179 – ปล้น
เอี้ยนลี่เฉียงรออยู่บนต้นไม้ไม่นานนัก ในเวลาเพียงชั่วพริบตา แสงสว่างก็สาดส่อง ลานด้านหน้าของชุมชนชาวชาตู ผู้คนจํานวนมากต่างวิ่งออกมาพร้อมเสียงตะโกน
เขาหรี่ตาและสังเกตสถานการณ์ภายในลานกว้างใหญ่ของชาว ชาตูผ่านช่องว่างของใบไม้เขียวชอุ่ม
ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ไม่นานหลังจากนั้นชายชาตูที่มีเคราและแข็งแรงในวัยห้าสิบก็ออกมาจากห้องหนึ่งในลานบ้านพร้อมเสื้อพาดบ่า
ชายชาตูคนนั้นดูเหมือนจะถูกปลุกโดยใครบางคนเสียงคํารามของเขาดังกึกก้องแล้วทุกคนก็เงียบลง
เมื่อชายชาตูที่ออกมาเห็นไฟที่โกดังอยู่ไกลๆสีหน้าของเขาก็บิดเบี้ยวทันที หลังจากตะโกนด้วยภาษาชาตูที่ฟังดูไร้สาระอยู่พักหนึ่ง บุคคลนั้นก็ได้นํากลุ่มชาวชาตูกลุ่มใหญ่ไปลานบ้านพร้อมกับถังน้ําและเครื่องมืออื่นๆ
พวกเขาพุ่งเข้าหาโกดังที่ไฟไหม้อยู่ไกลๆ ด้วยเหตุนี้นอกจากชาวชาตูห้าหรือหกคนที่ยังคงยืนเฝ้าอยู่ในลานทั้งหมด คนชาติอื่นๆส่วนใหญ่จึงรีบไปที่โกดัง
ชายชาตูวัยห้าสิบจากก่อนหน้านี้เป็นผู้นําของชาวชาตูในเมืองผิงซี ชื่อของเขาคืออลิกูจิน 99 เปอร์เซ็นต์ของคนฮั่นในเมืองผิงซีจะพบว่าชื่อนี้ไม่คุ้นเคยเพราะส่วนใหญ่คิดว่าชาวชาตูในเมืองผิงซีไม่มีผู้นํา
พวกเขาอยู่ภายใต้ความเข้าใจผิดและคิดว่าคนพวกนี้อยู่ใต้การปกครองของชนเผ่าทั้งเจ็ดของชาวชาตู
เมื่อสองสามทศวรรษก่อน เมื่อจํานวนประชากรของชาวชาตูในเมืองผิงซีไม่สูงเท่าทุกวันนี้พวกเขาก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ชาวชาตูในเมืองนั้นมาจากกองคาราวานของชนเผ่าชาตูทั้งเจ็ด
ชาวชาตูในเมืองผิงซีได้สร้างชุมชนที่แยกจากกันมาก เป็นไปไม่ได้ที่ชาวฮั่นในเมืองจะก้าวเข้าสู่วงสังคมของพวกเขา
ไม่เพียงเท่านั้นชาวชาตูยังพยายามรักษาความลับของกิจการภายในของตนไว้ ดังนั้นความเข้าใจและความประทับใจที่คนธรรมดาในเมืองผิงซีมีต่อชาวชาตูเหล่านั้นยังคงเหมือนเมื่อกว่าทศวรรษที่แล้ว
เย่เทียนเฉิงผู้ว่าการแคว้นดผิงซีคือคนส่วนน้อยที่รู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของชาวชาตูภายในเมือง เพราะตระกูลเย่มีธุรกิจมากมายที่เกี่ยวข้องกับชาวชาตู
และอาลีกูจินก็เป็นคนในเมืองผิงซีที่ช่วยอํานวยความสะดวกในการเจรจาระหว่างเผ่าทั้งเจ็ดของชาตูและเย่เทียนเฉิง
ถ้าไม่ใช่เพราะความลับที่เขาค้นพบขณะสัญจรไปมารอบๆเมือง ผิงซีในฐานะวิญญาณ เอี้ยนลี่เฉียงคงไม่รู้เกี่ยวกับกิจการภายในของชาวชาตู
ในที่สุดเขาก็เข้าใจสิ่งหนึ่งเกี่ยวกับตระกูลเย่และเย่เทียนเฉิง หน่วยงานที่อันตรายที่สุดสําหรับประเทศและผู้คนในนั้นไม่ใช่ศัตรูที่ดุร้ายแต่กลับเป็นข้าราชการทุจริตที่ประกอบธุรกิจสกปรก
คนพวกนี้สามารถขายประเทศและประชาชนของพวกเขาด้วยเหตุผลที่เห็นแก่ตัว เจ้าหน้าที่ทุจริตเหล่านี้เปรียบเสมือนเซลล์มะเร็งของประเทศนั่นเอง
ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้ถูกกําจัดออกไป พวกเขาจะกลืนกินพลังชีวิตของประเทศจนหมด หลังจากนั้นพวกเขาก็จะผลักประชาชนธรรมดาทั่วไปให้ตกนรกทั้งเป็น
….
เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงเห็นอาลีกูจินรีบวิ่งไปที่โกดังพร้อมกับกลุ่มชาวชาตู เขาก็กระโดดลงมาจากต้นไม้ราวกับแมวป่าหลังจากนั้นเขาก็วิ่งไปถึงกําแพงลานบ้านและพลิกตัวไปอีกฝั่งทันที
เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงยังอยู่กลางอากาศ มือของเขาก็ล้วงไปที่เอว ทันทีที่ร่างกายของเขาพลิกกลับเขาปล่อยลูกดอกสีลูกติดต่อกันจากมือของเขา
ยามสี่คนในลานถูกลูกดอกของเอี้ยนลี่เฉียงแทงเข้าที่คอและล้มลงกับพื้นก่อนที่พวกเขาจะส่งเสียงใดๆออกมา
เอี้ยนลี่เฉียงเข้าไปข้างในคฤหาสน์โดยไม่หยุดแม้แต่วินาทีเดียว
เขาเดินผ่านทางเดินและเลี้ยวตรงหัวมุมปลายทางเดินนั้น เสียงพึมพําและเสียงฝีเท้าของคนชาตูสองคนดังมาจากข้างนอกในระยะไกล
เอี้ยนลี่เฉียงคว้าเข็มบินสองอันแล้วเหวี่ยงออกจากมือของเขา เข็มบินทั้งสองหมุนโค้งแปลกๆ ที่หัวมุมและเสียงสนทนาของชาวชาตูทั้งสองก็หยุดลงทันที
เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงปล่อยเข็มบินทั้งสอง เขาก็พุ่งไปข้างหน้าไม่หยุด เมื่อเขาเดินไปตามมุมร่างของผู้คุ้มกันชาตูสองคนก็แข็งที่อไปแล้ว
ปรากฏว่าเข็มบินทั้งสองที่เอี้ยนลี่เฉียงยิงออกไปได้เจาะเข้าไปในบริเวณระหว่างหน้าอกและหน้าท้องของพวกเขา
เอี้ยนลี่เฉียงรีบดึงเข็มบินทั้งสองออกจากร่างกายของพวกเขา จากนั้นจึงเฉือนคอของพวกเขาด้วยดาบสั้น ทําให้ชีวิตของผู้คุ้มกันชาตูสองคนนั้นเสียชีวิตทันที
มีบ้านอยู่ข้างหน้าทางเดินนี้ไม่ไกลนัก เอี้ยนลี่เฉียงรีบวิ่งไปที่บ้านผลักประตูและบุกเข้าไปในห้องโดยไม่คิดอะไรเลย
เขาพบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่ซึ่งดูเหมือนห้องนั่งเล่นที่มีห้องนอนอยู่ไกลออกไปในบ้าน
เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงเข้าไปข้างในก็มองเห็นหญิงสาวรูปร่างงดงามชาวชาตูนั่งอยู่หน้า โต๊ะเครื่องแป้ง
นางสวมชุดนอนบางๆ เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูนางก็พบว่าเอี้ยนลี่เฉียงยืนอยู่หน้าประตูนั้น
แต่ก่อนที่หญิงสาวคนนี้จะทําได้มีโอกาสกรีดร้อง เอี้ยนลี่เฉียงพุ่งเข้าไปหานางก่อนจะกระแทกสันมือเข้าไปต้นคอของหญิงสาวอย่างรุนแรง
เอี้ยนลี่เฉียงเอื้อมมือไปใต้เตียงในห้องนอนนี้และคลําหาไปรอบๆก่อนที่เขาจะค้นพบปุ่มกลไกในที่สุด เขากดมันให้แรงที่สุดและเปิดช่องลับใต้เตียงออก
เขาเปิดช่องลับและพบกล่องไม้ที่ยาวประมาณสองจ้างและกว้างหนึ่งจ้าง ภายในกล่องไม้นั้นมีภาพอันตระการตาที่แม้ว่าเขาจะเคยเห็นมาแล้วแต่ก็ยังอดรู้สึกทิ้งไม่ได้
ภายในกล่องไม้มีพวงไข่มุก อัญมณี และตั๋วแลกเงินมากมาย เอี้ยนลี่เฉียงเทสิ่งของในกล่องลงในกระสอบที่เขาแบกไว้บนหลังโดยไม่ลังเล
หลังจากที่เขาทําเสร็จแล้วเขาก็เคาะที่ด้านล่างของกล่องไม้และคลําหาไปรอบๆสักครู่ก่อนที่จะเปิดช่องอื่นที่อยู่ด้านล่างของกล่องไม้
ภายในห้องนั้นมีขวดกระเบื้องเคลือบสีดําขนาดประมาณฝ่ามือปิดผนึกด้วยขี้ผึ้ง
หนังสือที่ห่อด้วยผ้าไหม ลูกแก้วโปร่งแสงสองชิ้นขนาดประมาณไข่นกพิราบที่เรืองแสงด้วยความวาวแปลกๆ และกระบอกโลหะขนาดประมาณครึ่งจ้าง
เอี้ยนลี่เฉียงไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่เขาคิดว่าสิ่งที่เก็บไว้ในช่องที่ซ่อนอยู่ของกล่องไม้นี้มีค่ามากกว่าไข่มุก อัญมณี และตั๋วแลกเงินที่เก็บไว้ในช่องด้านบนอย่างแน่นอน เขาเก็บสิ่งของเหล่านี้ไว้ในกระเป๋าเป้โดยไม่ได้คิดอะไร
ในเวลาเพียงไม่ถึงสองนาที เอี้ยนลี่เฉียงก็สามารถเก็บกวาดทุกอย่างที่ซ่อนอยู่ภายในช่องลับใต้เตียงได้หมด
เขาค้นหาทั่วห้องเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะรีบออกจากห้องพร้อมกับกระสอบที่แบกไว้บนหลัง ครึ่งนาทีต่อมาเอี้ยนลี่เฉียงได้พลิกไปอีกด้านของกําแพงคฤหาสน์หลังใหญ่นี้อีกครั้งและกลับมาข้างนอก
“หูเล้ง..!?”
กลุ่มคนชาตูประมาณสิบคนถือเครื่องมือต่างๆเพื่อดับไฟ ในขณะที่เอี้ยนลี่เฉียงพลิกตัวผ่านกําแพงลานบ้าน เขาก็บังเอิญชนเข้ากับกลุ่มชาวชาตูกลุ่มนี้
“หูเล้ง” หมายถึง “ใคร” ในภาษาชาตู
เพื่อให้คําตอบกับฝ่ายตรงข้ามเอี้ยนลี่เฉียงก็ปาลูกดอกที่อยู่ในมือออกไปทันที
ลูกดอกน้ําพุ่งเข้าปากของชายชาตูและแทงทะลุด้านหลังศีรษะของเขา แรงกระแทกส่งชายชาตูบินไปข้างหลังเล็กน้อย หลังจากนั้นเอี้ยนลี่เฉียงก็ปลดเอาคันธนูรวมถึงลูกศรของชายชาตูคนนั้นมาถือไว้
ชาวชาตูที่อยู่ข้างๆเขาเริ่มตะโกน บางคนดึงมีดสั้นที่พวกเขาถือออกมาและพุ่งเข้าหาเอี้ยนลี่เฉียง
เอี้ยนลี่เฉียงยืนนิ่งอยู่บนถนนเขาดึงคันธนูและปล่อยลูกธนูประมาณสองถึงสามลูกทุกๆวินาที ในเวลาเพียงห้าถึงหกวินาที เขายิงสังหารทุกคนที่อยู่ในกลุ่มไม่เหลือแม้แต่คนเดียว
ความโกลาหลบนถนนสายหลักทําให้เกิดเสียงดังขึ้นในทันที ก่อนที่จะมีผู้คนจํานวนมากจะมาถึง เอี้ยนลี่เฉียงก็ได้หลอมรวมเข้ากับความมืดมานานแล้วและทุ่งหาสะพานเก้ามังกรราวกับเป็นเงาสีดํา
เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงอยู่ใกล้กับสะพานเก้ามังกร เขาได้ยินเสียงม้าแรดควบตะบึงมาทางด้านหลัง ชาวชาตูบางคนได้สติแล้วและกําลังไล่ตามมาที่นี่จากทุกทิศทุกทาง
เอี้ยนลี่เฉียงข้ามแม่น้ําและมาถึงทางทิศตะวันออกของสะพานเก้ามังกร เขาปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านและหลังจากรออย่างเงียบๆอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เห็นกลุ่มคนชาตูไล่ตามเขาไปตลอดทาง
โว้ว! โว้ว! โว้ว! โว้ว!
ในความมืด ธนูยาวในมือของเอี้ยนลี่เฉียงราวกับลางสังหรณ์แห่งความตาย ก่อนที่ชายชาตูคนใดจะขี่ผ่านสะพานเก้ามังกรมาได้ พวกเขาทั้งหมดก็ถูกยิงตกหลังม้าทันที
หลังจากที่เอี้ยนลี่เฉียงยิงธนูที่เหลืออีก 20 ลูกเขาก็สามารถสังหารทหารม้าของชาวชาตู 20 คนโดยไม่ปล่อยให้ใครหลุดรอดไปได้
หลังจากนั้นเอี้ยนลี่เฉียงโยนธนูยาวและลูกธนูทิ้งลงไปในน้ํา พร้อมกับหัวเราะและคํารามออกมาว่า
“หลานชาตู ปู่ของเจ้างูจงอางมาแล้ว! หากใครกล้าก็ไล่ตามมาข้าจะสังหารให้หมดทุกคน!”
เมื่อได้ยินคําพูดของเขาและซากศพที่กองอยู่ข้างหน้า ก็ไม่มีชาวชาตูที่ด้านหลังคนใดกล้าที่จะพุ่งผ่านสะพานเก้ามังกรไป
เอี้ยนลี่เฉียงกระโดดลงจากหลังคาและหายเข้าไปในตรอกมืดหลังสะพานเก้ามังกรราวกับเงา
ในเวลาไม่ถึงสองนาทีเขาก็มาถึงบ้านเล็กๆที่เขาเช่าอยู่ใกล้ๆสะพานเก้ามังกร หลังจากแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่รอบๆเอี้ยนลี่เฉียงก็กระโดดข้ามรั้วและลงไปที่ลานบ้านของเขา
เขาเข้าไปในอาคาร ปิดหน้าต่างเปลี่ยนเสื้อผ้าและถอดหน้ากากออก เอี้ยนลี่เฉียงแทบจะกลั้น เสียงหัวเราะของตัวเองไม่ได้…
เขาเอากระสอบสีดําไปเก็บซ่อนไว้อย่างดีก่อนจะปีนขึ้นมานอนบนเตียงและหลับสนิท
ในเวลาไม่นาน เขาได้ยินเสียงทหารในเมืองควบม้าเข้าหาสะพานเก้ามังกร
เหมือนทุกอย่างจะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง