ตอนที่ 139 – จุดเริ่มต้นของปัญหา

*ก่อนจะอ่านนิยาย โปรดตรวจสอบว่าท่านได้อยู่ในสถานที่ที่มีแสงเพียงพอ หรือถ้าท่านอ่านในความมืดก็อย่าลืมเปิด Night Mode หรือจอส้ม เพื่อป้องกันการปวดหัวและสายตาสั้นด้วยนะครับ*

“ขุดต่อไป…”

“พวกแกแกอิ่มแล้วไม่ใช่เหรอ? อะไรเนี่ย! ทํางานให้มันมีแรงกว่านี้หน่อย…”

“ไอ้พวกไพร่, ถ้าคืนนี้ขุดแร่เหล็กออกมาได้ไม่พอล่ะก็ หัวหน้าฟิลิปจะลดค่าจ้างของพวกเรานะ ถ้าโดนล่ะก็ข้าจะฆ่าเจ้าแน่…”

ท้องฟ้ายามค่ําคืนได้ปกคลุมทั่วทั้งนครโรม. แต่ในเขตภูเขาด้านนอกของโรมนั้นมีทาสนับพัน กําลังขุดแร่เหล็กด้วยอุปกรณ์หลากหลายอยู่

พวกเขาทํางานมาอย่างหนักตลอดทั้งวันแต่พอขอพักบ้างก็กลับถูกพวกชาวเมืองที่มา คุมปฏิเสธ แล้วก็โดนด่าและตะคอกใส่อย่างหนัก

งานนั้นหายากมาก. พวกเขาได้งานที่เงินดีและไม่ต้องออกแรงมากแบบนี้จึงพยายามทําหน้าที่ให้คุ้มเงิน

“เป็นเพราะหัวหน้าฟิลิปที่เมตตาพวกเรา เขาเบิกทางรอดให้พวกเราชาวบ้านตาดําๆ!”

พอเห็นพวกทาสกลับไปทํางานต่อแล้ว พวกชาวเมืองที่มาสังเกตุการณ์ก็ไม่มีอะไรทําเลยมาสุมหัวกันคุย.

ปกติแล้วพวกนี้เป็นคนที่ชอบออกปากสั่งการแต่พวกนี้ก็อยากพักบ้างไม่งั้นแล้วคงเบื่อตายกันก่อน.

“ใครจะกล้าเถียงล่ะ เงินดีขนาดนี้ ข้าหวังจริงๆว่าจะได้ทํางานแบบนี้ไปตลอดชีวิต จะได้มีเงินเก็บ. แล้วบางทีถ้าข้ามีเงินพอแล้วข้าจะไปหาซื้อทาสสาวสวยๆมานอนข้างๆบนเตียง..”

ชายระยําคนหนึ่งพูดด้วยรอยยิ้มวิปลาศ.

“เห้ย…อย่าเพ้อไปเลยน่า, เหมืองนี้ขุดได้อีกไม่กี่ปีเท่านั้นแหละ..พวกเราทํางานให้มันดีๆ ดีกว่า”

“สิ่งที่ข้ากังวลสุดๆตอนนี้คือพวกชนชั้นสูงหน้าเลือดที่อิจฉาหัวหน้านั่น มันพยายามบังคับให้หัวหน้าขายเหมืองไป! ดูจากนิสัยขี้เหนียวและโลภมากแบบนั้นล่ะก็พวกเขาคงมาไล่เราแน่ๆ ถึงพวกมันจะรวยล้นฟ้าแต่ก็ไม่เคยยอมแบ่งให้เราเลย!”

“ไม่จริงน่า หัวหน้าฟิลิปจะขายเหมืองงั้นหรอ?”

“ข้าก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน. แต่ที่รู้มาตระกูลสุละวางแผนบังคับให้หัวหน้าฟิลิปขายเหมืองให้ แต่หัวหน้าฟิลิปก็ยังไม่ได้ขายหรอกนะ…”

“บ้าเอ๊ย, ข้าหวังว่าที่เจ้าพูดมามันจะไม่เป็นจริงนะ, ข้าอุตส่าห์หวังว่างานนี้จะทําให้บ้านข้ารวยขึ้นแท้ๆ…”

พวกผู้สังเกตุการณ์บางคนที่กําลังซุบซิบกันอยู่นั้น เริ่มคุยกันสนุกปากมากขึ้นเมื่อพูดถึงเรื่องที่ตัวเองอยากทํา

ภายใต้ความมืดนั้นมีเด็กหนุ่มชนชั้นสูงสองคนเดินออกจากโรมพร้อมกับทหารอาวุธครบมือ มากกว่า100 คนตามไปด้วย พวกเขามุ่งหน้าตรงไปยังเหมืองของฟิลิปอย่างรวดเร็ว

เก๊ง แก๊งๆๆๆ..

เมื่อเด็กหนุ่มทั้งสองนั้นเดินมาใกล้เหมืองพวกเขาก็ได้ยินเสียงขุดดังออกมา ใบหน้าของพวกเขาเริ่มแดงขึ้นและระเบิดความโกรธออกมาทันที

“ไอ้เวรฟิลิป, เจ้ากล้ามาที่นี่เลยงั้นหรอ, ใครเป็นคนบอกให้เจ้ามาขุดเหมืองของเรา เหมืองนี้เป็นของตระกูลสุละแต่เจ้ากล้ามาขุดงั้นเหรอ เจ้านี่รีบหาที่ตายจริงนะ…”

เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีอารมณ์หุนหัน คํารามออกมาจนเสียงก้องไปทั่วหุบเขา

“บ้าเอ๊ย! ตระกูลสุละน่ะรับมือไม่ได้ง่ายๆเลยนะ พวกมันจะลงมือหนักแค่ไหนเนี่ย? พวกมันจะแย่งเหมืองไปจากหัวหน้าฟิลิปด้วยกําลังเลยงั้นหรอ?”

“ข้าว่าใช่ ข้าเห็นโฉนดอยู่ในมือของหัวหน้าฟิลิปด้วย เขาเอาให้ข้าดูวันนี้!”

“ตระกูลสุละชั่ว, พวกชั้นสูงชั่ว, พวกหน้าเลือดชั่ว, ข้าหวังว่าหัวหน้าฟิลิปจะไม่ยอมนะไม่งั้นล่ะก็งานเราคงชวดแน่!”

“ตระกูลสุละเวรนั่นพาคนมาตั้งเยอะ พวกมันจะไล่เราและยึดเหมืองด้วยกําลังงั้นหรอ?”

“ไม่ เราปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้, พวกเราต้องสนับสนุนหัวหน้าฟิลิปและมอบความกล้าให้เขา ไม่งั้นแล้วหัวหน้าฟิลิปคงถูกข่มขู่จนยอมคืนโฉนดไปแน่…”

“ใช่…เราจะต้องสนับสนุนหัวหน้าฟิลิป!”

พวกชาวบ้านที่มาสังเกตุการณ์มองกันไม่เห็นในความมืดแต่ก็เริ่มนึกเหิมด้วยอารมณ์, พวกเขาไม่รู้เลยว่าบางคนนั้นพูดสําเนียงที่ไม่ใช่ของชาวโรมัน แต่รู้สึกได้ว่าร่างกายของพวกเขานั้นใหญ่โตมาก

“เหยื่อโผล่มาแล้ว. ภารกิจที่เจ้านายมอบให้ จะต้องสําเร็จลุล่วงในคืนนี้ ทุกๆคนกําลังรอโอกาสสร้างเหตุการณ์นองเลือดอยู่!”

ในความมืดนั้นบาคสั่งการอย่างเบาๆ

ภายใต้การนําของบาดค พวกชาวเมืองทุกคนก็รีบมารวมตัวกันและรวมความกล้าไปยืนล้อมโจมที่ฟิลิปอยู่เพื่อปกป้องเขา

พอพวกเขามายืนล้อมที่โจมของฟิลิปแล้ว นายน้อยทั้งสองแห่งตระกูลสุละก็สั่งให้ทหารไปล้อมโจมนั่น แต่ก็มีเสียงตะคอกของฟิลิปดังออกมาจากด้านใน “ท่านชายทั้งสองจากตระกุลสุละ พวกท่านทําเกินไปแล้ว มาใช้วิธีสกปรกเยี่ยงนี้เพื่อบังคับให้ข้ายอมยกเหมืองให้อย่างงั้นหรือ ข้าจะบอกให้ ไม่มีวันซะหรอก! พวกท่านคิดหรอว่าตระกูลของท่านจะทําอะไรก็ได้ในโรมนะ? พวกท่านคิดจริงๆหรือว่าจะไม่มีใครกล้าหือกับพวกท่านน่ะ…”

ฟิลิปดูเหมือนจะเกรี้ยวกราดขึ้นมามากๆ

“ตระกูลสุละนี่เลวจริงๆ พยายามจะบังคับและขู่เข็ญหัวหน้าของพวกเรา เรื่องแบบนี้พวกเราไม่มีวันยอมแน่….”

ในฝูงชาวบ้านนั้น ชายร่างใหญ่คนหนึ่งดัดเสียงแล้วตะโกนออกมา

“พวกเราไม่มีวันยอมแน่!”

“พวกเราไม่มีวันยอมแน่!”

แม้พวกชาวเมืองจะหวาดกลัวพวกชั้นสูงแต่ตอนนี้มีคนนําแล้ว พวกเขาจึงกล้าออกตัวปกป้องฟิลิปอย่างเต็มที่

ในความมืดนั้นพวกทหารเห็นกลุ่มคนเดินเข้ามาพร้อมกับแส้และไม้ในมือ จึงเกิดอาการประหม่าและรีบชักดาบออกมา จากนั้นพวกเขาตะโกนไปว่า “ถอยไปซะ! ถ้าเข้ามาใกล้อีกเราจะฆ่าทิ้งซะ!”

“พวกท่านนั่นแหละที่ควรถอยไปจากที่นี่. พวกท่านพยายามจะขโมยเหมืองพวกเราและตัดหนทางมีชีวิตรอดของพวกเราไป!!”

ในกลุ่มคนนั้นมีคนคนหนึ่งตะโกนออกมา

ตึกๆๆๆ!

ชาวเมืองเริ่มก้าวออกไปอย่างช้าๆ กดดันพวกทหารของตระกูลสุละ

“เกิดบ้าอะไรขึ้น?”

ชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีใบหน้าน่าเกลียดเดินไปทางพวกทหาร.

“นายท่านครับ ไอ้พวกทาสพวกนี้มันกล้าหือครับ!!”

ทหารคนหนึ่งพูดอย่างประหม่า

“ถ้างั้นก็จัดการพวกมันสิ! ถ้าพวกมันกล้าหือก็ฆ่าซะให้หมดเลย!”

เด็กหนุ่มคนนั้นพูดอย่างเยือกเย็น

“ทุกคนจัดการ!!”

หนึ่งในทหารกัดฟันแล้วทําตามคําสั่ง เขาบอกให้คนอื่นตั้งแถวและยกโล่ขึ้นมา จากนั้นก็เดินไปทางพวกชาวเมืองที่ยืนรวมกัน

“อะไรกัน…”

ขณะที่พวกเขาเดินเข้ามา จู่ๆหนึ่งในชาวเมืองก็ร้องออกมาแล้วก็ฟุบลงไปกับพื้น

“เขาถูกฆ่า! พวกชั้นสูงฆ่าเขา, ตระกูลสุละฆ่าฆ่าชาวเมืองของเรา…”

ท่ามกลางความงุนงงของทุกคนนั้น มีเสียงดังขึ้นมา

“อ้ากก.สู้มัน!”

พอสิ้นเสียงนั้นชาวบ้านจํานวนหนึ่งก็ได้สติกลับมาแล้วพุ่งเข้าไปหวังกระแทกโล่ของทหาร

“ฆ่าพวกมัน!!”

พอเห็นพวกชาวเมืองพุ่งเข้ามา เด็กหนุ่มชั้นสูงคนหนึ่งก็เริ่มเครียดสุดขีดและออกคําสั่งอย่างรวดเร็ว เขาไม่สนใจเรื่องสถาณการณ์ตอนนี้เลย เขาสนใจแค่ชีวิตตัวเองเท่านั้นตอนนี้