ตอนที่ 225 ทั้งลำบากและยากจน

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 225 ทั้งลำบากและยากจน

ความคิดในการบริจาคของขวัญได้รับการยอมรับจากพี่ใหญ่ เยียนอวิ๋นเฟย

“ตระกูลสือไม่ได้ขาดแคลนเงินเล็กน้อยเพียงนั้น เด็กก็ไม่ขาดแคลนของขวัญแค่นั้น พิธีสรงสามเดิมทีจัดเพื่อให้คนในครอบครัวร่วมเฉลิมฉลอง ข้าไม่คิดว่าจะมีผู้คนมากมายมาโดยไม่ได้รับเชิญ ไม่แม้แต่จะกินข้าว วางของขวัญลงก็จากไป อีกทั้งยังประจวบเหมาะกับวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาของฝ่าบาท ปีนี้ผลผลิตก็ไม่ดี ไม่เพียงแต่ประเจิดประเจ้อ มันคือการเขียนคำว่า ‘ตาย’ ไว้บนหน้าผากชัดๆ”

เยียนอวิ๋นเฟยก็หงุดหงิดเช่นเดียวกัน

บุตรของตนเองทำพิธีสรงสาม ไม่ได้ส่งเทียบเชิญแม้แต่ใบเดียว

สุดท้ายกลับมีคนนับร้อยเดินทางมามอบของขวัญ

มันเหมือนจับนางมามัดไว้บนเตาเผา

ฮ่องเต้ทำอันใดท่านโหวผิงอู่ สืออุนไม่ได้ แต่จัดการกับสตรีอย่างนาง เพียงแค่ใช้ประโยคเดียวก็พอ

“ความคิดของน้องสี่ดีมาก อาศัยช่วงจังหวะที่ฝ่าบาทยังไม่ทรงโกรธ รีบบริจาคของขวัญออกไปให้หมด จะนำไปซื้อเสบียงบรรเทาภัยพิบัติ หรือใช้สำหรับสร้างเขื่อนก็เป็นเรื่องของราชสำนัก ข้าไม่มีส่วนร่วมแม้แต่น้อย”

เซียวฮูหยินภาคภูมิใจอย่างมาก “เจ้ามีความเด็ดเดี่ยวอย่างมาก! เรื่องนี้ ข้าจะจัดการแทนเจ้าเอง”

“ลำบากท่านแม่แล้ว”

“เจ้าพักฟื้นร่างกายให้ดี เรื่องด้านนอก เจ้าไม่ต้องกังวล”

หลังจากได้ข้อตกลงแล้ว เซียวฮูหยินก็เริ่มเคลื่อนไหว

นางติดต่อสำนักเซ่าฝู่ บริจาคสิ่งของบรรเทาภัยพิบัติอย่างเอิกเกริก

เมื่อหัวหน้าสำนักเซ่าฝู่ได้ยินจึงตกตะลึงอย่างมาก!

บริจาคทรัพย์สินเคยเกิดขึ้นในทุกปี

แต่ล้วนถูกฮ่องเต้ทรงบีบบังคับ บริจาคอย่างไม่เต็มใจ

เวลานี้ปรากฏคนที่ยินดีบริจาคทรัพย์สินด้วยตนเอง มันเป็นเรื่องใหญ่!

ต้องเผยแพร่ออกไปเป็นตัวอย่าง

หัวหน้าสำนักเซ่าฝู่วิ่งไปทูลรายงานข่าวดีในวังหลวงเป็นเวลาแรก

เมื่อฮ่องเต้หย่งไท่รู้เรื่องนี้ เขาก็ผงะไปเล็กน้อย

“แน่ใจหรือว่าฮูหยินของท่านโหวผิงอู่จะบริจาคสิ่งของที่ได้จากพิธีสรงสามของบุตรทั้งหมด”

“แน่ใจพ่ะย่ะค่ะ! นี่คือรายการสิ่งของ ขอฝ่าบาทโปรดทอดพระเนตร”

ซุนปังเหนียนรับรายการทรัพย์สินไป วางไว้บนโต๊ะ

ฮ่องเต้หย่งไท่ไม่ได้รีบร้อนพลิกดู เขาเคาะโต๊ะเบาๆ

พิธีสรงสามของบุตรฮูหยินท่านโหวผิงอู่ แม้ไม่มีเทียบเชิญ แต่ตระกูลชั้นสูงในเมืองหลวงต่างเดินทางไปมอบของขวัญด้วยตนเอง

เรื่องนี้ทำให้เขาขุ่นเคืองไม่น้อยเสียจริง

เขากำลังอดกลั้นไฟโกรธ คิดหาทางระบายอารมณ์

ไม่คิดว่า ฮูหยินท่านโหวผิงอู่จะมีปฏิกิริยารวดเร็ว ชิงบริจาคสิ่งของทั้งหมดเสียก่อน

เขาหัวเราะเยาะออกมา ผู้คนต่างกลัวตาย เกรงกลัวต่ออำนาจของราชวงศ์เสียจริง

เวลานี้ เขาอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย

เขาพลิกดูรายการสิ่งของ กวาดตามองอย่างไม่ตั้งใจ

ล้วนเป็นของขวัญอวยพรให้เด็กปลอดภัยราบรื่น ไม่มีสิ่งของที่แปลกประหลาด ดีมาก!

เขาพูดกับหัวหน้าสำนักเซ่าฝู่ “ในเมื่อฮูหยินท่านโหวผิงอู่ตั้งใจบริจาคสิ่งของ สำนักเซ่าฝู่ก็รับเอาไว้เถิด เปลี่ยนเป็นเสบียง บรรเทาภัยพิบัติ!”

“กระหม่อมน้อมรับพระราชโองการ!”

ฮ่องเต้หย่งไท่พูดอีกครั้ง “เรื่องนี้ต้องเผยแพร่ออกไป ให้ขุนนางในราชสำนักและราษฎรที่มั่งคั่งดูเป็นตัวอย่าง หากทุกคนยอมออกแรง ราชสำนักก็คงไม่ลำบากเพียงนี้ สามัญชนที่ได้รับผลกระทบก็ได้รับการช่วยเหลือ”

ใช้เรื่องนี้เป็นโอกาส

ตอนประชุมในท้องพระโรง ฮ่องเต้หย่งไท่ฉวยโอกาสเสนอให้เหล่าขุนนาง มีแรงออกแรง มีเงินออกเงิน ทุกคนก้าวผ่านวิกฤตไปด้วยกัน ช่วยสามัญชนในเขตภัยพิบัติให้มีทางรอด

ขุนนางราชสำนัก “…”

มอบของขวัญยังผิดอีก

ฮูหยินท่านโหวผิงอู่น่าโมโหเสียจริง นางก็ดี บริจาคของขวัญออกไปให้หมด ตัวเองพักฟื้นร่างกายอยู่ในจวน

ลำบากขุนนางอย่างพวกเขาต้องมาถูกบีบบังคับให้บริจาคทรัพย์สิน

ไร้ยางอาย

คนที่ไร้ยางอายย่อมหมายถึงฮ่องเต้

ฮ่องเต้ยากจนจนเสียสติไปแล้วหรือ

บริจาคทรัพย์สิน เป็นไปไม่ได้!

ดังนั้นการประชุมในท้องพระโรงจึงเต็มไปด้วยเสียโอดครวญ

แผ่นดินเกิดภัยแล้ง เสบียงลดผลผลิต เจ้าของที่ก็ไม่มีเสบียงเหลือ!

ในฐานะขุนนางราชสำนัก เงินเดือนน้อยนิด ยังไม่พอเลี้ยงครอบครัว

ยังต้องอาศัยเงินจากตระกูลมาใช้จ่าย

ทุกคนต่างยากจน!

ยากจนจนต้องกินข้าวต้มกับผักดองทุกวัน

ยากจนจนแทบจะไม่มีเงินซื้อเกลือ

ทุกคนยากจนเพียงนี้ ฮ่องเต้ยังบังคับให้ทุกคนบริจาคทรัพย์สิน ตั้งใจที่จะบีบทุกคนให้ตายหรือ

ฮ่องเต้หย่งไท่โกรธอย่างมากเมื่อต้องเผชิญกับการร้องทุกข์ของบรรดาขุนนาง

รังแกกันเกินไปแล้ว!

โครม!

เขาเตะตั่งเล็กล้ม ชี้ไปทางขุนนางราชสำนักพลางต่อว่า

“คิดว่าข้าไม่รู้ความลับของพวกเจ้าหรือ ต้องให้ข้าเรียกองครักษ์จินอู่เข้ามารายงานทรัพย์สินในตระกูลของพวกเจ้าหรือไม่”

เหล่าขุนนางต่างเงียบ ภายในใจทั้งกลัวทั้งแค้น

ฮ่องเต้ไร้คุณธรรม!

“ข้าไม่เอาชีวิตของพวกเจ้า อีกทั้งไม่ได้บอกว่าจะยึดตระกูลของพวกเจ้า เพียงแค่ให้พวกเจ้าบริจาคเสบียง ทรัพย์สิน แบ่งเบาภาระให้ราชสำนักเท่าที่ทำได้ เพื่อประโยชน์สุขของราษฎร พวกเจ้ากลับร้องบอกว่ายากจน หากผู้ใดกล้าบอกว่ายากจนอีก ข้าจะออกพระราชโองการให้องครักษ์จินอู่ไปยึดทรัพย์สินในตระกูลของพวกเจ้าบัดนี้ ดูว่าพวกเจ้าจะยากจนจนไม่มีข้าวกินจริงหรือไม่”

ฮ่องเต้ยื่นคำขาด!

ขุนนางทุกคนจำเป็นต้องบริจาคทรัพย์สินหรือเสบียง ไม่มีผู้ใดได้รับการยกเว้น

ขุนนางตระกูลชั้นสูงไม่เดือดร้อน เพราะเป็นเพียงแค่ทรัพย์สินเล็กน้อย

แต่ขุนนางที่ยากจนนั้นย่ำแย่มาก

พวกเขายากจนจริงๆ ในตัวไม่มีทรัพย์สิน แต่ก็ต้องรับภารกิจบริจาคทรัพย์สินด้วย

แน่นอนว่าขุนนางที่ยากจนมีจำนวนน้อยมาก

ราชสำนักถูกตระกูลขุนนางชั้นสูงปกครอง บุตรหลานสามัญชนอยากรับราชการเป็นเรื่องที่ยากมาก

เพียงแต่ ขุนนางตระกูลชั้นสูงมีเงินมีเสบียงไม่เท่ากับพวกเขาจะยินดีบริจาค

ฮ่องเต้บังคับให้ทุกคนบริจาค…

ได้!

ในโกดังมีเสบียงเก่าที่ขึ้นราอยู่พอดี ควรกำจัดออกมาเพื่อขยายพื้นที่เสียหน่อยแล้ว

หรืออาจปะปนก้อนหิน เม็ดทรายเข้าไปในเสบียงเพื่อเพิ่มน้ำหนัก

อย่างไรแล้ว ฮ่องเต้ไม่มีทางตรวจสอบเองอย่างละเอียด

ขุนนางของสำนักเซ่าฝู่ต่างก็รู้ว่าควรทำอย่างไร

พวกเขามีเพียงจะหลับตาข้างหนึ่ง เพียงแค่ได้รับเสบียงก็พอ

เมืองหลวงเกิดเหตุการณ์บริจาคทรัพย์สินอย่างดุเดือด เมื่อข่าวแพร่กระจายออกไป ก็ได้รับการชื่นชมจากสามัญชน

ล้วนบอกว่าฮ่องเต้ทรงระลึกถึงสามัญชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ ฮ่องเต้ทรงมีเมตตา

ฮ่องเต้ใช้วิธีการทำให้คนขุ่นเคือง ได้มาซึ่งคำชื่นชมของสามัญชน ภายในใจมีความสุขอย่างมาก

บรรดาขุนนางต่างต่อว่าเขาอย่างหนักลับหลัง เขาก็ไม่สนใจ

แต่การเคลื่อนไหวลับๆ ของบรรดาขุนนางไม่ใช่เพียงการต่อว่า หากแต่มีคนกำลังเขียนบทกวี ต้องการโยนความผิดเรื่องภัยพิบัติให้ฮ่องเต้

ฮ่องเต้ทรงไร้คุณธรรม เข่นฆ่าเหล่าท่านอ๋องตามอำเภอใจ ก่อให้เกิดสงครามขึ้นจึงทำให้สวรรค์ลงโทษ ประทานภัยแล้ง ทำให้สามัญชนบ้านแตกสาแหรกขาด ต้องร่อนเร่พเนจร…

เมื่อบทกวีออกมา บัณฑิตทั่วแผ่นดินต่างเผยแพร่ต่อ

ทุกคนต่างตำหนิความอยุติธรรมของฮ่องเต้ ส่งผลให้สวรรค์ประทานภัยพิบัติลงมา

แม้แต่ราษฎรก็ถูกยั่วยุ คิดว่าฮ่องเต้ในเมืองหลวงไร้คุณธรรม เข่นฆ่าขุนนางที่จงรักภักดี จนสวรรค์ก็ทนดูไม่ได้ จึงประทานภัยแล้งที่หาได้ยากนี้ลงมา

ฮ่องเต้หย่งไท่สีหน้าซีดเผือดด้วยความตกตะลึง!

“พวกตระกูลขุนนางชั้นสูง!”

ปัง!

ฮ่องเต้หย่งไท่สะบัดแขนเสื้อปัดกระดาษ พู่กัน หมึก ตำราและฎีกาที่อยู่บนโต๊ะลงพื้นทั้งหมด

“ข้าก็แค่บังคับให้พวกเขาบริจาคทรัพย์สินและเสบียงบางส่วน พวกเขาบังอาจเหยียดหยามข้า ทำลายชื่อเสียงของข้าเช่นนี้ สมควรตาย ล้วนสมควรตาย!”

ฮ่องเต้หย่งไท่กระอักเลือดออกมา ข้าหลวงทั้งตำหนักต่างตกใจ

“ฝ่าบาท!”

ซุนปังเหนียนรีบพยุงฮ่องเต้หย่งไท่ที่ใกล้ล้มเอาไว้ พลันตะโกน “รีบไปเชิญหมอหลวง เชิญฮองเฮา…”

“ห้ามบอกฮองเฮา!” ฮ่องเต้หย่งไท่พูดอย่างอ่อนแอ

ซุนปังเหนียนพยักหน้าระรัว รีบเอ่ยคำพูดก่อนหน้านี้ออกมา “อย่าได้รบกวนฮองเฮา อย่ารบกวนผู้ใด คนทั้งตำหนักซิงชิ่งปิดปากให้สนิท นอกจากหมอหลวงแล้ว ผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาต ห้ามเข้าออกเด็ดขาด ให้องครักษ์จินอู่เข้าวัง…”

ซุนปังเหนียนตอบสนองอย่างรวดเร็ว คำสั่งทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับความสำคัญ

ข้าหลวงทุกคนได้รับคำสั่งต่างเคลื่อนไหวในทันที

ซุนปังเหนียนส่งฮ่องเต้หย่งไท่กลับตำหนักบรรทม

หมอหลวงถูกเชิญมารักษา ได้ข้อสรุปว่าฮ่องเต้โกรธจัดจนกระทบหัวใจ ต้องกินยาพักรักษาร่างกาย

หากไม่ฟัง เกรงว่าจะเกิดโรคหัวใจและปอดได้

ซุนปังเหนียนโบกมือให้หมอหลวงไปต้มยาที่ตำหนักด้านข้าง

ฮ่องเต้หย่งไท่สะลึมสะลือ บางครั้งมีสติ บางครั้งไม่มี

เขาทำเพื่อราษฎร เพื่อแผ่นดินต้าเว่ย แต่ไม่คิดว่าจะถูกขุนนางตระกูลชั้นสูงใส่ร้ายจนได้ชื่อเสียงว่าไร้คุณธรรม

รังแกกันเกินไปแล้ว!

รังแกกันเกินไปแล้วเสียจริง!

“เรียกแม่ทัพกองทัพเหนือ!”

ซุนปังเหนียนตกใจในทันใด “ฝ่าบาททรงเรียกแม่ทัพกองทัพเหนือเพราะ…”

เขาไม่กล้าคิด

ฮ่องเต้หย่งไท่กัดฟันกรอด “พวกเขารังแกกันมากเกินไป ข้าจะปล่อยให้พวกเขาเหยียดหยามได้อย่างไร ข้าจะฆ่าคน ฆ่าให้เลือดไหลนองเป็นสายน้ำ ข้าไม่เชื่อว่าพวกเขาจะกล้าพูดจาเหลวไหล ทำลายชื่อเสียงของข้าอีก นอกจากนี้ สั่งให้องครักษ์จินอู่ตรวจสอบที่มาของบทกวี ต้องหาแหล่งที่มาให้ได้ ไม่ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใด ข้าจะไม่มีทางยอม”

ภัยพิบัติร้ายแรง สามัญชนร่อนเร่พเนจร ฮ่องเต้หย่งไท่ไม่ยอมประหารผู้ใด

ขุนนางราชสำนักร้องบอกว่ายากจน เสบียงที่บริจาคไม่ขึ้นราก็ปะปนไปด้วยก้อนหินหรือเม็ดทราย ฮ่องเต้หย่งไท่ยังคงไม่ประหารผู้ใด

แต่คราวนี้มีคนเขียนบทกวีเหยียดหยามดูหมิ่นเขา ในที่สุดฮ่องเต้หย่งไท่ก็ตัดสินใจยกดาบขึ้นมา

ถึงแม้จะเป็นตระกูลขุนนางชั้นสูง เขาก็จะประหาร

คราวนี้เขาไม่มีทางยอม

ซุนปังเหนียนยืนยันอีกครั้ง “ฝ่าบาทจะทรงเรียกแม่ทัพกองทัพเหนือจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ดวงตาของฮ่องเต้หย่งไท่แดงก่ำ “เรียก! ข้าจะประหารพวกเขา!”

ซุนปังเหนียนโน้มตัวรับคำสั่ง “พ่ะย่ะค่ะ!”