ตอนที่ 224 เยียนอวิ๋นเฟยได้บุตรชาย

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 224 เยียนอวิ๋นเฟยได้บุตรชาย

ทั้งจวนตระกูลสือต่างวุ่นวาย

กำหนดคลอดของเยียนอวิ๋นเฟยคือครึ่งเดือนหลัง

ผู้ใดจะคิดว่าจะเร็วขึ้นเพียงนี้

คนถูกส่งเข้าห้องคลอดไปแล้ว

เวลานี้สถานการณ์เป็นอย่างไรก็ไม่แน่ชัด

เซียวฮูหยินเกิดความขุ่นเคืองขึ้นภายในใจ

“ไม่ควรเข้าวังไปถวายพระพรเสียจริง หากไม่เข้าวังย่อมไม่เกิดเรื่อง”

เยียนอวิ๋นเกอปลอบ “พี่ใหญ่เป็นนายหญิงของตระกูลสือ อีกทั้งยังเป็นฮูหยินของท่านโหวผิงอู่ ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องเข้าวัง ทำได้เพียงบอกว่าบังเอิญ วันคล้ายวันพระชนพรรษาของฝ่าบาทใกล้เคียงกับกำหนดคลอดของบุตรเกินไป แต่ว่าเร็วขึ้นเพียงครึ่งเดือน เด็กย่อมไม่เป็นอันใด พี่ใหญ่ก็จะปลอดภัย”

เซียวฮูหยินถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก ในใจของนางภาวนาให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ปลอดภัย

ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องปลอดภัย!

ตอนที่กลับมาฟ้าก็มืดลงแล้ว

วุ่นวายเป็นเวลานาน เวลาก็มาถึงกลางดึกแล้ว

เด็กยังไม่คลอดออกมา ได้ยินเพียงพี่ใหญ่ เยียนอวิ๋นเฟยส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดเป็นบางครั้ง

เยียนอวิ๋นเกอทนไม่ไหวกับบรรยากาศเช่นนี้จึงหลบมาพักผ่อนที่เรือนแขก

นางนอนไม่รับ ส่งคนจับตาดูข่าวทางห้องคลอดอยู่เสมอ

เมื่อมีสถานการณ์ใดเกิดขึ้นก็รีบมารายงานนาง

สาวรับใช้ อาเป่ยเกลี้ยกล่อม “อย่างน้อยคุณหนูก็นอนสักพัก สตรีคลอดบุตรอย่างน้อยต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองวัน คืนนี้คุณหนูไม่นอน พรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาย่อมไม่กระฉับกระเฉง”

“นอนไม่หลับ!”

หลังจากเงียบไปสักพัก นางก็พูดขึ้นอีก “สตรีคลอดบุตรช่างน่ากลัว!”

อาเป่ยพูด “ทุกคนล้วนต้องผ่านประสบการณ์แบบนี้ ท่านแม่ของข้าคลอดพวกเราพี่น้องแปดคน แม้จะอยู่รอดเพียงห้าคน แต่นางก็ผ่านมาแล้ว”

เยียนอวิ๋นเกอส่ายหน้าระรัว นางไม่อยากฟังเรื่องนี้ รู้สึกอึดอัดใจ

อาเป่ยรับรู้ได้ จึงไม่เอ่ยถึงเรื่องการคลอดบุตรอีก

เยียนอวิ๋นเกอพึมพำ “ไม่แต่งงานก็ไม่ต้องคลอดบุตร”

อาเป่ยหัวเราะ “สตรีจะไม่แต่งงานได้อย่างไร คุณหนูอย่าคิดเหลวไหล หากให้ท่านหญิงรู้เข้า ท่านต้องโดนดุอีก”

เยียนอวิ๋นเกอส่งเสียงไม่พอใจ “เจ้าไม่เข้าใจ!”

ในอนาคตที่ห่างไกล ทางเลือกของหยิงสาวไม่ได้มีเพียงเส้นทางแต่งงานเพียงเส้นทางเดียว

เวลานี้ ไม่ต้องพูดถึง!

นางพลิกตัวไปมาเพราะนอนไม่รับ แม้จะห่างไกล แต่นางก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวที่ดังมาจากทางห้องคลอด

จิตใจของนางไม่สงบ ดังนั้นจึงลงจากเตียง ปีนขึ้นไปดูดาวบนหลังคาแทน

ท้องฟ้าระยิบระยับ สวยงามอย่างมาก

เมื่อนอนราบลงบนหลังคา จิตใจของนางก็สงบลงอย่างรวดเร็ว

อาเป่ยไม่อาจเข้าใจได้ มีเตียงไม่นอน แต่กลับชอบนอนบนหลังคา เป็นความชอบประหลาดอย่างไรกัน

นางไม่ชอบปีนขึ้นไปบนหลังคา จึงทำได้เพียงยกเก้าอี้มาหนึ่งตัว นั่งเฝ้าอยู่ในลาน

เมื่อแหงนหน้ามองท้องฟ้า นางก็รู้สึกว่าสรรพสิ่งบนโลกเล็กน้อยอย่างมากในทันใด

เนื่องจากเล็กน้อย ดังนั้นจึงเกรงกลัว

เกรงกลัวต่อฟ้า!

เกรงกลัวต่อดิน!

เกรงกลัวธรรมชาติ!

นางยื่นมือออกไปข้างหนึ่งเพื่อวาดภาพท้องฟ้าและดวงดาว

เวลานี้จิตใจบริสุทธิ์ งดงาม!

ไร้ความปรารถนา!

จิตใจราวกับได้รับการชำระล้าง ยกระดับ…

นางหลับตาลง ดื่มด่ำกับลมยามค่ำคืน

เมื่อดวงดาวหายลับไป ดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมาจากทางตะวันออก อุณหภูมิเริ่มสูงขึ้น ในที่สุดเยียนอวิ๋นเกอก็ยอมกระโดดลงมาจากบนหลังคา

อาเป่ยโล่งอก

เยียนอวิ๋นเกอถาม “ยังไม่ฃคลอดหรือ”

“ยังเจ้าค่ะ!”

เยียนอวิ๋นเกอขมวดคิ้ว “ไม่ได้เกิดเรื่องใช่หรือไม่!”

อาเป่ยรีบพูด “ท่านหญิงเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านสตรีมาถึงจวน คุณหนูใหญ่ต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน”

เยียนอวิ๋นเกอร้อนใจ ผ่านไปหนึ่งคืนแล้ว เด็กกลับยังไม่คลอดออกมา

เพียงแต่นางไม่กล้าไปห้องคลอด เพราะมันทำให้นางรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว

นางทำได้เพียงส่งคนมาสืบความคืบหน้าที่ห้องคลอด

บ่าวรับใช้นำอาหารเช้ามา นางกินเพียงแค่สองคำก็วางลง

ไม่ใช่ไม่ถูกปาก หากแต่นางไม่มีความอยากอาหาร

เด็กจะคลอดออกมาเมื่อใดกันแน่

“อุแว้…”

ช่วงเที่ยงตรง ในที่สุดเด็กก็คลอดออกมา

สตรีทำคลอดยิ้มแย้มเบ่งบาน เปิดประตูห้องคลอดออกมารายงานข่าวดี

“ยินดีด้วยเจ้าค่ะ! เป็นเด็กชาย!”

เซียวฮูหยินดีใจอย่างมาก ทันใดนั้นรีบรับสั่ง “ให้รางวัล! ให้รางวัลอย่างหนัก”

เมื่อมีรางวัล ทุกคนต่างขยันขันแข็งกันมากขึ้น

ทั้งจวนโหวเต็มไปด้วยความปีติยินดี

ฮูหยินได้บุตรชาย

เป็นเรื่องมงคลอย่างมาก!

ทุกคนต่างส่งข่าวบอกต่อซึ่งกันและกัน

เยียนอวิ๋นเกอพุ่งไปยังห้องคลอดโดยไร้ความกลัว อืม เด็กยังไม่ได้ถูกอุ้มออกมา

นางยังไม่เห็นเด็ก

เซียวฮูหยินไม่ได้นอนทั้งคืน แต่กระปรี้กระเปร่าอย่างมาก

“ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ปลอดภัย ขอบพระคุณฟ้าดิน”

“ท่านแม่เหนื่อยมาทั้งคืนแล้ว ไปพักก่อนดีหรือไม่”

“ไม่รีบพักผ่อน รอไต้ฟูตรวจร่างกายให้พี่ใหญ่ของเจ้าก่อน สตรีคลอดบุตรสูญเสียเลือดมาก ไม่อาจชะล่าใจได้”

“ท่านแม่พูดถูก”

พี่ใหญ่ เยียนอวิ๋นเฟยรวมทั้งเด็กล้วนถูกส่งกลับไปยังห้องนอน

ทั้งร่างกายถูกเช็ดถูจนสะอาด

ไต้ฟูตรวจดูร่างกายให้พี่ใหญ่ เยียนอวิ๋นเฟย นอกจากเสียเลือดมากแล้ว ต้องพักรักษาตัวให้ดี นอกนั้นไม่มีปัญหา

เด็กก็แข็งแรงอย่างมาก

ถึงแม้จะไม่ครบกำหนด แต่ก็ตัวโตเท่าเด็กที่คลอดตามกำหนด

เห็นได้ชัดว่าบำรุงครรภ์อย่างดี

เยียนอวิ๋นเกอเฝ้าอยู่ที่จวนตระกูลสือเป็นเพื่อนเซียวฮูหยินผู้เป็นมารดาม

พี่สอง เยียนอวิ๋นฉียังถวายพระพระอยู่ในวังหลวง

รอจนออกจากวังหลวงตอนพลบค่ำ นางถึงได้รู้ข่าวดีที่พี่ใหญ่ เยียนอวิ๋นเฟยได้บุตรชาย

นางไม่สนใจเรื่องอื่น เคลื่อนรถมาเยือนที่จวนตระกูลสือทันที

คนทั้งตระกูลรวมตัวอยู่ด้วยกัน เฉลิมฉลองให้พี่ใหญ่ เยียนอวิ๋นเฟย

“ส่งคนไปรายงานข่าวให้ท่านโหวผิงอู่ สืออุนแล้ว ไม่รู้ว่าหลังจากที่เขาได้ยินจะมีท่าทีอย่างไร”

เซียวฮูหยินกังวลเรื่องนี้เล็กน้อย

เยียนอวิ๋นเฟยฟื้นขึ้นมาแล้ว

ร่างกายของนางดี หลังจากหลับไปก็ฟื้นฟูขึ้นมาก เวลานี้สามารถลุกขึ้นมานั่งพูดคุยกับทุกคนได้แล้ว

ทั้งหัวใจของนางมีแต่เด็ก

เมื่อได้ยินเซียวฮูหยินผู้เป็นมารดาพูดถึงท่านโหวผิงอู่ สืออุน นางชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น

“รางวัลที่ควรได้ เขาไม่มีทางตระหนี่ ล้วนจะให้คนส่งมา เพียงแต่หากคาดหวังความรักที่เขามีต่อเด็ก คงจะยาก”

เซียวฮูหยินถอนหายใจ “จะว่าไปก็ใช่ เขาอายุมากแล้ว ภายใต้มีบุตรมากมาย บุตรของเจ้าในสายตาเขาย่อมไม่ได้ล้ำค่าเพียงนั้น เพียงแต่กว่าเด็กจะเติบโตยังมีอีกยี่สิบปี เมื่อถึงเวลานั้น เขายังอยู่หรือไม่ก็เป็นปัญหา”

เยียนอวิ๋นเฟยหัวเราะออกมา “เขายังอยู่หรือไม่ล้วนไม่กระทบต่อเด็ก สิ่งที่เด็กควรได้ ข้าไม่มีทางยอมยกให้ผู้ใด สิ่งที่เด็กไม่ควรได้ ข้าก็จะไม่ยื่นมือไปขอ”

“ควรเป็นเช่นนี้ เจ้าต้องทำให้ท่านโหวผิงอู่รู้ความคิดของเจ้าว่าเจ้าไม่มีเจตนาแย่งชิงอำนาจ”

“เขาไม่มีทางเชื่อ นอกจากข้าจะปลดองครักษ์ทั้งหมด แต่มันเป็นไปไม่ได้ องครักษ์หลายร้อยนายเป็นต้นทุนการมีชีวิตของข้า จะปลดได้อย่างไร”

เซียวฮูหยินขมวดคิ้ว นางร้อนใจแทนบุตรสาวคนโต เยียนอวิ๋นเฟย

เยียนอวิ๋นเฟยกลับมีสีหน้าสบายดี “ท่านแม่ไม่ต้องกังวลแทนข้า ปล่อยไปตามธรรมชาติก็พอ หลายปีนี้ข้าก็ผ่านมาแล้ว เวลาที่เหลือ ข้าก็สามารถข้ามผ่านมันไปได้”

เซียวฮูหยินถอนหายใจ

เยียนอวิ๋นฉีถาม “พี่ใหญ่เตรียมตัวกลับอวี้โจวหรือ”

เยียนอวิ๋นเฟยพยักหน้า “รอผ่านพ้นปีใหม่ เริ่มฤดุใบไม้ผลิข้าก็จะออกเดินทางกลับอวี้โจว ข้าก็อยากอยู่เมืองหลวงระยะยาว แต่ทำไม่ได้ ข้าจำเป็นต้องกลับไป”

สนามรบของนางอยู่ที่จวนท่านโหวผิงอู่ นางต้องกลับไปทำสงคราม กลับไปเพื่อแย่งชิงผลประโยชน์ที่ควรได้ของเด็ก

นางไม่อาจหลบซ่อนตัวอยู่ในเมืองหลวง

มันเป็นการกระทำของคนขลาด

เยียนอวิ๋นฉีพูด “แต่ก่อนข้ามักคิดว่าตนเองยากลำบาก ไม่คิดว่าพี่ใหญ่จะยากลำบากกว่าข้า ลำบากพี่ใหญ่แล้ว”

เยียนอวิ๋นเฟยยิ้ม พลันพูด “ไม่ถือว่าลำบาก เทียบบนไม่ได้ แต่เทียบล่างก็เหลือเฟือ น้องสอง เจ้าอยู่กับองค์ชายสองให้ดี เขาดีต่อเจ้าอย่างมาก”

เยียนอวิ๋นฉียิ้มรับ “ตอนนั้นให้กำเนิดบุตรสาว ยังกังวลว่าเขาจะไม่ชอบ ต่อมาจึงพบว่าตนเองกังวลเกินไป เขารักบุตรสาวยิ่งกว่าผู้ใด”

“องค์ชายสองเป็นคนประหลาดในบรรดาสมาชิกราชวงศ์”

ไม่รู้เป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย

หากสรุปในเวลานี้ยังเร็วเกินไป

เยียนอวิ๋นเกอไม่กล้าอุ้มเด็ก นางกลัวจะทำให้เด็กบาดเจ็บ กล้าเพียงแต่ยื่นนิ้วออกไปเกี่ยวนิ้วของเด็ก

ท่าทางระมัดระวังของนางทำให้ทุกคนขบขัน

พิธีสรงสาม แขกเหรื่อมาเป็นจำนวนมาก

ไม่ได้ส่งเทียบเชิญ คนส่วนใหญ่ล้วนมาโดยไม่ได้รับเชิญ เพื่อมาขอพรแทนเด็ก

เพราะเหตุใด

เพราะเยียนอวิ๋นเฟยคลอดบุตรชายของท่านโหวผิงอู่ สืออุน!

พูดตามตรง ทุกคนล้วนเดินทางมาแสดงความยินดีเพราะเห็นแก่หน้าของท่านโหวผิงอู่ สืออุน

ไม่ว่าจะส่งเทียบเชิญเชิญแขกหรือไม่ นำของขวัญมาก่อนค่อยว่ากัน

กลัวตระกูลสือไม่ยอมรับของขวัญ จึงมีคนวางของขวัญลงพลันวิ่งหนีไป

สถานการณ์นี้ เยียนอวิ๋นเฟยไม่เคยคาดคิดมาก่อน

เยียนอวิ๋นเกอแอบพึมพำ “ท่านโหวผิงอู่ สืออุนมีอำนาจขนาดใหญ่ มีคนมากมายนำของขวัญมาให้โดยไม่ต้องรับเชิญ จะประเจิดประเจ้อไปหรือไม่”

เซียวฮูหยินถอนหายใจ ภายในใจกังวล “อวิ๋นเกอ เจ้าก็เห็นคนที่มาเยือนในวันนี้ ล้วนแล้วแต่สูงศักดิ์ สิ่งของที่ให้แม้จะไม่มีมูลค่ามาก แต่ก็เป็นน้ำใจ มันเป็นเพราะอิทธิพลของท่านโหวผิงอู่ สืออุนทั้งสิ้น บอกว่าเขาเป็นขุนนางที่มีอำนาจก็ไม่เกินไป”

“แต่เขาไม่ได้อยู่ในราชสำนัก…”

“แต่อิทธิพลของเขาแพร่กระจายไปทั่วแผ่นดิน เจ้ารู้เพราะเหตุใดหรือไม่ ส่วยร้อยละสามสิบของราชสำนักล้วนมาจากอวี้โจว”

โอ้!

เรื่องนี้ เยียนอวิ๋นเกอไม่รู้จริงๆ

นางเป็นคุณหนูตัวน้อย ไม่มีผู้ใดเปิดเผยด้านนี้กับนาง

เซียวฮูหยินพูดอีก “เขายังมีกองกำลัง ในมือมีกองทัพที่แข็งแกร่ง บอกว่าเขาเป็นท่านโหวที่ยึดครองพื้นที่หนึ่งก็ไม่เกินจริง แม้แต่ฝ่าบาทที่อยู่ห่างไกลก็ต้องให้เกียรติเขา”

เยียนอวิ๋นเกอขมวดคิ้ว พี่ใหญ่ เยียนอวิ๋นเฟยแต่งงานกับบุรุษแบบใดกันแน่!

เซียวฮูหยินชี้ไปทางคลัง “วันนี้พิธีสรงสาม ได้รับของขวัญมาครึ่งโกดัง ประเจิดประเจ้อไปเสียจริง พี่ใหญ่ของเจ้าไม่อาจอยู่ในเมืองหลวงเพราะหมดหนทาง หากนางอยู่ในเมืองหลวงต่อ เกรงว่าจะกลายเป็นตัวประกัน ยากที่จะรักษาชีวิตเอาไว้ เพราะท่านโหวผิงอู่ สืออุนไม่มีทางยอมแม้แต่น้อยเพื่อพี่ใหญ่ของเจ้า”

เยียนอวิ๋นเกอกระจ่าง

ท่านโหวผิงอู่ สืออุนเป็นบุคคลที่เด็ดเดี่ยวเหมือนเหยี่ยว

ภายในใจมีแต่ผลประโยชน์ ไร้ภรรยาและบุตร

ฮ่องเต้จับพี่ใหญ่และบุตรเป็นตัวประกันก็ไร้ประโยชน์ ท่านโหวผิงอู่ สืออุนไม่มีทางแม้แต่จะขยับตา

หากฮ่องเต้ทรงประหารพี่ใหญ่และบุตรเพราะความขุ่นเคือง พี่ใหญ่และบุตรก็ตายเปล่า ไม่ได้รับความสงสารจากท่านโหวผิงอู่ สืออุนแม้แต่น้อย

เยียนอวิ๋นเกอพึมพำ “หวังว่าปีนี้จะสงบ ฤดูใบไม้ผลิปีหน้า พี่ใหญ่และบุตรก็สามารถเดินทางออกจากเมืองหลวงอย่างราบรื่น”

เซียวฮูหยินขมวดคิ้ว “หากปีนี้ไม่สงบ พี่ใหญ่ของเจ้าและบุตรต้องออกจากเมืองหลวงก่อน”

ฮ่องเต้กักขังพี่ใหญ่และบุตร ถึงแม้จะไม่อาจข่มขู่ท่านโหวผิงอู่ สืออุนได้แม้แต่น้อย แต่สามารถระบายอารมณ์ได้

ดังนั้นเยียนอวิ๋นเฟยอยู่เมืองหลวงจึงไม่ปลอดภัยนัก

เมื่อสถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลง อาจเกิดหายนะขึ้นได้

“จะบริจาคของขวัญออกไปช่วยบรรเทาภัยพิบัติหรือไม่” เยียนอวิ๋นเกอเสนอ