว

จีหมิงซิวถูกหยอกล้อจนแย้มรอยยิ้ม

จีหว่านประหลาดใจอยู่บ้าง

หลังจากนั้นจีหว่านก็ลอบมองวั่งซู ปากของวั่งซูเต็มไปด้วยขนม กระพุ้งแก้มพองเหมือนกระรอกอ้วนตัวหนึ่ง ดวงตาทั้งกลมโตทั้งสุกใส ขนตายาวราวกับตุ๊กตา ริมฝีปากน้อยสีแดงระเรื่อมีน้ำลายไหลออกมา น่ารักยิ่งนัก

จีหว่านจะไม่ยอมรับหรอกว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กน้อยหน้าตางดงามที่สุดเท่าที่นางเคยเห็น เพียงแค่ใบหน้านี้ก็สมควรเป็นบุตรตระกูลจีแล้ว

กินเสร็จ เสียงอ้อแอ้ของวั่งซูตัวน้อยก็ดังขึ้น “ท่านพ่อข้าอยากดื่มน้ำ!”

“น้ำอยู่ฝั่งท่านป้า” จีหมิงซิวเอ่ยบอก

วั่งซูหันกลับมายิ้มจนตาหยีพลางมองจีหว่าน “ท่านป้าข้าอยากดื่มน้ำเจ้าค่ะ!”

เรียกได้คล่องปากนักเชียว แต่ข้ายอมรับแล้วหรือไร

จีหว่านถลึงตาใส่จีหมิงซิว จีหมิงซิวยิ้มไม่พูดไม่จา นางวางพัดในมือลงแล้วรินน้ำเย็นถ้วยหนึ่งให้วั่งซู

วั่งซูดื่มอึกๆ ดื่มจนเปรอะไปทั้งตัว จีหว่านหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับคราบชาบนริมฝีปากกับบนร่างของนาง วิ่งซูเบิกดวงตากลมโตสีดำขลับที่ส่องประกายคู่นั้นมองนางไม่กะพริบ นางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “มองอะไรเล่า”

“ท่านป้างามนัก!” วั่งซูเอ่ยหวานจ๋อย

“เจ้าสอนหรือ” จีหว่านถลึงตาใส่จีหมิงซิว

จีหมิงซิวผายมือ เขาเปล่าเสียหน่อย ความสามารถในการประจบประแจงของสาวน้อยผู้นี้แตกฉานเองโดยไม่มีครูสอน

จีหว่านเชิดคางขึ้น แล้วชำเลืองมองวั่งซู “เจ้าตัวน้อย ข้ากับมารดาของเจ้าผู้ใดสวยกว่า”

“แน่นอนว่าต้องเป็นท่านป้าสิ! ท่านป้าคือผู้งดงามที่สุดในใต้หล้า! ท่านแม่เป็นที่สอง! ข้าเป็นที่สาม!” พูดโกหกไม่ต้องมีบทแม้แต่น้อย! ทั้งที่ในใจนาง ตนเองงามเป็นอันดับหนึ่ง มารดาเป็นอันดับสอง ส่วนท่านป้าเป็นเพียงอันดับสาม!

จีหว่านไหนเลยจะคิดว่าเด็กอายุน้อยเท่านี้จะมีเล่ห์เหลี่ยมแล้ว นางหยิกแก้มน้อยๆ สีแดงเรื่อของอีกฝ่าย มุมปากก็ยกโค้ง “นับว่าเจ้าสายตาดี”

ตัวประจบน้อยโถมเข้าไปในอ้อมแขนของจีหว่าน “ท่านป้าตัวหอมนักเชียว!”

จีหว่านเอ่ยอย่างลำพอง “แน่นอนสิ ข้าใช้เครื่องหอมชั้นเลิศ ทำมาจากน้ำค้างร้อยบุปผา น้ำฝนสี่ฤดู เกสรบัวบนเขาหิมะ ราคาพันตำลึง ต้องหอมแน่นอนสิ!”

วั่งซูปรบมือ “ว้าว! ท่านป้าสุดยอด!”

ท่านป้าพูดอะไรกันนะ นางฟังไม่เข้าใจสักคำ…

จีหว่านถูกชมจนตัวจะลอย ช่วยไม่ได้จริงๆ ตัวนางเองเป็นคนคลั่งหน้าตา ดูคนล้วนดูจากหน้าตาทั้งสิ้น หน้าตาอัปลักษณ์ประจบนางเช่นไรก็ไร้ประโยชน์ แต่คนงามเช่นวั่งซู พูดคำสองคำก็ได้ผลกับนางอย่างยิ่งแล้ว นางยกกระจกขึ้นส่อง “หากชอบข้าจะให้เจ้ากล่องหนึ่ง”

วั่งซูส่ายหน้าแล้วเอ่ยอย่างจรงิจัง “ท่านแม่บอกว่าจะเอาของจากผู้อื่นตามใจมิได้”

“ท่านป้าเป็นคนอื่นหรือ”

จีหมิงซิวเลิกคิ้ว

จีหว่านยังไม่ทันตระหนักว่าตนเองเผลอไม่ระวังยอมรับฐานะของเจ้าตัวน้อยคนนี้ไปแล้ว

สมกับคำกล่าวประโยคนั้นจริงๆ ไม่มีสิ่งใดที่จอมประจบคลี่คลายไม่ได้ ครั้งหนึ่งไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นก็สองครั้ง

ตลอดทางวั่งซูชมท่านป้าอย่างนั้นท่านป้าอย่างนี้จนจีหว่านหัวหมุนแยกทิศทางไม่ถูก เมื่อมาถึงถนนเหนือเส้นที่สอง จีหว่านก็แทบจะจำไม่ได้แล้วว่าตนเองมาตามหามารดาของวั่งซูด้วยจุดประสงค์อันใด!

เฉียวเวยกับจิ่งอวิ๋นเดินตระเวนจนครอบรอบ เดินจนขาแทบหัก เหตุใดเดินตลาดจึงเหนื่อยเช่นนี้ ทั้งที่นางเดินสิบลี้เข้าตัวเมืองยังไม่เป็นปัญหาตรงไหนเลย!

เฉียวเวยเห็นบุตรชายเหนื่อยจนหอบแล้วเหมือนกัน สายตาจึงกวาดมองจนเจอโรงน้ำชาที่อยู่เยื้องๆ ฝั่งตรงข้าม “เข้าไปพักสักประเดี๋ยวเถอะ”

จิ่งอวิ๋นพยักหน้า

สองแม่ลูกเดินเข้าไปในโรงน้ำชา

ในห้องส่วนตัวติดถนนที่ชั้นสอง สวีซื่อกำลังรอคอยจีหว่านอย่างเงียบๆ นางเชื่อมิว่าจีหว่านจะยุ่งมากเท่าใดก็จะต้องวางเรื่องในมือเดินทางมาเป็นแน่ ถึงอย่างไรพี่สาวคนโตก็เสมือนมารดา ในใจจีหว่าน อัครมหาเสนาบดีคือคนสำคัญที่สุดในชีวิตนาง

แต่นางรออยู่เนิ่นนาน รอจนตนเองจะหมดความอดทนแล้วก็ยังไม่เห็นเงาของหลินมามากับจีหว่าน

เสี่ยวเอ้อร์เห็นนางนั่งอยู่นานแต่ยังไม่ดื่ม คิดว่านางไม่ชอบชารสอ่อนจึงเอ่ยว่า “ฮูหยิน โรงน้ำชาของพวกเรามีชาเนยด้วย ท่านอยากลองชิมหรือไม่”

สวีซื่อมองถนนใหญ่ แล้วพยักหน้าอย่างใจลอย

เสี่ยวเอ้อร์เดินลงไปชั้นล่าง ตักชาเนยที่เพิ่งออกมาจากเตาร้อนๆ ถ้วยหนึ่ง วางคู่กับขนมดอกมะลิจานหนึ่งแล้วยกขึ้นมา “ฮูหยินเชิญ”

มันเยิ้ม ดูแล้วน่ารังเกียจ สูดกลิ่นยิ่งสุดจะทน สวีซื่อย่นคิ้วอย่างเดียดฉันท์ แล้วมองถนนต่อ นึกกลัวว่าจะคลาดกับจีหว่าน

ผู้ใดจะคาดคิด นางยังไม่ทันได้พบจีหว่าน ก็เห็นเฉียวเวยกับจิ่งอวิ๋นเข้ามาก่อน

เมื่อนึกขึ้นมาว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวแย่งลูกเขยของนางไป แล้วนึกถึงบุตรสาวตนที่ต้องอยู่ในคุกตั้งสิบกว่าวันเพราะคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวจนวันนี้ล้มป่วยลุกไม่ขึ้น ความโกรธเกรี้ยวของสวีซื่อก็พลุ่งพล่านขึ้นมา คุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวกล่าวไม่ผิด นางไม่ละอายใจจริงๆ แล้วก็คิดว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวอยู่ในคุกไม่พอจริงๆ อยากจะยัดคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวกลับเข้าไปนัก

แต่นางยัดกลับเข้าไปได้หรือไร

ทุกครั้งคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวล้วนหนีรอด

เหตุไฉนคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียวจึงโชคดีปานนี้กัน หรือว่าวิญญาณของเสิ่นซื่อยังคอยวนเวียนปกป้องคุ้มครองบุตรสาวของนางอยู่

นางไม่เชื่อเรื่องงมงายเช่นนั้นหรอก!

สวีซื่อขยับเข้าใกล้หน้าต่างแล้วมองลงไปด้านล่าง ผู้คนเดินไปมาไม่มาก นอกจากเฉียวเวยกับบุตรชายก็มีรถม้าคันหนึ่งขับมาช้าๆ

สวีซื่อคว้าถ้วยชาสาดชาเนยควันฉุยทั้งถ้วยออกไปนอกหน้าต่าง!

บังเอิญที่เวลานี้รถม้าของจีหว่านจอดลงหน้าประตู จีหว่านเดินลงมาจากรถพอดี

เฉียวเวยเห็นนางเข้าก็ลอบร้องในใจว่าแย่แล้ว จากนั้นดึงมือลูกชายหันขวับ ยกเท้าวิ่งหนีทันใด!

จีหว่านเดินเข้าโรงน้ำชา ชาเนยเต็มๆ ถ้วยจึงรดอาบทั้งศีรษะทั้งใบหน้าของนางเช่นนี้…

[1] เหอเถา หมายถึงวอลนัท