บทที่ 180 ศัตรูของศัตรู=มิตร
“จากสิ่งที่พวกเจ้าพูดมาทั้งหมดตอนนี้ข้าชักเริ่มสนใจไอ้ขยะนั่นซะแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะไปที่สถาบันจันทร์กระจ่างเพื่อทดสอบมันด้วยตัวเองสักหน่อย” ซือคุนจ้องมองไปยังทิศทางของ สถาบันจันทร์กระจ่างในขณะที่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจและสงบ ราวกับว่าเรื่องนี้มันไม่ใช่ เรื่องใหญ่อะไร
เสวี่ยเอ๋อร์ก้มศีรษะด้วยความละอาย เป็นเพราะข้าไร้ความสามารถ นายน้อยถึงจำเป็นต้องเคลื่อนไหวด้วยตัวเองแบบนี้!
“นายน้อยซ่างยังรอข้าอยู่ข้างนอก ข้าคงต้องออกไปคุยกับเขาสักหน่อย” ซือคุน เอ่ยขึ้น อีกครั้งพร้อมกับลุกขึ้นยืนและเดินมุ่งหน้าไปที่ประตู แต่ก่อนที่เขาจะเดินพ้นประตูออกไป ฝีเท้า ของเขากลับหยุดลงก่อน จากนั้นเขาหันกลับมาถาม เหมยเชาฟง “คนของเจ้าที่แพ้พนันไอ้ขยะซูอันจนเจ้าเป็นหนี้ 7,500,000 ตำลึงเงินชื่ออะไร?”
“ดอกบ๊วยเจ็ด นายน้อย…” เหมยเชาฟง ตอบด้วยสีหน้าหวาดกลัว
ซือคุน พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะพูดอย่างใจเย็นว่า “ไม่มีประโยชน์ที่จะเก็บไอ้ตัวไร้ประโยชน์แบบนั้นเอาไว้ข้างกายอีกต่อไป หลังจากนี้ฆ่ามันทิ้งซะและโยนศพของมันออกไปนอกเมืองให้ หมาจรจัดกิน!”
“ร…รับทราบ!” เหมยเชาฟง รีบตอบกลับด้วยเสียงสั่นเครือ
เจ้าสำนักรู้ดีว่าซือคุนส่งคำเตือนทางอ้อมผ่านคำพูดเหล่านั้นมาหาเขาด้วย ทำให้เขารู้สึก ไม่พอใจสักเท่าไหร่ ตัวข้าคือราชาแห่งโลกใต้ดินของเมืองจันทร์กระจ่าง เมื่อไหร่กันที่ข้ายอมให้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมมาพูดจาสามหาวกับตัวเองแบบนี้?
อย่างไรก็ตาม แม้ เหมยเชาฟง จะไม่พอใจ แต่ในทันทีที่เขาเห็นชายชราที่ติดตาม ซือคุน ไม่เคยห่างความไม่พอใจทั้งหมดของเขาก็แทบจะหายไปทันที
หากสู้กันจริง ๆ ซือคุน คงไม่ใช่ภัยคุกคามที่เขาต้องกังวลเท่าไหร่ แต่ในทางกลับกัน ชายชราคนนั้นน่าจะบี้เขาให้ตายได้ไม่ยาก!
ที่เรือนรับแขกด้านนอก ซ่างเชียน ที่ตอนนี้เริ่มหมดความอดทนจากการรอคอย ทันทีที่เขาเห็นซือคุนเดินมา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มปกปิดสีหน้าไม่พอใจเมื่อครู่ไปอย่างแนบเนียน “นายน้อยซือ มันนานมากแล้วที่พวกเราไม่ได้เจอกัน ท่านยังดูสง่างามไม่เปลี่ยนไปเลย”
ซือคุน หัวเราะและตอบกลับทันทีเมื่อถูกฝั่งตรงข้ามเยินยอ “ท่านเองก็เช่นกันนายน้อยซ่าง ความน่าเกรงขามของท่านไม่ได้ลดลงไปเลยนับจากที่เราเจอกันล่าสุด”
หลังจากที่ทั้งสองเยินยอกันไปมาได้ครู่หนึ่ง ซือคุน ก็เป็นฝ่ายเปิดประเด็นถาม “ข้าขอถาม สักหน่อยได้ไหมว่าบิดาของท่านมีแผนอย่างไรในเวลานี้? ข้าเข้าใจว่าท่านกับบิดาของท่านมาถึงที่นี่ได้สักพักแล้วแต่ทำไมพวกท่านยังไม่เคลื่อนไหวกันอีก? พวกท่านมีแผนอย่างไรกันแน่?”
ซ่างเชียน ยิ้มตอบ “ขณะนี้บิดาของข้ายังเตรียมการไม่เสร็จดังนั้นพวกเราเลยยังไม่ลง แต่ถ้าหากนายน้อยซือต้องการที่จะลงมือก่อนท่านสามารถลงมือได้เลยเพราะผลประโยชน์ของ พวกเราไม่ทับซ้อนกันอยู่แล้ว”
“อืม…ข้าได้ยินมามากว่าผู้ช่วยเสนาบดี ซ่างหง พ่อของท่านนั้นเป็นคนที่สุขุมรอบคอบ ทำอะไรต้องมีแผนการรัดกุมเสมอ ดูเหมือนว่าคำพูดร่ำลือเหล่านั้นจะเป็นเรื่องจริงอย่างไม่ต้องสงสัย”
ถึงแม้ว่าคำพูดของ ซือคุน ดูจะสรรเสริญเยินยอพวกเขามากแค่ไหน แต่ในความคิดของ ซือคุน นั้นกลับรู้สึกเหยียดหยันเป็นอย่างมาก ไอ้พ่อลูกคู่นี้มันคงคิดจะให้ข้าลงมือก่อนเพื่อใช้ข้า เป็นตัวตัดกำลังตระกูลฉู่ เพื่อที่พวกมันจะได้ดำเนินแผนการของพวกมันเองทีหลังได้อย่างสบาย มากขึ้นสินะ? “นายน้อยซือ ชมบิดาของข้ามากเกินไปแล้ว อันที่จริงบิดาของข้าเป็นกังวลอยู่เล็กน้อย ว่าถ้าหากพวกเราลงมือไปก่อนมันอาจจะส่งผลกระทบถึงแผนการของท่านก็ได้ และอีกอย่างพวกเราอยากจะให้ท่านแต่งงานกับ ฉู่ชูเหยียน ได้เรียบร้อยก่อน เพราะมันจะช่วยตระกูลซ่างของข้าได้มากทีเดียว”
คำพูดของ ซ่างเชียน นั้นสุภาพ แต่ในใจของเขาเต็มไปด้วยความริษยาเช่นกัน ไม่มีชาย คนไหนที่จะไม่สนใจรักใคร่ในตัว ฉู่ชูเหยียน หลังจากได้เห็นรูปลักษณ์อันน่าหลงใหลของนาง เพียงแค่ว่าตระกูลซ่างของเขาอ่อนแอกว่าตระกูลซือดังนั้นเขาจึงจำใจต้องทนรับความจริงที่ว่าเขา ไม่อาจริไปแข็งขันกับ ซือคุน ได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่หันไปหมั้นหมายกับคุณหนูตระกูลเจิ้งเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เขาเองก็ถือว่าโชคดีอยู่เหมือนกันที่ เจิ้งตาน เองก็งดงามมากเช่นกัน ขาดก็แค่พรสวรรค์ด้านการบ่มเพาะและชาติกำเนิดของนางต่ำต้อยกว่า ฉู่ชูเหยียน อยู่สักหน่อยไม่เช่นนั้นทุกอย่างคงสมบูรณ์แบบ
เมื่อหวนนึกถึงเจิ้งตานทำให้เขานึกถึงแผนกับดักน้ำผึ้งที่เขาฝากให้นางล่อลวง ซูอัน หลังจากกลับไปเขาควรจะต้องไปถามไถ่นางสักหน่อยว่ามันไปถึงไหนแล้ว
เฮ้อ…หวังว่านางจะไม่ถูกเอาเปรียบจากไอ้ขยะผู้นั้นมากเกินไปล่ะนะ…
แต่แล้วเมื่อเขาคิดว่าแม้แต่ตัวของเขาเอง เจิ้งตาน ก็ยังไม่ยอมให้เขาจับมือนางได้ซ้ำ ดังนั้นนางจะยอมให้ไอ้คนไร้ค่าอย่าง ซูอันแตะเนื้อต้องตัวนางได้อย่างไร?
เมื่อคิดเช่นนี้มันก็ช่วยคลายความกังวลของเขาลงได้พอสมควร
ในขณะเดียวกัน ซือคุน แสดงสีหน้าพอใจกับคำพูดของ ซ่างเชียน อย่างชัดเจน “ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าขอขอบคุณจริง ๆ กับคำอวยพรของพี่ซ่าง เมื่อไหร่ที่ข้าจัดการกับหัวใจของ ฉู่ชูเหยียน ได้แล้ว ข้าจะส่งบัตรเชิญงานสมรสให้ท่านเป็นคนแรก เมื่อถึงเวลานั้นพวกเรามาดื่มให้เมามายจนจำทางกลับบ้านไม่ได้ไปเลย!”
หึ! แสร้งทำเป็นมิตรกับข้างั้นหรือ? ซ่างเชียน เยาะเย้ยอยู่ภายในใจของเขา แต่ภายนอกเขายังคงแสดงใบหน้าที่เป็นมิตรและตอบกลับว่า “งั้นข้าขอดื่มชาจอกนี้ให้กับความสำเร็จที่ใกล้จะมาถึงของพวกเราและแด่ภารกิจที่องค์จักรพรรดิมอบหมายให้เราก็แล้วกัน!”
“แน่นอน แน่นอน สู่ความสำเร็จของเราและองค์จักรพรรดิ!” ซือคุน ยกถ้วยน้ำชาของเขาขึ้นแล้วชนกับของซ่างเชียน อย่างไรก็ตาม ในใจของเขารู้สึกเย้ยหยันกับคำพูดของฝั่งตรงข้ามเช่นกัน ฮึ่ม เจ้าจงใจยกชื่อองค์จักรพรรดิออกมาพูดสินะ?
ตระกูลซ่างเป็นรับใช้และเป็นที่ปรึกษาให้กับจักรพรรดิ ในขณะที่ตระกูลซือใกล้ชิดกับฝ่ายของจักรพรรดินี ซึ่งหากดูจากผิวเผินแล้วทุกคนคงเข้าใจว่าทั้งคู่จะต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่ในความเป็นจริงสาเหตุที่พวกเขาดูญาติดีต่อกันเป็นเพราะพวกเขามีศัตรูร่วมกันต่างหากซึ่งก็คือ ราชันฉี
ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตเมื่อพวกเขาไม่มีศัตรูร่วมกันแล้ว? ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติอย่างมากที่พวกเขาไม่สามารถไว้วางใจซึ่งกันและกันได้มากนัก
…
เช้าวันรุ่งขึ้น ซูอัน รู้สึกสงบลงมากหลังจากมีเวลาพักสมองและคิดทบทวนสิ่งต่าง ๆ ในโลกแห่งการบ่มเพาะโลกนี้ที่ความแข็งแกร่งเป็นตัวกำหนดทุกสิ่งอย่าง เขาควรให้ความสำคัญกับความแข็งแกร่งมากกว่าศักดิ์ศรีของเขา
โลกนี้ไม่ได้ใจดีกับเขาเลย หลังจากผ่านสถานการณ์อันตรายมากมาย ประสบการณ์มันสอนให้เขารู้ว่าเขาจำเป็นต้องมีวิธีการอื่นเพื่อความปลอดภัยของตัวเองมากกว่าที่จะยึดถือศักดิ์ศรีโง่ ๆ ที่ไม่ยอมฝึกวิชาของขันทีทั้ง ๆ ที่เขาสามารถทำได้
นอกจากนี้ เขาต้องการ วิชาร่างก้าวทานตะวัน จริง ๆ เพราะมันจะต้องช่วยเขาได้มากแน่นอนไม่ว่าจะเป็นสำหรับงานประลองระหว่างตระกูลในวันพรุ่งนี้หรือการเข้าสู่มิติลับเพื่อตามหา ดอกบัวเร้นลักษณ์ เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ซูอัน จึงเริ่มฝึกฝนวิชาร่างก้าวทานตะวันอีกรอบ
หลังอาหารเช้า ฉู่ฮวนเจา มาหาเขาที่เรือนเพื่อตามให้เขาเดินทางไปที่สถาบันจันทร์กระจ่างด้วยกันซึ่งในตอนแรก ซูอัน ไม่อยากจะไปสถาบันจันทร์กระจ่างในวันนี้เพราะเขาต้องการฝึกฝน วิชาใหม่ แต่เมื่อเผชิญกับการถูกตื้อจากน้องภรรยาของเขา แถมวันนี้ ฉู่ชูเหยียน ก็จะไป สถาบันจันทร์กระจ่างกับเขาด้วย ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธไม่ได้ในท้ายที่สุด
เนื่องจากรูปลักษณ์ที่สะดุดตาของ ฉู่ชูเหยียน นางจึงมักจะเดินทางด้วยรถม้า ซึ่งวิธีนี้จะไม่ทำให้เกิดความแออัดบนท้องถนนโดยไม่จำเป็น
เมื่อนั่งบนเบาะนุ่ม ๆ ในรถม้าและได้กลิ่นหอมจาง ๆ ที่ลอยตลบอบอวลอยู่ในรถม้า ซูอันอดไม่ได้ที่จะนึกถึงครั้งแรกที่เขานั่งบนรถม้าคันนี้เมื่อเขาเพิ่งมาถึงโลกนี้ หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นนับตั้งแต่นั้นมา
“ที่รัก เจ้ามีข่าวเกี่ยวกับเสวี่ยเอ๋อร์บ้างไหม?” ซูอัน เอ่ยถามขึ้น
คำว่า ‘ที่รัก’ ทำให้ ฉู่ชูเหยียน มีสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อยตามปกติ นางพยายามบอกให้ผู้ชายคนนี้ไม่พูดคำนี้มาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่ผู้ชายคนนี้ก็ไม่เคยฟังนางเลย จนมันกลายเป็นว่าตอนนี้นางเริ่มชินชากับมันไปเสียแล้วและปล่อยให้เขาพูดมันไปโดยที่นางขี้เกียจจะทัดทาน
“ข้ายังไม่พบนาง นางหายไปราวกับเป็นธาตุอากาศซึ่งข้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าแต่เจ้าถามทำไม? คิดถึงนางงั้นหรือ?”
“ข้าคิดถึงนาง?” ซูอัน แทบจะสำลักน้ำลายตัวเองเมื่อได้ยินคำถามนี้ “ผู้หญิงคนนั้นพยายามจะฆ่าข้าตั้งหลายครั้ง! ข้าดูเหมือนพวกมาโซคิสม์*ในสายตาเจ้าหรือไง? ข้าไม่ได้คิดถึงนางในแบบ ที่เจ้าถาม!”
*มาโซคิสม์ Masochism หมายถึงความสุขหรือความพึงพอใจทางเพศเมื่อได้รับความเจ็บปวดกับตัวเอง โดยมักจะเกี่ยวข้องกับจินตนาการทางเพศหรือการถูกตบตี การถูกเหยียดหยาม การถูกผูกมัด หรือถูกทรมาน เพื่อเป็นการเพิ่มหรือทดแทนความสุข