บทที่ 179 นายน้อยผู้อยู่เบื้องหลัง
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ เหมยเชาฟง ไม่ค่อยชอบหน้า เสวี่ยเอ๋อร์ สักเท่าไหร่แต่ตอนนี้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกใกล้ชิดกับนางมากขึ้นเพราะนางกำลังเป็นเพื่อนร่วมชะตาเดียวกันกับเขา
บนเก้าอี้เจ้าสำนักขณะนี้มีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่ เขาสวมชุดผ้าไหม สีม่วงคาดเข็มขัดสีขาวที่เอว ผมยาวสีดำขลับเป็นมันเงาเข้ากับใบหน้าที่หล่อเหลาได้อย่าง สมบูรณ์แบบ
หากไม่ใช่เพราะสีหน้าของชายหนุ่มตอนนี้กำลังเดือดดาลสุดขีดเขาคงจะดูมีเสน่ห์มากกว่านี้อีกหลายเท่า ชายหนุ่มจ้องเขม็งไปที่คนสองคนที่คุกเข่าต่อหน้าเขา
“พวกเจ้าสองคนนี่มันเหลือเชื่อจริง ๆ ! เสวี่ยเอ๋อร์ ไม่นานมานี้เจ้าส่งข้อความมาบอกข้าว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุม เจ้าบอกข้าว่าเจ้าจะทำให้ขยะซูอัน หายวับไปจากโลกในไม่ช้า แต่ตอนนี้เจ้ากลับบอกข้าว่าเวลานี้ตัวตนของเจ้าถูกเปิดเผยและต้องหนีหัวซุกหัวซุนออกจากตระกูลฉู่งั้นหรือ?”
ถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะเผยรอยยิ้มออกมา แต่มันไม่ใช่รอยยิ้มแห่งความสุข มันคือรอยยิ้มที่ เต็มไปด้วยความเดือดดาลและน้ำเสียงของเขาเย็นชาอย่างที่สุด
“นายน้อย ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย! คือมันเกิดเรื่องไม่คาดคิดในระหว่างที่ข้าลงมือ!” เสวี่ยเอ๋อร์ เอ่ยขึ้นพร้อมกับก้มศีรษะลงด้วยสีหน้าละอาย นางต้องการแบ่งเบาภาระของนายน้อย แต่ใครจะไปคิดว่านางจะกลายเป็นคนที่ทำให้เรื่องมันยิ่งวุ่นวายมากกว่าเดิม?
ยิ่งไปกว่านั้น สาเหตุที่แผนของนางพังทลายทั้งหมดมันดันเป็นเพราะไอ้ขยะผู้นั้นคนเดียว!
“เกิดเรื่องไม่คาดคิด?” ชายหนุ่มถามกลับด้วยสีหน้าเย็นชา “เจ้ารู้ไหมว่าข้าทุ่มทุนทั้งเงินและเส้นสายไปมากแค่ไหนเพื่อทำให้ให้เจ้าแทรกซึมเข้าไปในตระกูลฉู่ได้อย่างแนบเนียน? แถมตัวเจ้าเอง ที่เข้าไปอยู่ได้ก็ตั้งนานแล้วไม่ใช่แค่แม้แต่จะฆ่าซูอันก็ทำไม่สำเร็จ แต่เจ้ากลับทำให้เรื่อง ทุกอย่างมันยุ่งยากขึ้นไปอีก!”
“นายน้อย ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย! ข้าให้สัญญาว่าหลังจากนี้ข้าจะเอาชีวิตซูอันให้ได้แน่นอนไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม! ” เสวี่ยเอ๋อร์ พูดขึ้นพร้อมกับโขกหัวตัวเองกับพื้น ร่างกาย ของนางสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้
ชายหนุ่มพ่นลมหายใจอย่างรุนแรงก่อนที่เขาจะมองไปทาง เหมยเชาฟง พร้อมกับตะโกนว่า “เจ้าด้วย! เสวี่ยเอ๋อร์ยังเด็กอยู่ ดังนั้นข้าจึงเข้าใจได้ว่านางไม่มีประสบการณ์ในเรื่องที่ข้ามอบหมายให้ แต่เจ้า เจ้ามีประสบการณ์มากมาย แต่เจ้าเองก็จัดการกับไอ้ขยะนั่นไม่ได้ มันเป็นแบบนี้ได้ยังไง? และยิ่งไปกว่านั้นเจ้าถึงกับติดหนี้ไอ้ขยะนั่น 7,500,000 ตำลึงเงิน! ไหนบอกข้าทีว่าเจ้ามีปัญญาใช้หนี้มันยังงั้นหรือ?”
เหงื่อเย็นผุดขึ้นทั่วร่างของ เหมยเชาฟง อย่างควบคุมไม่ได้ เขาอธิบายด้วยสีหน้าหวาดกลัวว่า “นายน้อย ข…ข…ข้าขอโทษสำหรับความผิดพลาดของข้าครั้งนี้จริง ๆ ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ามันจะมีใครทำเงินได้ 7,500,000 ตำลึงเงินในการเดิมพันเพียงแค่ 2 รอบสั้น ๆ ส่วนเรื่องตั๋วหนี้ ข้าไม่ใช่คนคิดที่จะเขียนตั๋วหนี้ให้ไอ้ขยะนั่น! แต่แม่นางเฉียวกลับพูดกดดันให้ข้าเขียนตั๋วหนี้ใบนั้นออกไป ดังนั้นข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องดำเนินการตามที่นางบอก”
ที่มาของท่าทีหวาดกลัวในตอนนี้ของ เหมยเชาฟง นั้นเป็นเพราะว่า ชายหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าเขาตอนนี้คือนายน้อยคนที่หกของตระกูลซือ ซือคุน บิดาของเขาทำหน้าที่เป็นเสนาบดีกรมสงคราม ดังนั้นมันจึงแน่นอนว่าตระกูลซือ คือหนึ่งในตระกูลที่มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ในเมืองหลวง ส่วนอุปนิสัยของ ซือคุนนั้นเป็นคนที่ห้าว ๆ แต่ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงอีกด้วย นับได้ว่าเขาเป็นตัวเลือกที่คนในตระกูลซือไว้ใจมอบหมายให้ทำภารกิจสำคัญของตระกูลมากมาย
ชายคนนี้เป็นคนที่คอยดูแลเกี่ยวกับ ‘กิจการใต้ดิน’ ส่วนใหญ่ของตระกูลซือ จากสิ่งที่ เหมยเชาฟงรู้ ซือคุน ควบคุมดูแลกลุ่มอิทธิพลใต้ดินคล้ายกับสำนักดอกบ๊วยของเขาซึ่งมีจำนวนมากมายกระจัดกระจายอยู่ตามมณฑลอื่น ๆ ทั่วอาณาจักร
“โอ้? เสวี่ยเอ๋อร์ให้เจ้าเขียนมันงั้นหรือ?” ซือคุนหันไปมองเสวี่ยเอ๋อร์ “นี่เจ้าเป็นคนของข้า หรือเป็นคนของตระกูลฉู่กันแน่?”
เสวี่ยเอ๋อร์รีบอธิบายทันทีด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “นายน้อย สถานการณ์ในตอนนั้นมันไม่มีทางคลี่คลายได้หาก เหมยเชาฟง ไม่เขียนตั๋วหนี้ให้กับ ซูอัน! ข้าไม่ต้องการที่จะทำให้เรื่องมัน บานปลายมากกว่าเดิมดังนั้นข้าจึงให้เขาเขียนตั๋วหนี้เพื่อให้เรื่องมันจบไปก่อน ท่านต้องเข้าใจว่า ข้าเองก็ไม่มีความคิดที่จะให้เหมยเชาฟงชำระหนี้ตามที่ระบุไว้ตั๋วหนี้เช่นกัน ดังนั้นข้าจึงไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับมันมากนัก”
ซือคุน กระทืบเท้าด้วยความโกรธถึงขีดสุด “ตระกูลซือ ดูแลเจ้าให้การศึกษาเจ้ามาหลายปีแล้ว แต่เจ้ากลับยังคงเป็นคนไร้ความสามารถ! เจ้าคิดว่าตระกูลฉู่ จะกล้าสั่งกองทัพผ้าคลุมสีชาด ลงมือที่นั่นจริงหรือ? เจ้าไม่รู้เลยหรือไงว่าเมื่อไหร่ที่พวกเขาเคลื่อนไหวโดยใช้กองทัพผ้าคลุมสีชาด ราชสำนักจะส่งคนมาปราบปรามพวกเขาในวันรุ่งขึ้นทันที!”
เสวี่ยเอ๋อร์ก้มศีรษะของนาง “มันเป็นความผิดพลาดของข้า”
ซือคุน ยังคงไต่สวนต่อไป “เอาล่ะเอาเป็นว่าข้าจะให้อภัยเจ้าในเรื่องนี้ไปก่อน มาพูดกันถึงอีกเรื่องดีกว่า ทำไมเจ้าถึงล้มเหลวในการลอบสังหาร ซูอัน?”
“ไอ้ขยะนั่นมันไม่ใช่คนไร้ความสามารถอย่างที่พวกเราเข้าใจ แท้จริงแล้วมันเป็นผู้บ่มเพาะต่างหากนายน้อย!” เสวี่ยเอ๋อร์ รีบตอบกลับ
“มันเป็นผู้บ่มเพาะ? มันอยู่ระดับไหนกัน!?” ซือคุนลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าตื่นตระหนกทันที
“น่าจะระดับสาม แต่มีบางอย่างแปลก ๆ เกี่ยวกับความสามารถในการต่อสู้ของเขา…” เสวี่ยเอ๋อร์ไม่แน่ใจเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในแง่ของการใช้งานพลังชี่ มันไม่ผิดที่จะพูดว่า ซูอัน อยู่ในระดับสาม แต่ในด้านความแข็งแกร่งของร่างกาย ซูอัน แข็งแกร่งเหนือกว่าผู้บ่มเพาะระดับสามไปไกลโข
“นี่เจ้า! เจ้ากำลังจะบอกว่าผู้บ่มเพาะระดับห้าอย่างเจ้าไม่สามารถแม้แต่จะฆ่าผู้บ่มเพาะระดับ 3 ได้?” ซือคุน พบว่าเรื่องราวมันน่าขันมากกว่าที่เขาคิดซะอีก เขาหัวเราะทั้ง ๆ ที่โมโหสุดขีด
เสวี่ยเอ๋อร์หน้าแดง “นายน้อย ตอนที่ข้าสู้กับเขา ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะ จู่ ๆ ท้องของข้ามันก็เริ่มเจ็บขึ้นมาอย่างกะทันหันราวกับว่า ซูอัน เป็นต้นเหตุ…”
นางได้ให้แพทย์มาตรวจร่างของนางในภายหลัง ซึ่งแพทย์ผู้นั้นก็วินิจฉัยว่าร่างกายของนางไม่มีอะไรผิดปกติ แต่เมื่อนางถามลึกไปถึงความรู้สึกที่นางเคยเผชิญ แพทย์ผู้นั้นกลับตั้งข้อสังเกตว่ามันคล้ายกับอาการที่มารดาจะประสบระหว่างการคลอดบุตร
อย่างไรก็ตาม เสวี่ยเอ๋อร์ยังคงเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์ดังนั้นนางจะตั้งครรภ์ได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น อาการเหล่านั้นก็หายไปในทันใดหลังจากเวลาผ่านไปพักหนึ่งซึ่งมันทำให้นางสับสนอย่างสิ้นเชิงว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของนางกันแน่?
“ท้องของเจ้าเริ่มปวดในช่วงเวลาวิกฤติ? ไร้ความสามารถอย่างยิ่ง!” ซือคุนคำรามด้วยใบหน้าที่น่ากลัว “ในเมื่อไอ้สารเลวซูอันนั่นมันไม่ใช่ขยะอย่างที่ทุกคนเข้าใจ แถมดูเหมือนว่ามันมีแผนการอะไรบางอย่างเพื่อแฝงตัวเข้าไปในตระกูลฉู่อีกต่างหาก หากมันเป็นหญิงสาวข้าคง ไม่คิดมาก แต่นี่มันเป็นผู้ชาย! มันมีโอกาสสูงมากที่ท้ายที่สุดอาจจะชนะใจและร่างกายของ ฉู่ชูเหยียน!”
แค่คิดถึงใบหน้าและรูปร่างที่สมบูรณ์แบบของ ฉู่ชูเหยียน นอนอยู่ในอ้อมกอดของ ซูอัน มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ ซือคุน ถูกเติมเต็มไปด้วยความริษยา
เสวี่ยเอ๋อร์ รู้ว่า ซือคุนกังวลเรื่องอะไร ดังนั้นนางจึงชี้แจงอย่างรวดเร็วว่า “นายน้อย ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนั้น ทั้งสองคนไม่เคยหลับนอนอยู่ในห้องเดียวกัน แถมคุณหนูใหญ่ก็ไม่เคยมีท่าทีว่านางจะสนใจ ซูอัน แม้แต่น้อย ข้ามั่นใจว่านางไม่มีทางปล่อยให้ ซูอัน มาวุ่นวายกับนางแน่นอน”
“นั่นอาจเป็นจริงในตอนนี้ แต่เราจะมั่นใจได้อย่างไรสำหรับในอนาคต?” ซือคุนลุกขึ้นยืน ด้วยสีหน้ากังวล “ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้! เราจำเป็นต้องจัดการกับไอ้ตัวปัญหานั่นโดยเร็วที่สุด ไหนเจ้าบอกมาว่าแผนต่อไปของเจ้าคืออะไร?”
เหมยเชาฟงชำเลืองมองเสวี่ยเอ๋อร์ก่อนจะอธิบายแทน “วันนี้แม่นางเฉียวจัดให้คนวงใน ขับไล่ซูอันออกจากสถาบันจันทร์กระจ่าง เพื่อที่ข้าจะได้หาโอกาสกำจัดเขาข้างนอก อย่างไรก็ตาม คนที่นางมอบหมายงานให้กลับไม่สามารถไล่ ซูอัน ออกไปได้ ตรงกันข้าม คนผู้นั้นกลับถูกไล่ออกจากสถาบันแทนอีกต่างหาก”
ซือคุน แทบไม่เชื่อในสิ่งที่เขาได้ยิน “ถ้าข้าไม่รีบมาที่นี่เพราะการเปิดขึ้นของ มิติลับหยกจรัส ข้าคงไม่มีทางรู้ได้เลยว่าพวกเจ้ามันไร้ความสามารถกันขนาดไหน! เร็วเข้าอธิบายมาอย่างละเอียดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!”
เสวี่ยเอ๋อร์ พยักหน้าและอธิบายด้วยสีหน้าสลด “นายน้อย วันนี้ข้าใช้เส้นสายของท่านในเมืองจันทร์กระจ่าง เพื่อให้ หยางเว่ย ช่วยเหลือข้าในการขับไล่ ซูอัน ออกจากสถาบันจันทร์กระจ่าง ทว่าใครจะไปคิดว่า ซูอัน กลับเก่งกว่า หยางเว่ย ในด้านคณิตศาสตร์? จนท้ายที่สุด หยางเว่ย ก็ถูกขับไล่ออกจากสถาบันแทน”
“หะ? ทำไมไอ้ขยะนั่นมันถึงได้เก่งไปซะรอบด้านแบบนี้?” ซือคุนรู้สึกประหลาดใจ รายงาน ที่เขาได้รับมาทั้งหมดต่างชี้ว่า ซูอัน นั้นเป็นคนไร้ค่าไม่มีอะไรดีสักอย่าง แต่แล้วทำไมความเป็นจริงมันกลับสวนทางได้ขนาดนี้?
ทางด้านของ เสวี่ยเอ๋อร์หน้าแดงขึ้นเล็กน้อยเพราะนางจงใจไม่บอกเรื่องที่ซูอันนกเขาไม่ขัน
มันเป็นเรื่องน่าอายเกินไปที่นางจะยอมรับว่านางเคยถูกไอ้ขยะผู้นั้นลูบคลำร่างมา