ตอนที่ 226 หนีออกจากเมืองหลวง

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 226 หนีออกจากเมืองหลวง

แม่ทัพกองทัพเหนือนำกองกำลังเข้าเมืองหลวง ทำให้คนทั้งเมืองต่างตื่นตระหนก!

คิดจะทำอันใด

ไม่มีพระราชโองการ กองทัพเหนือไม่อาจเข้าเมืองหลวงได้

ในเมื่อเข้ามาแล้ว ย่อมเป็นการปฏิบัติตามพระราชโองการ

ฮ่องเต้คิดจะทำสิ่งใด

“ย่อมต้องเป็นเพราะบทกวีนั้น ฮ่องเต้จึงทรงพิโรธขึ้นมา”

เหล่าบัณฑิตรวมตัวอยู่ในตระกูลหลิง

วันนี้เป็นงานชุมนุมบทกวีของตระกูลหลิงอีกครั้ง

ผ่านการบริหารมานานหลายปี ในเวลานี้งานชุมนุมบทกวีของตระกูลหลิงกลายเป็นงานชุมนุมบทกวีที่มีชื่อเสียงที่สุดคือเมืองหลวง เป็นสถานที่ที่บัณฑิตแห่แหนกันมาเข้าร่วม

หลิงฉางจื้อมีอิทธิพลอย่างมากในหมู่บัณฑิต

ถึงแม้จะไม่อาจเทียบกับอาจารย์หยูที่มีชื่อเสียง แต่ก็ถือเป็นสาขาความรู้ใหม่สาขาหนึ่ง

เพียงแค่ต้องบริหารอีกเจ็ดแปดปี สิบกว่าปี เขาก็สามารถกลายเป็นอาจารย์หยูที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วแผ่นดิน อิทธิพลของเขาย่อมไม่อาจดูถูกได้

เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลหลิงจึงสามารถกลายเป็นตระกูลขุนนางชั้นสูงที่ยอดเยี่ยมของแผ่นดินได้โดยปริยาย

งานชุมนุมบทกวีในเวลานี้ ไม่ได้ถูกขัดเพียงเพราะกองทัพเหนือเข้าเมือง

หากแต่ยังมีคนมาเข้าร่วมมากกว่าเดิม

รวมทั้งเซิ่นซูเหวินด้วย

เขาไม่ได้แสดงความคิดเห็น เพียงแค่นั่งฟังลูกศิษย์ของสำนักไท่เสวียบรรยายด้วยอารมณ์ฮึกเหิมอย่างเงียบๆ

มีคนที่อารมณ์รุนแรงเสนอให้ไปตีกลองเติงเหวินที่ด้านหน้าราชสำนัก

โชคดีที่มีคนยังมีสติเพียงพอ

“เวลานี้กองทัพเหนือเพียงแค่เข้าเมืองมา ฝ่าบาททรงยังไม่มีการเคลื่อนไหวอื่น หากพวกเขาไปตีกลองเติงเหวิน ทั้งไม่เหมาะทั้งไม่ควร”

“การที่กองทัพเหนือเข้าเมืองก็เพื่อโจมตีบัณฑิตอย่างพวกเราอย่างเห็นได้ชัด หากรอกองทัพเหนือเริ่มจับคนขึ้นมาจริง ทุกสิ่งจะสายไป”

“ไม่มีทาง อย่างไรบทกวีนั้นก็ไม่ได้ออกมาจากมือของลูกศิษย์สำนักไท่เสวียอย่างพวกเรา ทุกคนอย่าลืม บทกวีนั้นเผยแพร้มาจากทางใต้”

เมื่อคนที่มีความฉลาดเฉลียวว่องไวได้ยินก็ตกใจในทันที

ทางใต้?

ทางใต้เป็นพื้นที่ของตระกูลขุนนาง

บันฑิตทางใต้ก็ล้วนได้รับการเลี้ยงดูจากตระกูลขุนนาง

บทกวีเผยแพร่จากทางใต้มาทางเหนืออย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังทำให้ภายในราชวังตื่นตระหนก หากบอกว่าในนี้ไม่มีเรื่องผิดปกติ ผีก็คงไม่เชื่อ

เรื่องนี้อันตรายอย่างมาก

แสวงหาโชคดี เลี่ยงโชคร้ายเป็นแผนการที่ดีที่สุด

บางคนแอบมอง เหตุใดวันนี้จึงไม่เห็นเจ้าบ้าน หลิงฉางจื้อ หลิงใต้เท้า

นับแต่ต้นจนจบ มีเพียงพ่อบ้านที่รับรองทุกคน

มีคนถามบ่าวรับใช้ตระกูลหลิง “นายน้อยใหญ่ของเจ้าล่ะ”

“ข้าน้อยไม่รู้! ข้าน้อยเพียงแค่รับผิดชอบน้ำชาของนายน้อยทุกคน เรื่องอื่นไม่รู้แม้แต่น้อย”

บัณฑิตขุ่นเคือง ทำได้เพียงปล่อยบ่าวรับใช้ไป

เซิ่นซูเหวินฟังจนพอแล้ว เขาลุกขึ้นพร้อมทั้งเรียกสหายทั้งสอง “พวกเราไปเถิด! เกรงว่าคืนนี้จะไม่มีบทกวีที่ไพเราะแล้ว มีเพียงแต่คำพร่ำบ่น”

สหายคล้อยตาม “พี่เซิ่นพูดมีเหตุผล สู้ไปดื่มสุราสองจอก ฟังเพลงสองบทที่ตรอกนางโลมเสียดีกว่า”

“ไปด้วย! ไปด้วย!”

บันฑิตล้วนชื่นชอบหญิงสาว นักเรียนของสำนักไท่เสวียส่วนใหญ่ล้วนเป็นลูกค้าประจำของหอนางโลม

เมื่อพวกเซิ่นซูเหวินจากไป ก็มีคนออกจาชุมนุมบทกวีอย่างต่อเรื่อง

มีเพียงบัณฑิตกลุ่มหนึ่งที่มีอารมณ์ฮึกเหิมตั้งแต่ต้นยังไม่ยอมจากไป พวกเขาใช้พื้นที่ของตระกูลหลิง น้ำชาและของว่างที่ไม่เสียเงิน โจมตีราชสำนักและฮ่องเต้อย่างเปิดเผย

เพราะคนที่จะเกลี้ยกล่อมพวกเขาล้วนจากไปแล้ว พวกเขาจึงไร้ความกังวล วาจาที่เอ่ยออกมายิ่งใจกล้ามากขึ้น สามารถบอกได้ว่าเป็นการดูหมิ่นอย่างร้ายแรง

พ่อบ้านตระกูลหลิงฟังจนคิ้วขมวดมุ่น ภายในใจหัวเราะเยาะบัณฑิตกลุ่มนี้ว่าเป็นพวกปากจัดที่ตาสูงแต่มือไม่ถึง

หากไม่ใช่นายน้อยใหญ่กำชับเอาไว้ ไม่อนุญาตให้เขาแทรกแซงการวิจารณ์ราชสำนักของเหล่าบัณฑิต เพียงแค่จดจำสิ่งที่พวกเขาพูดและทำเท่านั้น พ่อบ้านคงจะขับไล่บัณฑิตที่ไม่รู้จักการยับยั้งวาจากลุ่มนี้ออกจากจวนไปนานแล้ว

เวลามาถึงกลางดึก เหล่าบัณฑิตจึงออกจากตระกูลหลิงไปด้วยอารมณ์ที่ค้างคา

หลิงฉางจื้อที่ไม่ได้ปรากฎตัวตลอดทั้งคืนนั้น ความจริงแล้วเขาหลบตัวอ่านตำราอยู่ในห้องตำราเสมอมา

พ่อบ้านใหญ่หลิงกุ้ยเดินทางมายังห้องตำรา โน้มตัวเล็กน้อย

หลิงฉางจื้อพลิกหน้าตำรา พลันถาม “ส่งคนออกไปหมดแล้วหรือ”

“รายงานนายน้อย ส่งคนออกไปหมดแล้ว ตามคำสั่งของนายน้อย บัณฑิตทุกคนล้วนได้รับสี่สิ่งล้ำค่าในห้องตำราคนละชุด บอกว่าเป็นน้ำใจของนายน้อย พวกเขาล้วนดีใจอย่างมาก”

“ดีมาก!”

พ่อบ้านใหญ่หลิงกุ้ยหยิบกระดาษกองหนึ่งออกมา “บันทึกท่าทีกิริยาของทุกคนในคืนนี้เอาไว้แล้ว นายน้อยโปรดผ่านตา”

“วางลงเถิด!”

พ่อบ้านใหญ่หลิงกุ้ยโน้มตัวเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว วางกระดาษลงบนโต๊ะ

เมื่อเห็นนายน้อยใหญ่ไม่มีการเคลื่อนไหว เขาจึงถามด้วยความสงสัย “นายน้อยไม่ดูหน่อยหรือขอรับ”

หลิงฉางจื้อยิ้ม “ข้ารู้จักนิสัยของบัณฑิตกลุ่มนั้นดีหลังจากที่ข้าเคยสัมผัสมาหลายปี ไม่ต้องดูก็พอจะเดาได้ว่าพวกเขาพูดสิ่งใดบ้าง จริงด้วย ข้าได้ยินว่าชุมนุมบทกวีในคืนนี้ เยียนอวิ๋นฉวนไม่ได้เข้าร่วมหรือ”

“นายน้อยใหญ่ตระกูลเยียนไม่ได้เข้าร่วมขอรับ เดิมทีบอกว่าจะมา แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจ บอกว่างานยุ่ง มาไม่ได้แล้ว”

หลิงฉางจื้อได้ยินจึงหัวเราะออกมา “เขามีความฉลาดเฉลียว รู้จักหลีกเลี่ยงความเสี่ยง”

พ่อบ้านใหญ่หลิงกุ้ยกังวลอย่างมาก “นายน้อย ในจวนจัดชุมนุมบทกวีเหมือนเคย ปล่อยให้บัณฑิตเหล่านั้นเอ่ยวาจาบังอาจไร้ความเกรงกลัว จะไม่นำมาซึ่งหายนะหรือ”

หลิงฉางจื้อกวาดตามองกระดาษกองหนึ่งบนโต๊ะ “ข้าให้เจ้าบันทึกท่าทีกิริยาของบัณฑิตทุกคนเพื่อสิ่งใด เจ้าคิดว่าข้าว่างมากหรือ”

พ่อบ้านใหญ่หลิงกุ้ยตกใจ “นายน้อยคิดจะ…หากทำให้บัณฑิตทั้ง…”

หลิงฉางจื้อพูดอย่างมั่นใจ “วางใจเถิด ข้ารู้ดีว่าต้องทำอย่างไร เจ้าไม่ต้องกังวล ส่งคนจับตาดูกองทัพเหนือ เมื่อมีการเคลื่อนไหว รีบมารายงานทันที”

“ขอรับ!”

สถานการณ์ในเมืองหลวงสามารถปะทุขึ้นได้ทุกเวลา

กองทัพเหนือเข้าเมืองหลวง ไม่มีผู้ใดกล้าวิจารณ์บทกวีนั้นอย่างเปิดเผยอีก ยิ่งไม่มีผู้ใดบังอาจดูหมิ่นเหยียดหยามฮ่องเต้ว่าโหดเหี้ยมไร้คุณธรรม

ทุกสิ่งราวกับกลับสู่ปกติ

แต่ความจริงแล้ว ภายใต้ผิวน้ำนั้นมีกระแสน้ำที่กำลังไหลเชี่ยว

เยียนอวิ๋นเฟยออกจากการพักฟื้นแล้ว

นางพักฟื้นร่างกายอย่างดี

หลังจากออกจากการพักฟื้น ดูไม่ออกว่านางเป็นสตรีที่เคยคลอดบุตรมาก่อนแม้แต่น้อย

นางหารือกับเซียวฮูหยินผู้เป็นมารดา “ดูจากสถานการณ์เมืองหลวงในเวลานี้ เกรงว่าคงรอไม่ถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ข้าก็ต้องออกจากเมืองหลวงกลับอวี้โจวไปก่อนแล้ว”

เซียวฮูหยินขมวดคิ้วมุ่น หัวใจของนางบีบคั้น “รอไม่ถึงปีใหม่จริงหรือ”

ส่วนลึกภายในใจ นางย่อมคาดหวังให้บุตรสาวอยู่ข้ามปีในเมืองหลวงอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

เยียนอวิ๋นเฟยรีบพูด “จากสถานการณ์ของเมืองหลวงในเวลานี้ มีโอกาสเกิดจลาจลขึ้นทุกเวลา เมื่อการจลาจลขึ้นมา หากข้าอยากออกจากเมืองหลวงอีกคงจะยากเย็นแสนเข็ญ สู้ใช้โอกาสที่ยังไม่ปิดเมืองออกจากพื้นที่วุ่นวายแห่งนี้ หากเป็นไปได้ ท่านแม่ก็ออกจากเมืองหลวงเถิด กองทัพเหนือเข้าเมืองหลวงมาแล้ว อีกทั้งยังมีภัยธรรมชาติและผู้ลี้ภัย หากเกิดการจลาจลขึ้นมาจริง คงยากที่จะสยบลง”

เซียวฮูหยินตัดสินใจอย่างเด็ดขาด “ในเมื่อจะออกจากเมืองหลวง เจ้าก็ต้องออกไปให้เร็วที่สุด อย่าได้ล่าช้า ส่วนข้า เจ้าไม่ต้องกังวล ไม่ว่าเมืองหลวงจะวุ่นวายอย่างไร ก็มาไม่ถึงข้า”

เยียนอวิ๋นเฟยเป็นคนเด็ดขาด

ในเมื่อตัดสินใจออกจากเมืองหลวงแล้ว ในวันนั้นนางก็สั่งให้คนเก็บสัมภาระ

นางให้เวลาบ่าวรับใช้เก็บสัมภาระสองวัน เช้าตรู่ของวันที่สามก็เตรียมรถเพื่อออกจากเมือง

เยียนอวิ๋นเกอคุ้มกันพี่ใหญ่ออกจากเมืองด้วยตนเอง

สุดท้ายเมื่อถึงประตูเมือง พวกนางกลับพบกับอุปสรรค

แม่ทัพประตูเมืองไม่ให้ขบวนรถออกจากเมือง บอกว่าได้รับคำสั่งจากเบื้องบน ขบวนรถที่มีจำนวนคนเกินร้อยต้องมีคำสั่งของเบื้องบนจึงยอมปล่อยผ่าน

เยียนอวิ๋นเกอโกรธจัด ทำท่าจะระเบิด

เยียนอวิ๋นเฟยรั้งนางเอาไว้ “นำเทียบชื่อของข้าไปหาเซียวอี้ ให้เขาเปิดทางให้ข้า”

เยียนอวิ๋นเกอผงะ “พี่ใหญ่หาเซียวอี้?”

เยียนอวิ๋นเฟยพูด “เขาเป็นแม่ทัพกองทัพใต้ เวลานี้ปักหลักอยู่นอกเมือง เมืองหลวงถูกกองทัพเหนือควบคุมดูแล แต่ไม่ว่าอย่างไรกองทัพใต้ก็สามารถต่อกรกับกองทัพเหนือได้ กองทัพเหนือและแม่ทัพประตูเมืองย่อมต้องให้เกียรติเขาบ้าง”

มีเหตุผล

เยียนอวิ๋นเกอให้คนถือเทียบชื่อไปหาเซียวอี้ที่นอกเมือง

คนไม่กี่คนต้องการออกจากเมือง แม่ทัพประตูเมืองไม่ได้กีดขวาง

ขบวนรถยาวถูกรั้งไว้หน้าประตูเมือง

เพื่อไม่กีดขวางคนที่เดินทางผ่านไปมา ขบวนรถจึงเคลื่อนที่ไปรออยู่ด้านข้าง แต่ภาพนั้นอลังการอย่างมาก

ผู้คนที่เดินทางผ่านไปมาต่างหันมามอง ทุกคนต่างมีการคาดเดาบางอย่าง

หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม…

เซียวอี้นำกองกำลังขี่ม้านับร้อยมาถึงประตูเมือง

แม่ทัพประตูเมืองเหมือนเผชิญศึกหนัก

เซียวอี้ยกมือ พูดด้วยสีหน้าราบเรียบ “ข้าจะคุ้มกันฮูหยินท่านโหวผิงอู่ออกจากเมือง เปิดประตูปล่อยขบวนรถ”

แม่ทัพประตูเมืองพูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ “กองทัพเหนือมีคำสั่ง ไม่มีคำสั่งของเบื้องบน ขบวนรถม้าที่เกิดร้อยคนล้วนรั้งเอาไว้”

“ข้าให้เจ้าปล่อย เจ้าไม่ได้ยินหรือ เจ้าฟังคำสั่งของกองทัพเหนือ คำสั่งของกองทัพใต้เจ้าจึงกล้าไม่ฟังหรือ”

น้ำเสียงของเซียวอี้เต็มไปด้วยพลังอาฆาต ราวกับว่าหากเจรจาไม่ได้ วันนี้ย่อมต้องมีการนองเลือด

แม่ทัพประตูเมืองลำบากใจอย่างมาก!

เขาออกคำสั่ง “รีบไปเชิญแม่ทัพกองทัพเหนือมา ผู้ใดก็ได้ เพียงแค่มีอำนาจในการพูดก็พอ”

เซียวอี้หัวเราะเสียงเย็น “อย่างไร เจ้าอยากเห็นกองทัพใต้และกองทัพเหนือปะทะกันที่หน้าประตูเมืองอย่างนั้นหรือ”

แม่ทัพประตูเมืองได้ยินจึงตกใจ “แม่ทัพเซียวอย่าได้พูดเช่นนี้!”

เซียวอี้ยิ้มเหยียด “ข้าอยากประลองกับกองทัพเหนือเสมอมา เสียดายไม่มีโอกาส วันนี้บังเอิญ ขอยืมประตูเมืองของเจ้ามาใช้ประลองสักครั้ง”

ไม่ได้!

แม่ทัพประตูเมืองตะโกนอยู่ภายในใจ

จะใช้ประตูเมืองเป็นสถานที่ประลองไม่ได้!

ความขัดแย้งระหว่างกองทัพใต้และกองทัพเหนือ พวกท่านก็จัดการกันเอง อย่าได้เดือดร้อนผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง!

แม่ทัพประตูเมืองตัดสินใจ เขาโบกมือ “ไปๆ รีบไป!”

เซียวอี้ยิ้มอย่างมีนัย “ไม่ขอคำชี้แนะจากกองทัพเหนือ ไม่รอคำสั่งจากเบื้องบนแล้วหรือ”

“ไม่รอแล้ว! หากเบื้องบนลงโทษ ข้าจะรับผิดชอบเอง”

“ดีมาก! พวกเราไป!”

ภายใต้การคุ้มกันของกองทัพใต้ ขบวนรถของตระกูลสือออกจากเมืองได้อย่างราบรื่น

ศาลาห้าลี้นอกเมือง

เยียนอวิ๋นเฟยลงจากรถม้ามาขอบคุณเซียวอี้ด้วยตนเอง

“เรื่องเล็กน้อย ฮูหยินไม่ต้องเกรงใจ ฮูหยินกลับอวี้โจวคราวนี้ ขอให้ท่านเดินทางปลอดภัย”

“เรื่องเล็กน้อยของแม่ทัพเซียวช่วยจัดการปัญหาใหญ่ของข้า หากออกจากเมืองหลวงไม่ได้ ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรคงยากเกินคาดการณ์ หากท่านมีโอกาสไปอวี้โจว ข้าจะต้อนรับท่านด้วยตนเอง”

“เวลาไม่เช้าแล้ว ฮูหยินรีบออกเดินทางเถิด จะได้ไม่คลาดที่ตั้งหลักปักผ่อนไป”

เยียนอวิ๋นเฟยพยักหน้า กล่าวอำลาพร้อมกับขึ้นรถม้าไป

ขบวนรถของตระกูลสือเดินทางลงใต้ไปอย่างช้าๆ

เยียนอวิ๋นเกอยืนส่งอยู่บนเนินเขาด้วยความอาลัยอาวรณ์

เซียวอี้ขี่ม้ามาถึงข้างกายของนาง

“พี่ใหญ่ของเจ้าเลือกออกจากเมืองหลวงในเวลานี้เป็นเรื่องที่ถูกต้อง”

“ข้ารู้! วันนี้ขอบใจเจ้า หากไม่ใช่เจ้า ข้ากับพี่ใหญ่คิดจะออกเมืองคงจะยากลำบาก”

“ระหว่างเจ้ากับข้าไม่ต้องมีความเกรงใจ มีเรื่องใดเจ้าเพียงแค่บอก ข้าพร้อมทุกเวลา”

เซียวอี้ทำตัวสนิทสนมอย่างมาก

เยียนอวิ๋นเกอถอยหลังห่างจากเขา

นางแสดงสีหน้าประหลาดใจ ระหว่างพวกเขาสนิทกันเพียงนี้เชียวหรือ

เซียวอี้ถอนหายใจ “ข้าช่วยเจ้าหลายครั้ง เจ้ายังสงสัยเจตนาของข้า ช่างทำให้ข้าเสียใจ”

ถุ้ย!

เยียนอวิ๋นเกอแก้ไขคำพูดของเขา “ระหว่างเจ้ากับข้าเป็นการเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน”

เซียวอี้ยิ้มอย่างมีนัย “เจ้ามั่นใจว่าเป็นเพียงเป็นการเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกันหรือ รักษาคอของเจ้าให้หาย คืนที่หลิงฉางจื้อคิดจะฆ่าเจ้า…ดูท่าทางข้าจำเป็นต้องเตือนเจ้า เจ้าคิดหนี้บุญคุณข้าไว้อย่างมาก”

เยียนอวิ๋นเกอปีนเกลียว “อย่างไรก็ติดหนี้บุญคุณเจ้าอยู่แล้ว สู้ติดหนี้บุญคุณเพิ่มอีก เจ้าขอเงินจากราชสำนักมาให้ข้า ข้าจะสร้างเขื่อน ชักน้ำจากแม่น้ำเว่ยเข้ามาในแปลงนา”

*********艾琳小說***********