โลกใบนี้นั้นประกอบด้วยเกาะมากกว่ากว่า 100 เกาะ

หนึ่งในนั้นเป็นดินแดนที่อยู่อาศัยดังเดิมของเหล่ามนุษย์

เกาะของพวกเขามีน้ำที่ใสสะอาดและเป็นดินที่มีความสวยงานอันเต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์

และด้วยการพัฒนาของวิทยาศาสตร์ซึ่งเข้ามามีบทบาทในการส่งเสริมสภาพความเป็นอยู่ให้ดีขึ้นแต่ว่า…

เนื่องจากว่ามันสำเร็จด้วยดีเกินไปทำให้จำนวนประชากรในเกาะแห่งนี้ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนมันได้กลายมาเป็นปัญหา

ดินแดนที่คับแคบและทรัพยากรที่ขาดแคลนไม่เพียงพอต่อจำนวนประชากรที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บ้านหลังใหม่เป็นสี่งที่จำเป็น

นั้นเป็นตอนที่ฮานิลได้ก้าวออกมา

และได้ทำการพัฒนาเครื่องจักรสำหรับการบินรุ่นแรกและทำการพัฒนามันไปจนถึงจุดที่มันสามารถที่จะใช้เดินทางออกไปนอกเกาะของตนเองได้

นี้เป็นครั้งแรกสำหรับการที่มนุษย์สามารถบินออกไปนอกเกาะอื่นได้เป็นผลสำเร็จ

ส่วนโลกของเกาะอื่นๆนั้นก็ยังอยู่บนดินแดนอันคับแคบเหมือนเช่นเคยและไม่ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีการบินใดๆเนื่องจากว่าพวกเขาไม่เห็นเหตุผลที่จะต้องจากเกาะของตนเองไป

ไม่เลย มันก็เป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วที่เทคโนโลยีของพวกเขานั้นล้าหลังเหล่าพวกมนุษย์

สงครามของการพิชิตดินแดนจึงเป็นเรื่องที่ง่ายดาย

ตั้งแต่ที่พวกเขาได้เริ่มค้นหาบ้านหลังใหม่ของตน ฮานิลได้พิชิตเกาะไปมากมายถึงเก้าเกาะ

เกาะที่ถูกพิชิตจะถูกตั้งเป็นอาณานิคมและชนพื้นเมืองของที่นั้นจะถูกทำให้เป็นทาส

แผนการของฮานิลก็คือการที่จะทำให้โลกทั้งใบนี้ให้เป็นของมนุษย์ทั้งหมด

…นี้เป็นเรื่องราวเบื้องหลังและพล็อตเรื่องของโลกใบนี้

แฟรี่_แห่ง_รุ่งอรุณ_ไม่ใด้_เป็นเพียง_แค่_ความฝัน

ซอดัมมองไปที่ฮานิล ตัวเอกที่ได้มายืนอยู่เบื้องหน้าของตน

แทนที่จะเขาก็ติดเครื่องร่อนไว้ที่หลังเหมือนกับคนอื่นๆ เขากลับปกคลุมไปด้วยอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่แปลกประหลาดพร้อมด้วยชาย 20 คนที่มาพร้อมกับเขา

ถ้าดูอย่างเรียบง่ายแค่ในเรื่องของความสามารถทางด้านร่างกาย แต่ละคนนั้นเป็นแรงค์ E ไม่ก็ D ในขณะที่ฮานิลนั้นเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าเป็นแรงค์ D+

ซอดัมมองดูไปโดยรอบ

ต้นไม้ ต้นไม้ และก็ต้นไม้ที่มากกว่าเก่า

ต้นไม้พวกนั้นได้บล็อกเส้นทางในทุกๆที่ ซึ่งเป็นสถานที่ที่แย่ที่สุดสำหรับการต่อสู้ทางอากาศ

ดังนั้นซอดัมที่กำลังใช้สงครามกองโจรและได้ถอยร้นมาจนถึงที่นี้ แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าคนพวกนี้จะตามเขามาตลอดทางจนมาถึงที่นี้

‘เอาจริงๆเลยนะ คนประเภทนี้นั้นเป็นพวกที่ยากต่อการรับมือมากที่สุดเลยนะสิ’

เหล่าศัตรูที่เขาได้เผชิญหน้าในวันก่อนๆ เขาได้สร้างสถานการณ์บางอย่างขึ้นมาเพื่อบังคับให้ตัวเอกตกลงมาอยู่ในกำมือของเขาเสมอ

นั้นคือเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงได้เลือกวิธีพวกนั้นในอดีตที่ผ่านมาเพราะว่าความตายที่เหล่าตัวเอกพวกนั้นได้รับจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมกับ ‘การดำเนินของพล็อต’ แถมยังปลอดภัยและมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินแผนการไม่สูงอีกด้วย

แต่อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้มันไม่ได้แบบนั้น

มันมีทหารกล้าเป็นพันนายที่ได้มอบความภักดีโดยสมบูรณ์ในกับตัวเอกคนนี้ ดังนั้นการต่อสู้กับตัวเอกก็หมายถึงการที่จะต้องต่อสู้กับพวกเขาทั้งหมด

‘แต่…’

พวกเขาวางแผนการต่อสู้ไว้อย่างไรกันนะ?

คำถามนี้ได้ผุดขึ้นมาในใจของฉัน

ปีกของพวกเขานั้นไร้ประโยชน์ที่ในนี้ในป่าแห่งนี้

ในทางตรงกันข้าม มันจะเป็นเรื่องที่ได้เปรียบสำหรับซอดัม

แต่ราวกับเป็นการตอบคำถามข้อนั้น ด้วยทักษะการควบคุมสายลมอย่างเหมาะสม ฮานิลได้เคลื่อนที่ไปด้านหน้าอย่างช้าๆ

‘โห้ อะไรกันหละเนี่ย?’

ปีกอันนี้ไม่เหมือนกับอันที่คนอื่นๆได้สวมใส่อยู่มันมีไอพ่นที่ดูคล้ายกับจรวดติดอยู่ที่ด้านหลังเช่นเดียวกันกับที่มีปีกขนาดเล็กสองอันติดอยู่ที่ด้านข้างของพวกเขา

ด้วยความที่เป็นปีกที่มีขนาดเล็กแบบนี้นั้นมันเลยเป็นไปไม่ได้จะบินขึ้นไปในอากาศที่ระดับสูง แต่ด้วยเทคโนโลยีอันใหม่นี้มันสามารถที่จะทำให้พวกเขาสามารถที่จะต่อสู้กลางอากาศภายในป่าที่หนาแน่นได้ ซึ่งเป็นหน่วยที่ถูกเรียกว่ากองกำลังเคลื่อนที่พิเศษพายุ

ซอดัมนั้นไม่ค่อยที่จะแน่ใจแต่อีกฝ่ายคงจะต้องมีแผนฉุกเฉินสักอย่างสำหรับการต่อสู้ในป่าที่หนาแน่นเช่นนี้

“ยอมจำนนซะ การฆ่าเจ้าไปนั้นสูญเสียซึ่งพรสวรรค์ที่เจ้ามี”

“โห้…”

นี่พยายามที่จะดึงศัตรูที่ได้ฆ่าคนของตนเองไปแล้ว 200 คนมาเป็นพวกเนี่ยนะ

เยี่ยม ยังไงเขาก็เป็นตัวเอกนี่เนอะ

“แล้วถ้าฉันปฏิเสธหละ”

“จะมีเพียงแค่ความตายที่รอเจ้าอยู่”

ฮานิลพูดออกมาในขณะที่ได้ดึงดาบเหล็กที่มีน้ำหนักมหาศาลขึ้นมา

ซอดัมไปเห็นบางสิ่งที่ดูคล้ายกับของที่โลก

มันเป็นเลื่อย (ผู้แปล : น่าจะเป็นอารมณ์คล้ายๆกับเลื่อยไฟฟ้าตามหนังสยองขวัญนะครับ)

แต่อย่างไรก็ตามมันดูไม่เหมือนกับเลื่อยธรรมดาทั่วไป

มันเป็นเลื่อยที่ถูกทำขึ้นจากวัสดุที่พิเศษที่สามารถที่จะพบได้เพียงแค่ที่นี่เท่านั้น

อีกทั้งอาวุธชิ้นนี้ยังเป็นสิ่งที่ฮานิลได้ทำขึ้นด้วยตัวเองแต่ว่ามันมีเพียงแค่ 21 อันเท่านั้นเนื่องจากการขาดแคลนวัสดุ

นั้นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมถึงมีเพียงแค่ฮานิลและกองกำลังเคลื่อนที่พิเศษพายุอีก 20 นายเท่านั้นที่มีมันในครอบครอง

แต่ถึงอย่างนั้น คำตอบก็ยังคงมีเพียงแค่หนึ่งเดียวเท่านั้น

เป็นที่คำตอบได้ถูกเลือกเอาไว้ตั้งแต่ตอนแรกแล้ว

“ฉันขอปฏิเสธ”

“ข้าก็คิดแล้วว่าต้องเป็นเช่นนั้น”

ในตอนนี้ไม่มีมันทางเลือกอื่นใดนอกจากว่าไม่ฆ่าก็ถูกฆ่า

แล้วฮานิลก็ได้พูดต่อ

“ภารกิจของเจ้าคือการปกป้องหมู่บ้านของเหล่าแฟรี่แฟ่งรุ่งอรุณอย่างนั้นสินะ”

“ก็ประมาณนั้น”

“ถ้าอย่างนั้นมันก็สายเกินไปแล้วหละ ในตอนช่วงเช้าของวันนี้ สายของข้าได้ส่งตำแหน่งของหมู่บ้านแฟรี่แห่งรุ่งอรุณมาให้กับข้าในขณะที่พวกข้าได้ตรึงเจ้าไว้ที่นี่ กองทหาร 500 นายของข้าก็ได้ทำการพุ่งตรงไปยังหมู่บ้านนั้นในตอนนี้แล้ว”

พูดเช่นนั้นแล้วเขาก็ยิ้มออกมา

“พวกมันทั้งหมดจะต้องตาย”

ซอดัมรู้ว่าทำไมอยู่ๆฮานิลถึงได้พูดถึงเรื่องพวกนั้น

‘นี้เขาคงจะคิดว่าการทำแบบนี้จะทำให้ฉันเปิดช่องโหว่ด้วยการทำให้ฉันรู้สึกวอกแว็กอย่างนั้นสินะ?’

แล้วหลังจากได้ยินเช่นนั้นถ้าหากว่าจิตใจของซอดัมสั่นไหวหละก็ จากมุมมองของพวกเขา พวกเขาคงคิดว่ามันจะต้องจัดการเขาได้ง่ายขึ้น

ดังนั้นเมื่อซอดัมได้รู้ถึงแผนการของพวกเขาแล้ว เขาก็ต้องกระวนกระวายมากขึ้นกว่าเดิมเป็นแน่

ช่างเป็นแผนการที่ชั่วร้ายเสียจริง

แต่ถึงอย่างนั้นในความเป็นจริงแล้ว ซอดัมไม่ได้สนใจสักนิดว่าบ้านของเหล่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณจะสูญสิ้นไปหรือไม่

‘ก็แค่มุกเก่าๆ’

แม้จะเป็นอย่างนั้นแต่ซอดัมยังคงรู้สึกค่อนข้างจะกดดันเมื่อต้องรับมือกับแรงค์ E – D ที่สามารถจะบินได้อย่างสมบูรณ์แบบเช่นนี้

เพราะว่ามันไม่มีกฎที่ระบุไว้ว่าฮานิลนั้นต้องต่อสู้ด้วยตัวเองเพียงคนเดียวเสียหน่อย

เขาเริ่มที่จะคิดไปถึงบางอย่าง

ฮานิลได้พิชิตเกาะต่างๆมาแล้ว 9 เกาะ

ถึงแม้ว่ามันจะยังมีอีก 90 กว่าเกาะที่ยังเหลืออยู่สำหรับเป้าหมายของเขา แต่ธีมของโลกใบนี้ก็คือ ‘เหล่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณ’

ตัวเอกซึ่งเป็นผู้พิชิตแห่งเหล่ามวลมนุษย์ และเกาะแห่งความฝันซึ่งเป็นหนึ่งในเกาะทั้งหลาย

งั้นทำไมเกาะนี้ถึงได้เป็นจุดศูนย์กลางของเรื่องได้กันหละ?

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้แล้วซอดัมได้นึกย้อยไปถึงแฮชแท็ก ‘ความรักต้องห้าม’

บางทีฮานิลอาจจะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับใครสักคนในเกาะแห่งความฝันก็เป็นได้

ด้วยเทคโนโลยีของพวกเขาเพียงอย่างเดียวนั้นไม่ควรที่เหล่ามนุษย์จะหาจุดที่ซ่อนตัวของเหล่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณพบ

ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ ฮานิลอาจจะตกหลุมรักกับใครสักคนที่เขาได้วางแผนเอาไว้สำหรับใช้ในการบุกครั้งนี้

มันมีความเป็นไปได้เป็นอย่างมากที่จะเป็นไปตามการคาดการณ์เช่นนี้

เขาไม่รู้ว่าคนๆนั้นเป็นใครแต่ว่า…

มันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร

“ฮานิล”

“…เจ้ารู้ชื่อของข้าได้เช่นไหร?”

“แน่นอนอยู่ ฉันได้ยินเรื่องของนายมาเยอะแยะเลย จาก ‘เธอ’ นะ”

คำว่า ‘เธอ’ ก็เป็นเพียงการคาดเดา

เขาไม่มีความคิดใดๆเลยว่าคนที่ฮานิลรักนั้นเป็นผู้ชายหรือหญิง

แต่อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าการคาดของเขาจะถูกต้อง ฮานิลได้สะดุ้งอย่างสังเกตเห็นได้

“อย่างนั้นเหรอ…เธอบอกเกี่ยวกับข้าว่าอย่างไรบ้างหละ?”

“พวกเราได้คุยกันมากมายเลย เธอเป็นเพื่อนของฉันตั้งแต่ที่พวกเรายังเด็ก เธอมักจะพูดเกี่ยวกับความฝันของนายอยู่เสมอกับเรื่องความฝันที่บ้าบออย่างการต้องการให้โลกมาอยู่ในกำมือตัวเองของนายหนะ”

“…”

ตามจริงแล้วมันเป็นคุณลูกค้าที่ได้บอกเรื่องราวเบื้องหลังพวกนี้ให้ฉันฟังและเขาก็ไม่ได้รู้ว่าฮานิลและ ‘เธอ’ คนนั้นอยู่ในสถานะอะไรกันดังนั้นเขาจึงราวกับกำลังเดินอยู่บนเส้นเชือกในตอนนี้

เพราะว่าถ้าหากฮานิลพูดขึ้นมาว่า ‘ข้าไม่เคยพูดเช่นนั้น’ คำโกหกของเขาก็จะถูกค้นพบในทันที

“เธอรักนายจริงๆนะจากก้นบึ้งของหัวใจเธอ ฉันได้พยายามที่จะหยุดเธอแล้วไม่ว่าจะบอกว่าชายคนนั้นกำลังพยายาที่จะใช้งานเธอว่าเขาได้เหรียบย่ำความฝันของเธอและกำลังใช้มันเป็นบันไดสำหรับความฝันของตัวเขาเองแต่ว่าเธอไม่เชื่อฉันเลยในท้ายที่สุดเธอก็ยังคงเชื่อนายอยู่ นั้นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมฉันถึงได้มาที่นี่เพื่อสู้กับนายเพียงลำพังโดยที่ไม่ได้บอกเหล่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณที่เหลือ เพื่อที่จะปกป้องความฝันวัยเด็กนั้นเอาไว้”

ซอดัมยังคงพูดต่อ

“แล้วผลลัพธ์ก็คือเธอได้เชื่อนายจนถึงที่สุดและนายก็ได้หักหลังความไว้เนื้อเชื่อใจของเธอ”

เมื่อเขาได้พูดจบลง ฝ่ายตรงข้ามกับรู้สึกกระวนกระวายใจ

“…แล้วเจ้าหละ?”

ฮานิลได้ถามขึ้นด้วยสีหน้าที่แข็งค้าง

ซอดัมค่อนข้างที่จะหงุดหวิดขึ้นมาเล็กน้อยแล้วในตอนนี้

เขาไม่คิดว่าฮานิลจะสงบได้ถึงขนาดนี้

“ฉันนะเหรอ จนกระทั้งในวินาทีสุดท้ายแล้ว…ฉันก็เชื่อมันนะ มันฟังดูดีจริงๆ”

มันเป็นการพบกับครั้งแรกด้วยความบังเอิญ

ทันใดนั้นเอง ฮานิลได้นึกย้อนคืนไปถึงครั้งแรกที่เขาได้เห็นรอยยิ้มของซาริลิน

มันช่างเป็นรอยยิ้มที่แสนสวยงามซึ่งอาบอยู่ภายใต้แสงจันทร์

เธอมีความฝันมากมาย

เหมือนกันกับเขา

เธอฝันถึงโลกที่กว้างใหญ่มากยิ่งขึ้น

แต่ไม่เหมือนกับเขาตรงที่ว่าเธอต้องการที่จะเดินทางไปทั่วโลกทั้งใบไม่ใช่การพิชิตมัน

ดังนั้นฮานิลได้แสดงให้เธอเห็นถึงความเป็นจริงของโลกทั้งใบ

ที่ไม่ใช่สถานที่อันแสนโรแมนติกดังเช่นที่เธอคิดไว้

ซึ่งมีเพียงการย้อมมันไปด้วยเลือดเท่านั้นที่จะทำให้โลกใบนี้เต็มไปด้วยสันติสุข

และในอีกไม่นานเกาะแห่งความฝันก็จะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน เขาได้พูด

ฮานิลได้หลอกลวงซาริลิน

‘ดังนั้นแล้วเพื่อให้เหล่าแฟรี่แห่งหรุ่งอรุณได้รับการปกป้อง พวกเราจะต้องปกป้องพวกเขา’

‘แต่เหล่าแฟรี่ทั้งหลายเป็นพวกหัวโบราณนะคะ พวกเขาเรียกท่านว่าปีศาจ พวกเขาไม่เคยยอมรับเหล่ามนุษย์ใดๆ’

‘ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็จะใช้กำลังมากขึ้นเล็กน้อยหรือแม้ว่าจะมากเกินไปสักนิดแต่ในท้ายที่สุดพวกเราก็จะปราบเหล่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณและบังคับพวกเขาให้อยู่ใต้การปกป้องของพวกเราได้’

ในตอนจบ

‘บอกข้ามาเถอะว่าเหล่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณนั้นอยู่ที่ไหน’

เธอเพียงแค่ถูกใช้งาน

ณ ตอนที่เขาได้คำตอบมาจากเธอแล้วทำให้เธอได้สูญเสียคุณค่าของตัวเธอไป เขาได้สั่งให้รองผู้บังชาการไปฆ่าพวกเขาทั้งหมดซะ

“…ในจุดๆหนึ่งแล้ว มันก็เป็นความจริงที่ข้ามีความรู้สึกที่ดีให้กับเธอ”

“…”

“แต่ว่านั้นเป็นเพียงเรื่องราวที่ข้าฝั่งมันเป็นอดีตไปแล้ว ข้าได้ไตร่ตรองทุกสิ่งทุกอย่างที่ควรจะเป็นตามความเป็นจริงแล้วทำให้ข้าเลือกที่จะออกมาฆ่าเจ้าในวันนี้ยังไงหละ”

‘นี่…’

ซอดัมได้ระเบิดหัวเราะออกมาในใจ

ถ้าหากเป็นการพัฒนาไปตามเนื้อเรื่องดังเดิมหละก็ ฮานิลจะต้องตกหลุมรักกับแฟรี่แห่งรุ่งอรุณ

บางทีเขาอาจจะล้มเลิกความคิดที่จะพิชิตไปทุกดินแดนเลยก็ได้แต่ไม่ว่าจะทางไหนก็ตามนั้นคงจะเป็นเรื่องราวที่ใกล้เข้าสู่ตอนจบแล้ว

แต่ด้วยการแทรกแซงของซอดัม เส้นทางการดำเนินเรื่องได้เปลี่ยนไป

ด้วยความคิดที่ว่าเขาควรจะพิชิตเหล่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ทำให้ความรักของฮานิลสำหรับหญิงสาวคนนั้นไม่มีเวลาให้ได้เติบโต

‘บางทีนี้อาจจะเป็นเรื่องที่ดีกว่าก็ได้’

ไม่ใช่ว่าความรักที่เกิดจากการหลอกลวงมันยังดีไปกว่าการตกหลุมรักกับหญิงสาวของเผ่าที่เขาได้ทำการสังหารหมู่ไปอย่างนั้นหรอกเหรอ?

ถ้าหากเป็นเช่นนั้นแล้วเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นก็คงจะเป็น

‘ข้าขอโทษ ข้าได้แอบส่งคนของข้าไปฆ่าคนของเจ้า’

แล้วเมื่อฮานิลได้ร้องไห้และร้องขอความเห็นใจจากหญิงสาว เธอก็จะทำตามเขาทุกอย่างโดยไม่คิดถึงความตายของคนของเธอเองเลยสักนิด

‘ไม่เป็นไรค่ะ ข้าให้อภัยท่านสำหรับทุกสิ่งอย่างเพราะว่าข้ารักท่าน’

นั้นคงเป็นสิ่งที่เธอจะต้องพูด

มันดูเป็นเรื่องที่ไร้สาระมากหากคิดเกี่ยวกับมันต่อไป

คำขอโทษพวกนั้นมันจะทำให้คนตายกลับคืนมาไหม?

คิดเช่นนั้นซอดัมได้ดึงดาบอีเทอร์ของตนเองออกมา

“นี้เป็นอาวุธที่เจ้ามั่นใจที่สุดอย่างนั้นเหรอ?”

เลื่อยนั้นเป็นอาวุธที่ทำให้เกิดพลังทำลายอย่างถึงที่สุดจากการหมุนของมัน

แต่ถึงอย่างนั้นมันก็สามารถที่จะกล่าวได้เลยว่า ‘ดาบอีเทอร์’ นั้นเป็นการวิวัฒนาการขั้นสุดท้ายของเทคโนโลยีที่ใช้ในการสร้างเลื่อยนั้น

“งั้นนั้นก็เป็นดาบของเจ้าอย่างนั้นเหรอ? มันดูกระจอกยิ่งนัก”

ฮานิลเป็นคนหยิ่งยโส

เขาไม่ได้พุ่งเน้นความสนใจของเขาไปยังปืนไรเฟิลและปืนใหญ่เพราะเขาคิดว่ามันเพียงพอแล้วที่จะใช้ต่อกรกับสายพันธ์อื่น

แต่กับเลื่อนนี้นั้นแตกต่างออกไป

มันเป็นความสำเร็จที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเขานับตั้งแต่ที่มันเป็นอาวุธลับที่เกิดจากการใช้วิทยาศาสตร์และวัสดุทั้งหมดที่เขาได้เก็บเอาไว้

“…ถูกแล้วหละ”

ซอดัมได้กดลงไปที่ด้านใต้ของดาบอีเทอร์และเปิดใช้งานมัน

แล้วด้วยการระเบิดออกของพลังงานที่แข็งแกร่ง แสงได้เรืองรองออกมาจากทุกทิศทาง

“…อะ…ไรนะ…?”

ช่างเป็นตัวเอกที่น่าเศร้าเสียจริง

ถ้าหาว่าเขาไม่ได้เป็น ‘ตัวเอก’ หละก็บางทีเขาอาจจะกลายมาเป็นนักประดิษฐ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกนี้เลยก็ได้

ถ้าหากไม่ใช่เพราะความปรารถนาบ้าบอย่างการที่จะพิชิตโลกทั้งใบ

ถ้าเพียงนี้เท่านั้นมันจะดีแค่ไหนกัน

ซอดัมไม่มีความตั้งใจที่จะโอ้อวดอาวุธทางวิทยาศาสตร์ของตนเอง

ยังไงซะเขาก็ไม่ได้เป็นคนที่สร้างมันขึ้นมาในขณะที่ศัตรูได้สร้างอาวุธของตนขึ้นมาด้วยตัวเอง

เขาก็แค่คนที่เกิดผิดโลกผิดยุคสมัยด้วยโชคชะตาที่ผิดเพี้ยนเท่านั้นเอง

ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นอัจฉริยะ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามสำหรับซอดัมตัวเอกคนนี้ยังไงก็ต้องตาย

แทท!

ซอดัมได้ผละออกไปอย่างสบายๆแล้วได้เหวี่ยงดาบอีเทอร์ของเขาอย่างออกไปอย่างรุนแรง

เป็นเพียงแค่การเหวี่ยงดาบแบบง่ายๆ

ซึ่งฮานิลได้ยกเลื่อยของเขาเพื่อบล็อกมัน…

…ชึบ!

สิ่งประดิษฐ์ที่สุดแสนจะสุดยอดของเขาได้ถูกตัดแบ่งออกเป็นสองส่วนในครั้งเดียว

……………………………………………………..

……………………………………………………..

วิ้ง-วิ้ง!!

“เอื้อก…!”

เจ้าหญิงคนเล็ก ซาริลินได้ใช้ความพยายามทั้งหมดของเธอเรียกพลังแห่งธรรมชาติเข้ามาช่วย

ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นอัจฉริยะและสามารถที่จะใช้พลังของเหล่าจิตวิญญาณได้โดยที่ไม่ต้องมีมรดกวิญญาณเลยก็ตามแต่มันก็ยังมีขีดจำกัดของมันเอง

เธอได้ถูกดันถอยหลังกลับไปในตอนที่ ‘จิตวิญญาณ’ ที่แท้จริงได้เริ่มที่จะใช้พลังของมัน

‘นี้มันบ้าอะไรกัน…!’

มันเป็นดอกไม้ที่แปลกประหลาด

เป็นดอกไม้ที่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับตัวตนที่เรียกว่าผู้ชี้นำ

ซาริลินจดจำดอกไม้นี้ได้

ในอดีตอันแสนห่างไกลในตอนที่โลกได้ชโลมไปด้วยเลือดแห่งสงคราม

ดอกไม้เช่นนี้ได้บานขึ้น

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ความจริงแล้วก็คือมันเป็น ‘จิตวิญญาณดังเดิม’ ที่เกิดมาจากความตาย

ดอกไม้สีเงินที่ดูเหมือนว่ากำลังร้องเพลงอยู่ได้ควบคุมให้สายลมพวกนั้นร่ายรำ

แต่สำหรับซาริลินแล้วมันราวกับว่าเป็นพายุที่กำลังบีบอัดไปที่เธอ

สายน้ำ,เปลวไฟ,สายลม,ไฟฟ้า,ดิน

ไม่มีจิตวิญญาณสักประเภทเลยที่สามารถจะต่อกรกับมันได้

‘จิตวิญญาณตนนี้ไม่ควรที่จะเกลียดฉันสิ…!’

ตั้งแต่ที่เธอเกิดมา เหล่าจิตวิญญาณทั้งหมดนั้นรักเธอ

พวกมันคอยเฝ้ามองดูเธออยู่เสมอและไม่เคยเลยที่จะปฏิเสธคำขอร้องของเธอ

‘หยุด…มัน…!’

[ม่าย…]

อย่างไรก็ตามจิตวิญญาณตนนี้ไม่ได้ฟังเธอเลย

[ก็แม่มดเกลียด…]

หลังจากที่พูดคำแปลกๆพวกนั้นออกมา

[ดอกไม้จิตวิญญาณสีเงินได้เชื่อมต่อเข้ากับยูซอดัม]

[…การซิงโครไนซ์ได้รับการตรวจสอบ]

[ดอกไม้จิตวิญญาณสีเงินได้เชื่อมต่อเข้ากับห้องสมุดของแม่มดขาว (F)]

ทันใดนั้นเองที่ด้านบนของดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์นี้เองได้มีเด็กสาวตัวน้อยบานออกมา

ถัดจากนั้นจิตวิญญาณตนนี้ก็ได้โยกไปมาอยู่ด้านบนของดอกไม้สีเงินอันแสนสวยงามและได้หันฝ่ามือของมันไปทางซาริลิน

รูปภาพอันบิดเบี้ยวได้ปรากฏขึ้นมากลางอากาศและกระแทกเข้ากับซาริลินอย่างเต็มแรง

ตูม!

“อุก!”

ซาริลินที่ถูกกระแทกด้วยสายลมที่เหมือนกับว่าเป็นค้อนขนาดมหึมานั้นได้กระเด็นออกไปจากห้องนี้ด้วยการถูกซัดไปกระแทกเข้ากลับประตูไม้ของห้องนี้แล้วพุ่งออกไป

ซาริลินได้เกี่ยวได้ตามกิ่งไม้อย่างรวดเร็ว ทำให้เธอสามารถที่จะลงจอดบนพื้นได้อย่างสวยงาม

เมื่อมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ มาริลินได้ยืนขึ้นอย่างโงนเงนและกอดกระถางดอกไม้นี้ไว้ในอ้อมแขนของเธอ

เด็กสาวตัวจิ๋วได้เติบโตขึ้นที่ด้านบนของดอกไม้นี้

เธอไม่เคยไม่ได้เห็นจิตวิญญาณที่มีรูปแบบเช่นนี้มาก่อน

‘พวกเราต้องตามเธอไป’

เธอได้มีความคิดแปลกๆขึ้นมาในหัว

เหล่าปีศาจพวกนั้น เธอไม่อยากที่จะเชื่อเลย

พวกเขานั้นชั่วร้าย,เจ้าเล่ห์ และโหดร้าย

และพวกเขาไม่มีความน่าเชื่อถือเลยสักกะนิด

เพราะว่าก๊าซนี้ มาริลินพบว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะเคลื่อนไหวร่างกายของเธอแต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามเธอได้เร่งรีบตามลงไปที่เพื่อที่จะห้ามปรามน้องสาวของเธอ

…แต่อย่างไรก็ตามมันก็ได้สายเกินไปแล้ว

“ท่านพี่ ข้าเดาว่าข้าคงไม่สามารถที่จะแย่งเอามรดกวิญญาณมาได้แม้ว่าจะด้วยพรสวรรค์ของข้า…แต่ว่าหากข้าไม่ได้พลังจิตวิญญาณมาด้วยตัวเองแล้วหละก็ มันจะเป็นยังไงกันนะถ้าหากว่าข้ายืมพลังของเหล่าปีศาจมาช่วยหละมันจะได้ผลไหมค่ะ?”

“…!”

ทันใดนั้นเองท้องฟ้าได้ปกคลุมไปด้วยเงาดำนับร้อยๆเงา

ผู้ใช้สายลมและดินปืน เหล่าปีศาจทั้งหลาย

ในตอนนี้พวกเขาได้มาถึงที่นี้แล้ว

“อ้า…”

ในขณะที่มาริลินได้ส่ายไปมาเธอก็ได้ทรุดลงไปกับพื้น

เหล่าปีศาจพวกนั้นได้ลงมาที่หมู่บ้านของพวกเขาที่ละคนๆ และเหล่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณที่อยู่ในความระส่ำระสายได้เริ่มที่จะวิ่งกระจายออกไปในทุกทิศทาง

ซาริลินซึ่งกำลังรักษาท่าทางที่อ่อนโยนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ได้พูดขึ้นกับมาริลิน

“ท่านพี่ค่ะ ไม่ต้องกังวลนะพวกเขากำลังจะปกป้องพวกเรา-”

…ปัง!

“…หะ?”

เมื่อรู้สึกถึงบางอย่างที่แปลกประหลาดที่ท้องของเธอ ซาริลินได้หยุดชะงักลง

“เลือด…?”

ของเหลวสีม่วงอันแสนสวยงาม

เลือดของเหล่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณ

ทำไมกันหละ?

ในทันทีที่เธอมีความคิดเช่นนั้น ขาของเธอก็ได้เริ่มที่จะรู้สึกอ่อนแรงลงแล้วเธอก็ทรุดลง

ทันใดนั้นเองเมื่อได้มาริลินได้เห็นน้องสาวของเธอล่วงลงไปที่พื้น มาริลินได้กรี๊ดร้องออกมาทั้งน้ำตา

“อ้า ไม่น้า…!!!”

แล้วคนที่ได้ยิงไปที่ท้องของซาริลินก็ได้เข้ามาและพูดขึ้นว่า

“หยุดอย่าขยับ ถ้ามีพวกหนอนแมลงตัวไหนกล้าที่จะขยับอีกหละก็ ข้าจะยิงพวกมันทั้งหมดเหมือนกับเจ้าหญิงของพวกแกที่อยู่ตรงนี้ซะ”

มันเป็นเหมยหยาน รองผู้บัญชาการของกองกำลังมนุษย์

ณ ตอนนั้นเองที่เหล่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณได้ยอมแพ้ที่จะวิ่งหนีไป

เหล่าปีศาจที่มีปีกเหล่านี้ได้ล้อมกรอบพวกเขาไว้เรียบร้อยแล้ว

เหล่าแฟรี่เด็กน้อยทั้งหลายได้กลั้นน้ำตาของตนเองเอาไว้และเหล่าแฟรี่ผู้ใหญ่ได้แต่อดทนต่อความอับอายของพวกเขา

เหมยหยานได้หัวเราะออกมาเห็นได้เห็นภาพของมาริลินที่กำลังคลานไปยังซาริลินที่นอนอยู่ที่พื้น

“ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่านี้แกจะเชื่อในคำลวงของท่านผู้บัญชาการจริงๆอย่างนั้นเหรอ?”

“อึก”

ซาริลินได้เงยหน้าของเธอขึ้นอย่างช้าๆ

หญิงสาวที่มีเส้นผมสีน้ำตาลได้มองลงมาที่เธอด้วยความรังเกียจ

“แกควรที่จะรู้ว่าที่ของแกอยู่ที่ไหนนะเจ้าพวกชนเผ่าป่าเถื่อน ข้าหละภูมิใจในตัวคู่มั่นของข้าเสียจริงที่ได้รับการสนับสนุนจากชนเผ่าโสโครกอย่างเจ้ามาโดยตลอด”

“…ค-คู่มั่น?”

“ใช่แล้ว ฮานิล แม็กซิมอฟ พวกเราได้สัญญากันว่าจะแต่งงานกันมันได้รับการตัดสินใจมานานแล้วโดยครอบครัวของพวกเราแกเข้าใจความหมายของมันไหม? แกกล้าคิดไปได้อย่างไรว่าแกเหมาะสมกับเขากัน”

ด้วยดวงตาที่สั่นเทา ซาริลินได้พูดกับเหมยหยาน

“ข้าไม่เชื่อมัน เขาจะต้องรักข้าอย่างแน่นอน…”

“งั้นเหรอ ทุกอย่างที่แกเคยได้ยินนะล้วนเป็นเรื่องโกหก แกยังไม่เข้าใจอีกงั้นเหรอ? ช่างโง่เง่าเสียจริง”

เหมยหยานได้เข้าหาซาริลิน ทาบปืนของเธอไปที่หน้าผากของซาริลินและผลักมันไปอย่างแรง

“เจ้าพวกชนเผ่าโสโครก แกควรที่จะรู้ที่ของแกนะ”

“อึก!”

มันช่างเจ็บปวด

ความเป็นจริงที่ช่างแสนเจ็บปวดอย่างน่าสะพรึงกลัว

เป็นความเจ็บปวดที่เธอไม่เคยได้รู้สึกมากก่อนเลยในชีวิตเธอ

ความเจ็บปวดพวกนี้นั้นกระจายออกมาจากท้องของเธออย่างนั้นเหรอ?

ไม่สิ ไม่ใช่แน่

มันเป็นความเจ็บปวดซึ่งเกิดจากหัวใจที่แตกสลายหลังจากที่ได้รับการทรยศด้วยคนที่คุณรักสุดหัวใจ มันช่างเป็นความเจ็บปวดที่แสนทรมาน

ซาริลินสะอื้นไห้และคร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดในขณะเธอได้หลั่งน้ำตาออกมาให้กับความเป็นจริงที่น่าเหลือเชื่อouh

แล้วดอกไม้ก็ได้พูขึ้น

[เธอต้องการ…ความช่วยเหลือไหม?]

‘หะ?’

มันไม่ได้ถูกส่งตรงไปยังเจ้าหญิงลำดับที่สอง

เจ้าดอกไม้ตนนี้กำลังพูดอยู่กับซาริลินที่ได้สูญเสียสติของเธอไปกับบาดแผลของตัวเธอเอง

เธอไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ว่าทำไมดอกไม้นี้ถึงได้พูดว่ามันสามารถที่จะช่วยเธอได้

แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่มีทางเลือกแล้วในตอนนี้

‘ได้โปรด ช่วยข้าที’

[…งืม]

ทันใดนั้นเอง ซาริลินได้รู้สึกถึงความเย็นและอากาศที่สดชื่นล้อมรอบตัวเธอ

ความเจ็บปวดที่เธอได้รับค่อยๆจากไปและเธอสามารถที่จะรู้สึกได้ถึงพลังแห่งสายลมได้อย่างชัดเจน

นี้เป็นพลังของจิตวิญญาณสีเงิน

อาบไปด้วยพลังงานพวกนี้ ซาริลินได้เปิดปากของเธอขึ้นอย่างช้าๆ

“จริงใช่ไหมที่ท่านผู้บัญชาการ…ที่เขาได้ส่งให้เจ้ามาฆ่าข้านะ?”

“ใช่แล้ว”

“ท่านผู้บัญชาการนะจริงๆแล้ว…ตั้งแต่ตอนแรกแล้วเขาไม่เคยที่จะคิดถึงข้าเลยใช่ไหม?”

“แน่นอนอยู่แล้ว สิ่งที่ชีวิตเช่นพวกแกนะ…”

เหมยหยานที่มีสีหน้าเต็มไปด้วยความหงุดหงิดได้หยุดพูดลงเมื่อเธอรู้สึกเริ่มที่จะหายใจไม่ออก

“…ช่างหยิ่งยโสนัก”

“อ-อะไรนะ…อึก!”

ค่อยๆยืนขึ้นมา

ซาริลินได้จับไปที่ปืนของเหมยหยานแล้วเล็งมันไปที่หัวของเธอ

“ที่นี่…เป็นศูนย์กลางของเกาะแห่งความฝัน ธรรมชาติทั้งหลายอยู่ในการควบคุมของเราเหล่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณ ก็เหมือนกับกระสุนปืนที่พวกเจ้าภูมินักหน่านะแหละ ข้าก็สามารถที่จะทำในสิ่งที่ข้าต้องการได้ในลมหายใจเดียวเช่นกัน”

คลิ๊กคลิ๊ก!

เธอไม่เคยที่จะได้ใช้ปืนมาก่อนแต่ว่าเธอรู้ว่าจะต้องโหลดกระสุนใส่มันอย่างไรจากการมองใครสักคนที่ครั้งหนึ่งเธอเคยได้รักสุดหัวใจทำมัน

ต่อสู้ดิ้นรนกับความเจ็บปวดที่ท้องของเธอ เธอได้ตีเข้าไปที่หัวของเหมยหยาน

แล้วหลังจากที่ได้ซัดเหมยหยานลงไปกองอยู่ที่พื้นแล้ว เธอได้เล็งปืนในมือของเธอไปที่เหมยหยาน

“อ-อะไร…”

“ท่านรองผู้บัญชาการ…!!”

เหล่าทหารมนุษย์ต่างตกตะลึง

นี้ก็เพียงพอแล้ว

เหมยหยานซึ่งเป็นปรมาจารย์การต่อสู้มือเปล่ากลับไม่สามารถที่จะต่อต้านหญิงสาวที่อ่อนแอเช่นนี้ได้ กำลังคว่ำลงไปที่พื้นและดิ้นรนที่จะหายใจ

‘โชคดีที่ดูเหมือนว่ามันจะได้ผล…’

ซาริลินมีพรสวรรค์ในเรื่องของจิตวิญญาณแต่เธอไม่ได้รับการถ่ายทอดมาดังนั้นสิ่งที่เธอใช้ออกไปได้เลยมีอยู่จำกัดและด้วยพลังทำลายล้างของเธอที่มีขีดจำกัดทำให้มันเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับเธอที่จะเอาชนะดอกไม้จิตวิญญาณสีเงินตนนั้นลงได้

แต่ถึงอย่างนั้นไม่ว่ายังไงซะ พรสวรรค์ที่โด่ดเด่นของเธอก็ยังดีกว่าใครก็ตาม

ถ้าหากว่าซอดัมได้มาเห็นมัน เขาคงจะให้มันเป็นสกิลที่มี S แบบดับเบิลเลย

และตอนนี้เองด้วยความช่วยเหลือจากพลังของจิตวิญญาณสีเงินตนนี้

มันก็เป็นไปได้สำหรับเธอที่จะควบคุมสายลมในขอบเขตที่จำกัดและทำให้ใครสักคนขาดอากาศหายใจ

“…ข้าดูเหมือนกับเด็กน้อยที่จะนั่งลงแล้วก็ร้องไร้คร่ำครวญหลังจากที่หัวใจแตกสลายอย่างนี้เหรอ?”

“อึก อึก…”

“…ข้ามีความฝัน เพื่อที่จะได้ไม่หยุดที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าแล้วความฝันเช่นนั้น…”

ผิวของซาริลินนั้นขาวราวกับกระดาษแต่ด้วยจิตใจที่ไม่ย่อท้อของเธอทำให้เธอทนมันไว้ได้

เธอได้ทำให้เรื่องพวกนี้ทั้งหมดเกิดขึ้นกับตัวเธอเอง

และมีเท่าแค่คนเดียวเท่านั้นที่สามารถจะแก้ไขสถานการณ์ในตอนนี้ได้ก็คือเธอ คนเพียงคนเดียวที่สามารถจะควบคุมพลังของเหล่าจิตวิญญาณได้

ดังนั้นเธอจะต้องไม่ล้มลง

เพื่อการนั้นเธอได้ตะโกนออกมาด้วยความแข็งแกร่งทั้งหมดที่เธอมี

“ทุกคน คุกเข่าของตนลงซะ! แล้ววางอาวุธลงไปที่พื้น…จากนั้นค่อยๆยกมือขึ้นทั้งสองข้างของพวกเจ้าขึ้นเหนือหัวอย่างช้าๆ”

เมื่อทหารเหล่านั้นลังเล ซาริลินได้ยิงไปที่ไหล่ของเหมยหยาน

ปัง!

ในตอนที่เสียงปืนได้ดังก้องสะท้อนเข้าไปในหูของพวกเขาเท่านั้นเอง ที่ทำให้เหล่าทหารทั้งหลายได้เข้าใจถึงความจริงจังของสถานการณ์ในตอนนี้และพวกเขาก็ได้เริ่มที่จะวางอาวุธลงที่ละคนๆ

“แก แกคิด…ว่า…จะมีประโยชน์…หรือไงหะ?”

แม้ว่าปอดของเธอจะถูกบีบอัดอยู่เหมยหยานก็ยังพูดกับซาริลิน

“อีกเดว…เขาก็จะมาแล้ว”

ท่านผู้บัญชาการ

กำลังจะมาที่นี้

บางทีซาริลินคงจะต้องสู้กับเขา

เพราะว่าชายคนนั้นไม่ได้มีอารมณ์อ่อนไหวพอที่จะมาสนใจเกี่ยวกับการที่เหมยหยานนั้นถูกจับเป็นตัวประกัน

“ใช่ ข้ารู้แล้ว”

จากนี้ไปเธอจะต้องพบเจอกับการต่อสู้กับศัตรูที่อันตรายยิ่งกว่า,โหดร้ายยิ่งกว่า,เจ้าเล่ห์ยิ่งกว่า และยังทรงพลังยิ่งกว่าเดิม

เมื่อเธอได้คิดกับมันด้วยเหตุผลแล้ว มันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างสมบูรณ์

เพื่อที่จะสู้กับชายผู้ชั่วร้ายคนนั้น จะต้องมีคนมากเท่าไหรที่ต้องสละชีวิตกัน

‘…เหล่าแฟรี่ทั้งหลายจะพ่ายแพ้’

อนาคตได้ถูกกำหนดไว้แล้ว

นับจากวินาทีที่เธอถูกหลอก ความตายของทุกคนรวมทั้งตัวของเธอเองนั้นถือเป็นบทสรุปที่ได้ถูกเขียนไว้แล้ว

มันช่างเป็นความจริงที่ทำให้เธอรู้สึกเสียใจและปวดร้าว

เธอรู้สึกราวกับว่าเธอน้ำตาของเธอจะไหลออกมาได้ในทุกๆขณะแต่สำหรับในตอนนี้เธอได้ทนมันเอาไว้

ฟิ้ว-ฟิ้ว!!

จากที่ไหนสักแห่ง สายลมได้พัดออกมา

ใครบางคนกำลังเข้ามา

ซาริลินได้เล็งปืนของเธอไปที่จุดนั้น คิดไปว่าแม้เธอจะตายลงในวันนี้แต่สำหรับชายคนนั้นคนที่ได้ทรยศเธอแล้วเธอจะดิ้นรนจนถึงวินาทีสุดท้าย

…ตูม!

จากบนท้องฟ้า บางสิ่งบางอย่างได้ตกลงมา

“…หะ?”

มันเป็นฮานิลอย่างไม่ผิดเพี้ยน

แค่เพียงแต่ว่าร่างกายของเขานั้นปกคลุมไปด้วยบาดแผลและมันดูราวกับว่าเขากำลังอยู่บนปากเหวแห่งความตาย

“นี่…มันเรื่องบ้าอะไรกัน…?”

เมื่อซาริลินได้เอ่ยความถามเช่นนั้นออกมา เสียงได้ออกมาจากที่ด้านหลังของเธอ

“ฉันลืมเจ้ากระถางดอกไม้นะ ดังนั้นฉันเลยนำเขามาเป็นตัวประกันเพื่อที่จะใช้เป็นข้อต่อรองแต่ฉันเดาว่ามันคงไม่จำเป็นแล้ว”

“…!”

เธอได้รีบเร่งที่จะหันหน้าของเธอ เธอได้เห็นชายคนหนึ่งกำลังกอดไปที่กระถางดอกไม้นั้นอย่างระมัดระวังซึ่งเคยอยู่ที่แขนของมาริลิน

มองไปที่แผ่นหลังของเขาและเห็นได้ว่าเขากำลังปัดทรายออกจากกระถางดอกไม้นั้นอย่างระมัดระวังแล้ว ความตรึงเครียดของซาริลินได้ผ่อนคลายลงในขณะที่เธอได้ทรุดลงไปตรงจุดที่เธอยืนอยู่ในทันที

“ฮ่า ฮ่าฮ่า ฮ่า…”

วันนี้นี่มันช่าง…มันช่างเป็นวันที่ยาวนานเสียจริงๆเลย