กราบเรียนคุณพ่อคุณแม่ที่เคารพไม่ทราบว่าทั้ง 2 ท่านสบายดีกันหรือเปล่าครับส่วนผมตอนนี้ก็ยังสบายดีอยู่ครับ ในตอนนี้ผมนะอยู่ในทีที่ห่างไกลจากบ้านเราสุดๆ เลยละครับ
หลังจากวันนั้น ในวันที่กราบลาคุณแม่กับบอกปฏิเสธการเป็นผู้สืบทอดค่ายมวยต่อจากพ่อด้วยการต่อยหน้าเตี่ยไปหนึ่งชุด นี่ก็เป็นเวลากว่า 5 ปีแล้วหลังจากที่หนีออกจากบ้านมาเพื่อทำไล่ตามความฝันในวัยเด็ก ถึงแม้จะมีช่วงเวลาที่ต้องเร่ร่อนระหกระเหินอย่างยากลำบาก แต่ก็มีผู้คนใจดีมากมายได้ยื่นมือให้ความช่วยเหลือตัวผม จนพอจะทำให้ผมสามารถส่งตัวเองไปเริ่มทำในสิ่งที่ผมใฝ่ฝันได้สักที และในตอนนี้ตัวผมนั้นได้ทำตามความฝันนั้นจนสำเร็จแล้วครับ ความฝันที่อยากจะเป็นนักบินอวกาศแล้วได้ออกไปท่องอวกาศ ใช่แล้วในที่สุดมันก็เป็นจริงซะที ทุกอย่างที่ผมกำลังได้สัมผัสอยู่ในตอนนี้นี่มันสุดยอดกว่าที่เคยจินตนาการไว้สุดๆ อย่างกับว่ากำลังฝันอยู่เลย ใช่… มันก็คงจะเป็นฝันที่ดีมากๆ เลยละ…
ถ้าไม่ติดที่ว่าตอนนี้ตัวผมโดนจับมาขึงไว้กับโต๊ะส่วนโต๊ะที่อยู่ข้างๆ ตัวผมก็มีมนุษย์ต่างดาวไม่ทราบชนิดกำลังโดนถลกหนังพร้อมกับส่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างทรมานโดยคนที่ซื้อพวกเรามาน่ะนะ…
เฮ้อไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้นะ…
***
[ย้อนกลับไปเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้]
{ข่าวต่อไปค่ะ… ในช่วงเช้ามืดของวันนี้เกิดเหตุการณ์การหายตัวไปของผู้คนจำนวนมากขึ้นทั่วโลกในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน ในตอนนี้ทางตำรวจยังคง…}
ณ บนถนนเลียบชายฝั่งทะเลมีรถบรรทุกขนาดเล็กสีขาวคันหนึ่งวิ่งอยู่เพียงลำพังอยู่ท่ามกลางอาทิตย์อัสดง เนื่องจากเป็นช่วงเวลาหลังวันฉลองปีใหม่ที่แรงงานส่วนมากมักจะหยุดพักกัน ทำให้ถนนที่ปกติควรจะมีรถวิ่งอยู่ตลอดเวลากลับดูโล่งเป็นพิเศษ
ตรู๊ด….
ในขณะที่กำลังนั่งฟังช่องข่าวจากมือถืออยู่นั้นเองก็มีคนโทรเข้ามาขัดในช่วงเวลาสำคัญ ถึงแม้ว่าจะรู้สึกหัวเสียเล็กน้อยที่โดนขัดจังหวะ แต่เมื่อเห็นว่าคนที่โทรมาเป็นใครเขาก็รีบกดรับสายในทันที
[สายัณห์สวัสดิ์ค่ะ ศิวะ แล้วงานที่สั่งไปทุกอย่างเรียบร้อยดีไหมคะ?]
“ครับ… ได้ของมาแล้วครับ ตอนนี้อยู่ในระหว่างเดินทางกลับ คิดว่าน่าจะกลับไปถึงตอนช่วงดึกๆ และน่าเตรียมงานเสร็จทันก่อนช่วงเช้าแน่นอนครับพี่คานาเลีย”
[ทำได้ดีมากค่ะ ยังไงก็ขอฝากเรื่องงานเลี้ยงในวันพรุ่งนี้ด้วยนะคะ]
“ทราบแล้วครับ… เอ่อคือว่ามันอาจจะดูเสียมารยาทไปสักหน่อย แต่ว่าผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ?”
[ได้สิคะ]
“แค่จัดงานครบวันเกิดให้น้องชายแท้ๆ ปกติมันต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอครับ!?”
[ก็เพราะมันเป็นถึงวันเกิดอายุ 19 ของอลิซนี่นา ถ้าไม่จัดให้มันน่าจดจำมันก็ไม่ได้ ใช่ไหมล่ะ?]
“ที่~! ถาม~! ก็~! เพราะ~! มันเป็นแค่วันเกิดอายุ 19 นี่ละครับ!! ปกติถ้าจะจัดงานใหญ่แบบนี้มันควรจะเป็นตอนอายุ 20 ไม่ใช่เหรอครับ?”
[ใหญ่เหรอคะ? ก็ไม่นิค่ะ… เพราะว่ารอบนี้ฉันโดนเรียกตัวโดนทางตระกูลใหญ่ทำให้ไม่ได้ไปร่วมงานวันเกิดของอลิซ ครั้งนี้ฉันก็เลยคิดว่าจะจัดเป็นงานเล็กๆ ที่ดูเรียบง่ายแทนน่ะคะ…]
“เรียบง่ายงั้นเหรอครับ… ถ้าเจ้กล้าบอกว่านี่คือเรียบง่ายจริงๆ งั้นก็ช่วยอธิบายหน่อยได้ไหมครับ ว่าไอ้กองวัตถุดิบราคาเหยียบล้านที่อยู่ในตู้แช่หลังรถเนี่ยมันหมายความว่ายังไง แถมพวกพนักงานคนอื่นๆ ก็หยุดปีใหม่กันหมด นี้เจ้คิดจะให้ผมอยู่เตรียมงานอยู่คนเดียวจริงๆ เหรอครับ!?”
[อืม…นั้นสินะ… อ๊ะ!! ยะ…แย่ละสิ! ลืมดูเวลาไปซะสนิทเลย ขอโทษนะศิวะเหมือนว่าจะถึงเวลาที่ต้องไปขึ้นเครื่องแล้ว เอาไว้ถ้าจบเรื่องแล้วจะให้โบนัสพิเศษแล้วกันนะคะ ยังไงตอนนี้ก็ฝากเรื่องงานวันเกิดด้วยนะศิวะ!!]
“เดี๋ยวสิครับเจ้!! อย่างน้อยก็ช่วยอธิบายก่อนสิครับว่าอยากจะให้จัดงานเป็นแนวไหน…”
ก่อนที่ชายหนุ่มนะได้พูดจบอีกฝ่ายก็ได้วางสายไปเสียแล้ว ด้วยความที่ว่ายังไม่ได้ข้อมูลอะไรเลยตัวเขาจึงพยายามติดต่อไปอีกรอบ แต่ว่าก็ไม่สามารถติดต่อได้เนื่องจากอีกฝ่ายได้เปิดโหมดเครื่องบินไปแล้ว
“แบบนี้ก็แสดงว่าต้องด้นสดเตรียมงานคนเดียวอีกแล้วสินะ เอ้อ… ให้ตายสิเป็นนายจ้างที่ใช้งานลูกจ้างได้โหดร้ายชะมัด”
ชายหนุ่มบ่นออกมาเล็กน้อยเพราะโดยปกติช่วงตลอดทั้งอาทิตย์นี้ควรจะเป็นวันที่เขาควรจะได้หยุดพักแท้ๆ แต่กลับกลายเป็นว่ามันดันไปตรงกับวันเกิดของน้องชายเจ้าของร้านพอดี แถมด้วยความที่ว่าพนักงานส่วนใหญ่ในร้านกลับต่างจังหวัดกันหมด ทำให้ตัวเขาที่เป็นคนเพียงคนเดียวในร้านที่ไม่ได้กลับบ้านเกิดต้องมารับหน้าที่เตรียมงานวันเกิดให้น้องชายเจ้าของร้านแบบนี้
แต่ถึงจะบ่นออกมาแบบนั้นก็เถอะแต่ว่าถ้าเกิดในวันนั้นไม่ได้พี่คานาเลียมาช่วยไว้ ตัวเขาที่หนีออกมาจากบ้านมาโดยที่ไม่ได้เตรียมพร้อมอะไรเลยสุดท้ายก็คงจะจบลงที่กลับไปอยู่บ้านรับสืบทอดค่ายมวยต่อจากพ่อตามเดิม และคงไม่ได้มายืนอยู่บนจุดสตาร์ทของเส้นทางที่ตัวเองใฝ่ฝันได้แบบนี้
“เอาเถอะ… อย่างน้อยเด็กนั้นก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล อีกอย่างเพราะเป็นเรื่องนอกเวลางานก็เลยได้โบนัสพิเศษด้วย แบบนี้ก็เริ่มเข้าใกล้ความฝันเข้าไปอีกก้าวแล้วสินะ!!”
{จากข้อมูล ซ่า~ ให้เรา ซ่า~ ซึ่งแน่นอนว่าทาง ซ่า~ }
ในขณะที่เขากำลังนั่งฟังข่าวอยู่นั้นเอง ตัวมือถือก็เริ่มแสดงอาการแปลกๆ ออกมา ในตอนแรกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากแต่เมื่อเริ่มได้ยินเสียงซ่าๆ ไปสักพักตัวเขาก็เริ่มทนไม่ไหว เขาจึงได้แวะจอดข้างทางแล้วหยิบมือถือมาดูว่ามันเสียหรือเปล่า
ในตอนนั้นเองจู่ๆ ก็เริ่มมีลมพัดมาแรงขึ้น บรรยากาศรอบๆ ตัวรถก็เริ่มมืดขึ้นในทันที ตัวเขาที่สงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นอีกจึงได้เงยหน้าขึ้นแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนที่จะตกตะลึงกับสิ่งที่ตัวเองได้เห็นตรงหน้า ใช่แล้วมันมียานอวกาศลอยอยู่อยู่ข้างบนหัวของเขา เป็นยานอวกาศเหมือนหลุดออกมาจากหนังมนุษย์ต่างดาวจริงๆ ตัวเขามองมันด้วยสายตาที่เป็นประกายพร้อมกับพยายามตั้งข้อสงสัยมากมายกับสิ่งที่ตนได้เห็นตรงหน้าว่าตกลงแล้วนี่มันเป็นภาพหลอนหรือเปล่า แต่ในขณะที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่นั้นเอง เขาก็เริ่มรู้สึกได้ว่าตัวรถมันกำลังลอยอยู่เหนือพื้นดิน
ในตอนนั้นเองจากประสบการณ์การดูหนังแนวนี้มาเยอะ ตัวเข้าก็เข้าใจได้ทันทีว่าตอนนี้มันกำลังเกิดอะไรขึ้นต่อไป เมื่อคิดได้ดังนั้นตัวเขาได้กระโดดออกจากรถในทันที แต่เมื่อออกมาได้มันกลับกลายเป็นว่าตัวเขาเองก็กำลังลอยอยู่ด้วยเช่นกัน ตัวเขาพยายามดิ้นอยู่กลางอากาศอย่างสุดชีวิตแต่ด้วยสภาพที่เหมือนกับไร้แรงโน้มถ่วงแบบนั้นทำให้ความพยายามของเขานั้นมันศูนย์เปล่า และในจังหวะเดียวกันก็ได้มีแสงขนาดใหญ่ส่องมาที่ตัวเขา ไม่นานร่างกายของชายหนุ่มก็ได้หายวับไป
***
เมื่อรู้สึกตัวอีกที่ตัวเขาก็พบว่าตัวเขานั้นได้ยืนอยู่ท่ามกลางวงล้อมของสิ่งมีชีวิตประหลาดมากมาย เขามองไปรอบๆ พร้อมกับพยายามทำใจให้สงบและจับตามองดูท่าทีของพวกมัน เขาได้มองดูพวกมันพูดคุยกัน ถึงแม้จะฟังไม่เข้าใจว่าพวกมันกำลังคุยอะไรกันอยู่แต่ดูจากท่าทีที่พวกมันกำลังคุยกัน เขาก็พอจะคาดเดาได้ว่าไม่ต้องไม่ใช่เรื่องที่ส่งผลดีต่อตัวเขาแน่นอน
จากนั้นจู่ๆ ก็มีหนึ่งในพวกมันค่อยๆ เดินเข้ามาทางเขาด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ พร้อมกับถืออะไรบ้างอย่างที่ดูคล้ายห่วงมาด้วย เขาที่เห็นแบบนั้นก็รีบตั้งท่ารอจังหวะในทันที เมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามาในระยะโจมตีเขาก็ไม่รอช้า ใช้หมัดของเขาโจมตีไปในจุดที่เขาคิดว่าน่าจะได้ผลอย่างรวดเร็ว และมันก็ได้ผลอีกฝ่ายล้มไปนอนกองลงกับพื้นในทันที รอบข้างเริ่มส่งเสียงเฮฮาเหมือนกับว่าพวกมันกำลังเล่นสนุกกันอยู่ จากนั้นก็มีพวกมันอีกคนเดินเข้ามา ไม่สิ จะเรียกว่าคนก็คงไม่ใช่ดูยังไงมันก็มังกรที่มีกล้ามเป็นมัดแถมมันยังใส่ชุดที่ดูยังไงก็โคตรไฮเทคอีก พอมาเทียบกับตัวเราที่มีแค่มือเปล่าแล้วไม่ว่าจะคิดยังไงก็เสียเปรียบกันเห็นๆ
<ถ้าเสียเวลาไปมากกว่านี้ได้โดนหัวหน้าบ่นแน่ๆ เข้ามาสิ รีบมาทำให้มันจบๆ กันเถอะ>
ถึงเขาจะไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายพูดว่าอะไรแต่ดูจากท่าทางแล้วอีกฝ่ายเขาก็รู้เลยว่ามันกำลังดูถูกเขาอยู่แน่ๆ ให้ตายสิไม่ว่าจะที่ไหนก็มีพวกน่าหงุดหงิดแบบนี้อยู่ทุกที่เลยสินะ เอาสิถ้าแกมั่นใจว่าจะเอาชนะฉันละก็มาลองซัดกันสักหมัดดูหน่อยเป็นไง…
“ก็อยากจะพูดแบบนั้นอยู่หรอก… แต่ไอ้คำนั้นน่ะ มันเอาไว้ใช้กันคนด้วยกันโว้ย!!”
พอพูดจบชายหนุ่มก็หยิบคนที่สู้ด้วยก่อนหน้านี้ขึ้นมาและเหวี่ยงร่างของมันไปใส่พวกที่ยืนอยู่รอบๆ เพื่อสร้างทางหนี เมื่อเปิดทางสำเร็จตัวเข้าจึงรีบวิ่งหนีออกไปในทันที พวกมันที่อยู่รอบๆ เมื่อเห็นดังนั้นจึงได้รีบพากันวิ่งไล่ชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าตัวเองควรจะหนีไปที่ไหนแต่สิ่งแรกที่เขาพอจะคิดออกเลยก็คือต้องหายานหลบหนีฉุกเฉิน แม้จะไม่รู้ว่ามันจะมีอยู่จริงเหมือนอย่างในหนังที่เขาเคยดูไหมแต่มันเป็นเพียงอย่างเดียวที่เขาพอจะคิดได้ในเวลาแบบนี้
หลังจากวิ่งออกมาจากทีที่เหมือนโกดังเก็บของมาได้สักพักเขาก็พบเข้ากับทางเดินลาดยาว เขาหันกลับไปมองด้านหลังเล็กน้อยและดูเหมือนว่าพวกมันจะยังไล่ตามเขามาอยู่ติดๆ ในจังหวะนั้นเองจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงอะไรสักอย่างดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง ในขณะที่กำลังจะหันกลับไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นเขาก็เริ่มรู้สึกได้ว่ามีมือที่ใหญ่มากๆ กำลังจับหัวของเขาอยู่ เมื่อมองไปก็พบว่ามันคือไอ้มังกรกล้ามที่เขาต้องสู้ด้วยก่อนหน้านี้
แม้จะสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้ตามเขามาได้เร็วขนาดนี้ด้วยร่างกายที่ใหญ่โตแบบนั้น แต่ตัวเขาก็ไม่คิดจะยอมให้ตัวเองโดนจับง่ายๆ เขาใช้มือทั้งสองข้างเกาะไปที่แขนของอีกฝ่ายก่อนที่จะใช้ขาข้างซ้ายเตะไปที่ใบหน้าของมันอย่างเต็มแรง ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้สะทกสะท้านอะไรมากมายแต่มันก็ทำให้เขารู้สึกได้ว่ามือของอีกฝ่ายที่จับหัวเขาอยู่เริ่มผ่อนแรงลง เมื่อเห็นโอกาสจึงใช้ขาทั้งสองข้างถีบไปที่ลำตัวของอีกฝ่ายเพื่อดีดตัวเองออกมาจนอีกฝ่ายเสียหลักเล็กน้อย
“ขะ…แข็งชะมัด!! ชิ!! ลาล่ะไอ้จิ้งเหลน!!”
ชายหนุ่มพูดทิ้งท้ายก่อนที่จะเริ่มวิ่งหนีอีกครั้ง อีกฝ่ายที่เห็นแบบนั้นก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะหยิบบางอย่างออกมาแล้วกดปุ่ม
<ให้ตายสิ… เป็นสินค้าที่ทำตัวน่ารำคาญจริงๆ >
ในตอนนั้นเองชายหนุ่มที่กำลังวิ่งอยู่ก็รู้สึกเหมือนโดนไฟฟ้าช็อตไปทั่วทั้งร่างกาย เขาล้มลงไปนอนกับพื้นถึงแม้จะยังรู้สึกตัวอยู่แต่กลับไม่สามารถขยับร่างกายได้ อีกฝ่ายเดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับยกตัวเขาขึ้นมาจ้องมองด้วยท่าทีเซ็งๆ ก่อนที่จะลากตัวเขาไปกับพื้น
หลังจากโดนลากอยู่สักพักในที่สุดมันก็มาหยุดอยู่หน้าห้องห้องหนึ่ง เมื่อประตูเปิดออกมันก็โยนเขาเข้าไปในห้องนั้นทันที ถึงเขาจะรู้สึกมึนหัวเล็กน้อยแต่ว่าอย่างน้อยในตอนนี้เขาก็เริ่มขยับตัวได้แล้วเขาได้มองไปรอบๆ ห้องแล้วก็พบว่าในห้องนี้เองก็มีคนที่โดนจับมาแบบเดียวกับเขาด้วยเช่นกันแถมที่คอของทุกคนก็มีบางอย่างสวมไว้อยู่ เขาที่เห็นแบบนั้นถึงใช้มือลูบไปที่คอของตัวเองและก็พบว่ามีของแบบเดียวกันสวมไว้อยู่ถึงแม้จะไม่มีอะไรมายืนยันว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นถูกต้อง แต่เขาก็พอจะเข้าใจแล้วว่าตอนนี้ตัวเองกับคนอื่นๆ ที่อยู่ที่นี่โดนจับมาเพื่ออะไร
คงจะเป็น ทาส หรือไม่ก็อะไรสักอย่างที่เป็นแนวๆ เดียวกัน แต่ไม่ว่ามันจะเป็นแบบไหนสุดท้ายมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับตัวเขาแน่นอน เขามองที่ที่ไอ้มังกรนั้นและเห็นมันถืออะไรสักอย่างอยู่และทำท่าทีเหมือนว่ากำลังจะใช้งานมัน ตัวเขาที่เห็นแบบก็ได้พยายามจะดีดตัวเข้าไปหาอีกฝ่ายแต่มันก็ได้สายไปเสียแล้ว ร่างกายของเขาเริ่มกลับมาขยับไม่ได้อีกครั้งแถมยังมีความรู้สึกง่วงนอนอย่างหนักตามมา เขาจึงพยายามคุมสติเพื่อไม่ให้ตัวเองหลับเหมือนกันคนอื่นๆ ในห้อง
เจ้ามังกรกล้ามที่เห็นว่าชายหนุ่มยังคงมีสติอยู่ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยแต่มันก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก มันเดินเข้ามาหาชายหนุ่มด้วยรอยยิ้มพร้อมกับจับตัวชายหนุ่มยกขึ้นมามองอย่างคาดหวัง
<อึดกว่าที่คิดอีกนะเนี่ย ถ้าแบบนี้และก็คงขายได้ราคาดีแน่ๆ …>
ทันใดนั้นเองชายหนุ่มก็ได้ถุยน้ำลายไปที่ใบหน้าของอีกฝ่าย ตัวมันก็รู้สึกเหมือนกับมีน้ำอะไรเหนียวๆ พุ่งมาติดที่แก้มของตัวเอง มันจึงใช้มือเช็ดไปที่แก้มพร้อมกับมองไปที่ชายหนุ่มด้วยความโกรธ
“หึ!! อะไรกันอยู่ๆ ก็ทำหน้าแบบนั้น ว่าแล้วเชียวสุดท้ายแกมันก็แค่จิ้งเหลนธรรมดานี่หว่า…”
<รู้อะไรไหมในบรรดาพวกที่ข้าเคยจับมาขาย แกเป็นคนแรกเลยล่ะ… ที่ทำให้ข้าหงุดหงิดได้ขนาดนี้!!>
เมื่อพูดจบมันก็จับชายหนุ่มขึ้นมาแล้วเหวี่ยงเข้าไปข้างในจนไปกระแทกกับผนังห้องอย่างแรง
<ชิ!! เพราะแกเป็นสินค้าหรอกนะข้าเลยฆ่าแกโดยพลการไม่ได้ แต่…!! เตรียมตัวไว้เถอะแกไม่ได้ตายสบายแน่… ไอ้มนุษย์!!>
“โธ่เว้ย… บ่นบ้าอะไรอยู่ได้ว่ะ… ก็บอกอยู่ว่าฟังไม่รู้เรื่องโว้ย…”
เขาพูดพึมพำออกมาด้วยท่าทีที่หมดแรงก่อนที่จะค่อยๆ หมดสติไปในที่สุด…
*****
ศิวะ นวรัตน์
← ตอนก่อน