[คุณประสบความสำเร็จในการล่าตัวเอกเลเวล 61]

[เลเวลของคุณเพิ่ม 3]

[ 610 วันของอายุขัยได้ถูกเพิ่มเข้ามา]

[อายุขัยคงเหลือ : 4,022 วัน 17 ชั่วโมง 11 นาที]

สาเหตุการตายของตัวเอก ตายด้วยเหตุผลทางธรรมชาติ

…เออ ก็ไม่ใช่ซะดีเดียว

หลังจากที่ได้ถูกกระทืบจนปางตายโดยซอดัมแล้วเขาได้ถูกทิ้งลงมาจากท้องฟ้าซึ่งเป็นสาเหตุการตายของเขา

การฆ่าคน สำหรับซอดัมแล้วเขาไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องโหดร้ายแบบนี้แต่นี้มันช่วยไม่ได้จริงๆ…

ร่างกายของฮานิลมีเหล่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณล้อมรอบอยู่

แน่นอนว่าซอดัมไม่ได้ทำแบบนี้เพื่อเพิ่มความชื่นชอบของเหล่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณ

ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นมนุษย์และมีอารมณ์มากมาย แต่ที่เขาทำอย่างนี้ก็เพื่อที่จะปกป้องกระถางดอกไม้ต่างหาก

[จากการล่าตัวเอกเจ็ดคนอย่างต่อเนื่องทำให้สกิลนักล่าตัวเอก ยกระดับเป็นเลเวล 3]

[ขีดจำกัดน้ำหนักของไอเทมที่ขนไปสู่ต่างโลกได้เพิ่มขึ้นเป็น 40 กิโลกรัม]

[ในตอนนี้คุณสามารถที่จะเข้าใจพล็อตเรื่องของต่างโลกได้แล้ว]

[ในตอนนี้คุณสามารถที่จะแทรกแซงกับเรื่องราวของตัวเอกและไทม์ไลน์ได้แล้ว]

ในขณะที่มองไปที่ข้อความจำนวนมากที่ได้ปรากฏขึ้นมา ซอดัมก็รู้สึกแปลกๆ

มันเป็นแค่เพียงเวลาไม่นานเท่านั้นตั้งแต่ที่เขาได้รับสัญญาการสังหารตัวเอกดังนั้นเขาไม่อยากที่จะเชื่อได้เลยว่าเขาได้ทำภารกิจสำเร็จไปแล้วตั้งเจ็ดภารกิจ

“ไทม์ไลน์? เรื่องราว? นี้คุณกำลังพูดเรื่องอะไรกันแน่?”

<คุณสามารถที่จะเข้าไปแทรกแซงในจุดที่การเปลี่ยนแปลงมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อพล็อตได้แล้วค่ะ>

“…นี้เธอกำลังพูดเรื่องอะไรกันแน่ ฉันไม่เห็นจะเข้าใจเลย?”

ซอดัมหัวเราะออกมาอย่างยอมแพ้

บางครั้งเขาก็รู้สึกราวกับว่าคุณลูกค้าจงใจที่จะอธิบายถึงสิ่งต่างๆแบบคลุมเคลือ

ฉันไม่สามารถที่จะเข้าใจมันได้ทั้งหมดแต่ว่าฉันก็ยังพึ่งพอใจเป็นอย่างยิ่งกับการเพิ่มขึ้นของขีดจำกัดน้ำหนักสูงสุดที่ฉันสามารถจะขนย้ายได้

หากไม่นับเก็บของที่ฉันมีแล้ว ในตอนนี้ฉันสามารถที่จะขนไอเทมที่มีน้ำหนักมากได้แล้ว

‘ไม่ใช่ว่าตอนนี้อย่างน้อยที่สุดฉันสามารถที่จะขนปืนใหญ่บลาสเตอร์อีเทอร์ขนาดเล็กได้แล้วอย่างนั้นหรอกเหรอ?’

ซี่งกระสุนของมันนั้นหนักมากดังนั้นฉันแน่ใจว่าหากฉันขนมันไปฉันคงจะสามารถใช้งานมันได้ไม่ครั้งก็สองครั้งเท่านั้น

ในที่สุดข้อความก็ได้ปรากฏขึ้นมาถามว่าฉันต้องการที่ดูดกลืนทักษะเลยหรือไม่

[สกิล ปล่อยร่างไปกับสายลม (B) ได้รับการดูดกลืน]

“โอ้ว แรงค์ B…”

ในขณะที่กำลังชื่นชมสกิลที่ค่อนข้างจะดีนี้ที่ฉันพึ่งจะได้ดูดกลืนมา

[สกิล ปล่อยร่างไปกับสายลม (B) และก้าวสายลม (D) ได้สอดประสานกันโดยสมบูรณ์]

[สกิลข้างต้นจะถูกลบออก และสกิล ทำอย่างไรถึงจะราวกับเป็นสายลม (A) ได้ถูกสร้างขึ้นมาแทน]

[คุณต้องการที่จะยอมรับมันไหม?]

…ข้อความอีกอันได้ปรากฏขึ้นมา

“นี่…ต้องยอมรับแน่นอนอยู่แล้ว”

[สกิล ทำอย่างไรถึงจะราวกับเป็นสายลม (A) ได้รับการสร้างขึ้น]

ซอดัมก็รู้สึกว่าร่างกายของเขานั้นเบาขึ้นทันที

เขาสามารถที่จะรู้สึกได้ถึงสายลมเย็นสบายโดยรอบเช่นกันราวกับว่าเขาได้กลายเป็นคนละคนกับก่อนหน้านี้

นี้นับเป็นสกิลแรงค์ A อย่างแท้จริง

สิ่งที่ก้าวสายลมทำได้ทั้งหมดคือการส่งแรงผลักร่างกายของผู้ใช้งานเล็กน้อยด้วยการใช้สายลม

แม้ว่ามันจะค่อนข้างมีประสิทธิภาพในเมื่อมันอนุญาตให้ซอดัมวิ่งได้อย่างรวดเร็วยิ่งกว่าสัตว์ป่าและในตอนนี้…มันราวกับว่า…

‘ด้วยอัตรานี้หละก็ไม่ใช่ว่าในอนาคตฉันคงจะสามารถบินได้จริงๆหรอกนะ?’

ดังนั้น

ฉันได้พยายามที่จะพุ่งตัวไปในอากาศแต่ว่ามันก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะบินอยู่ดี

ฉันสามารถที่จะการกระโดดได้สูงขึ้นเท่านั้นเอง

ดังนั้นด้วยสกิลนี้บวกกับ 45 แต้มจากความว่องไวทำให้ความเร็วในการวิ่งของฉันได้เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก

“หน้าต่างสถานะ”

ชื่อ : ยูซอดัม (LV.45)
ความแข็งแกร่ง: 41 ความอึด: 40
ความว่องไว: 45 พลังงาน: 1
มานา: 45
พรสวรรค์
ความชำนาญดาบ (A+) การลดทอน (A)
สัญชาตญาณ (A) นักแม่นปืน (C)
การล่า (D+) การทำอาหาร(D-)
อื่น…
ทักษะ
นักล่าตัวเอก LV.3 การหมุนเวียนมานาของอาราเซลลี (SS)
เพลงดาบสีขาว (S) ทำอย่างไรถึงจะราวกับเป็นสายลม (A)
ช่องเก็บของ (B) สัมผัสที่หก (F)
ห้องสมุดของแม่มดขาว (F)
เหมือนที่คาดไว้ ฉันค่อนข้างที่จะพอใจกับระดับของค่าสถานะตนเองในตอนนี้

ยกเว้นก็เพียงแต่ค่ามานา นอกจากนั้นแล้วไม่มีสักอันเลยที่ได้ถึงขีดจำกัดของฉันในตอนก่อนหน้านอกจากค่าความว่องไวที่เพิ่มจะถึงขีดจำกัดเมื่อกี้นี้

มันดูเหมือนว่าจะได้รับผลกระทบจากสกิลที่พึ่งได้รับมา

สกิลแรงค์ A นี้ไม่ได้ทำให้ฉันสามารถที่จะควบคุมสายลมได้ดังใจนึกแต่ว่ามันค่อนข้างที่จะทำให้ฉันสามารถขี่สายลมได้แทน

เช่นนั้นแล้วความสามารถของมันอาจจะดียิ่งกว่าสกิลติดตัวเสียอีก

และด้วยความสัตย์จริงแล้วความเร็วในการพุ่งตัวของฉันในตอนนี้นั้นคล้ายกับความเร็วของรถที่เร่งความเร็วเต็มสูบแล้ว

ดังนั้นฉันเลยคิดว่า

‘ในตอนนี้ฉันคงนับว่าเป็นยอดมนุษย์จริงๆแล้วสินะ’

ฉันต้องการที่จะเหวี่ยงดาบของฉันในตอนนี้เลยแต่ว่าการทำแบบนั้นคงจะทำให้ธรรมชาติถูกทำลายเป็นแน่

ด้วยความตายของฮานิลและความพ่ายแพ้ของกองกำลังมนุษย์มันไม่มีเหตุผลให้ต้องทำลายธรรมชาติไปมากกว่านี้อีกแล้ว

หลังจากที่ได้วิ่งแบบเบาๆกลับไปยังหมู่บ้านของเหล่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณฉันได้เห็นแฟรี่เหล่านั้นกระซิบกันเองพร้อมกับทำบางสิ่งบางอย่างอยู่

ที่ใจกลางของพวกเขาเป็นหญิงสาว

เจ้าหญิงคนเล็กสุด ซาริลิน

ฉันได้ยินมาว่าสาวน้อยคนนี้ที่พึ่งจะมีอายุ 20 ปีมาหมาดๆได้มีความสัมพันธ์รักใคร่ลับๆกับฮานิล

หลังจากที่ทุกสิ่งได้จบลงฉันคิดว่าเหล่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณจะโกรธแค้นเธอแต่เรื่องแบบนั้นไม่ได้เกิดขึ้น

พวกเขาแค่เดินทางเธอไปและตบเบาๆไปที่ไหล่ของเธอ

ทุกครั้งที่มันเกิดขึ้น ซาริลินจะสะดุ้งและสั่นเทา

“จากนี้จงใช้ชีวิตอย่างเต็มไปด้วยการชดใช้ให้สมกับความผิดของเจ้าแล้วพวกเราจะให้อภัยเจ้าอย่างแท้จริง”

“เออ จริงหรือค่ะ?”

เจ้าหญิงลำดับที่สองมาริลินได้เข้าไปหาซอดัมแล้วพูดขึ้นในขณะที่ลูบไปที่เจ้าดอกไม้

“ทำแบบนั้นแล้วมันจะเจ็บปวดมากยิ่งกว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เหล่าแฟรี่จำนวนมากที่ได้ทุกข์ทนทรมานและล้มตายลงไปอีกทั้งต้นไม้อีกจำนวนนับไม่ถ้วนที่ได้ร่ำไห้ออกมาเพราะเธอ…ถ้าหากทุกคนลืมเลือนเรื่องราวของเธอได้อย่างง่ายดายแล้วหละก็มันจะเป็นทางที่ยากกว่าสำหรับเธอที่จะอภัยให้กับตัวเอง”

“…อย่างนั้นเหรอ?”

อืม ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน

[ง่วงนอนแล้ว…]

เจ้าดอกไม้ดูเหมือนว่าจะแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้

ด้านบนสุดของกลีบดอกไม้นี้มีเด็กสาวตัวน้อยที่โผล่ออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้และร่างกายของเธอนั้นราวกับว่าถูกสร้างขึ้นมาจากการรวบรวมอนุภาคของแสงเข้าด้วยกันและเชื่อมต่อเข้ากับดอกไม้ทำให้มันดูเหมือนว่าจะแยกออกจากกันไม่ได้

แล้วก็ที่แปลกมากยิ่งไปกว่านั้นก็คือการที่ดอกไม้นี้เชื่อมต่ออยู่กับซอดัมทำให้มันสามารถที่จะใช้ห้องสมุดของแม่มดขาวได้

ถึงแม้ว่ามานาที่มันต้องการจะสร้างความตรึงเครียดจำนวนมากกับซอดัมก็ตามแต่ความสามารถในการให้เวทมนตร์โดยที่ไม่ได้ต้องเพ่งสมาธิไปนั้นยังนับว่าเป็นประโยชน์อย่างมหาศาล

และไม่ใช่ว่ามันยังมีความสามารถในการควบคุมธรรมชาติด้วยตัวมันเองอยู่แล้วหรอกเหรอ?

เขาได้ใช้จ่ายเงินไปจำนวนมากกับที่นี่แต่ไม่ใช่แค่เขาได้รับสกิลแรงค์ A กลับมาเท่านั้น จิตวิญญาณตนนี้ยังเบ่งบานออกมาอีกด้วยผลลัพธ์พวกนี้ทำให้ซอดัมยิ้มจนปากจะฉีกออกไปถึงรูหูอยู่แล้วในตอนนี้

“ในตอนนี้เธอพักผ่อนไปพอแล้วหรือยัง?”

[งืม…]

“เธอคิดว่าเธอสามารถเอาชีวิตรอดหลังจากกลับไปที่โลกได้แล้วหรือยัง?”

เธอได้ปิดตาของตนลงไปชั่วครู่หนึ่งและอาบไปที่พลังงานที่ลอยอบอวนอยู่ที่นี่แล้วพูดขึ้นในที่สุด

[งืม…ฉันไม่จำเป็นที่จะต้องได้รับดินนั้นหรืออากาศจากที่นี่ไปมากกว่านี้อีกแล้วละ…]

ในอีกความหมายก็คือ มันหมายความได้ว่าซอดัมไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับว่าอยู่ๆเธอก็จะตายอีกต่อไปแล้ว

“ถ้างั้นก็กลับกันเถอะ”

ซอดัมพูด

ในขณะที่กำลังพูดเช่นนั้น ซาริลินซึ่งกำลังเดินเข้ามาหาได้มองดูไปที่เขาด้วยดวงตากลมโต

มันดูเหมือนว่าพิธีกรรมแปลกๆพวกนั้นทั้งหมดที่ได้ถูกจัดการกันระหว่างแฟรี่แห่งรุ่งอรุณจบลงแล้วบาดแผลที่ถูกยิงของเธอตรงท้องก็เกือบที่จะถูกรักษาโดยสมบูรณ์แล้ว

ไม่ใช่จากสามารถของเธอเองแต่ด้วยความช่วยเหลือของเจ้าดอกไม้

เพื่อที่จะกำจัดกระสุนออกไปเจ้าดอกไม้ได้เรียนรู้เวทมนตร์มาจากห้องสมุดของแม่มดขาวที่แม้แต่ซอดัมก็ไม่สามารถที่จะทำได้และเวทมนตร์ทั้งเจ็ดอย่างได้ถูกกระตุ้นใช้งานขึ้นมาพร้อมกันเพื่อที่จะใช้หยุดเลือดที่ยังไหลอยู่และรักษาบาดแผลในเวลาเดียวกัน

ในขณะที่ทำเช่นนั้นมานาของเขาก็ได้หมดลงไปอย่างรวดเร็วและพูดตรงๆเลยก็คือเขานั้นประทับใจอย่างแท้จริงกับการควบคุมเวทมนตร์ของเธอ

ด้วยความลังเลใจบางอย่าง ซาริลินได้ถามซอดัม

“…ท่านกำลังจะไปแล้วใช่ไหมค่ะ?”

“อ่าหะ”

“ที่ไหนค่ะ?”

“บ้านของฉันเอง”

บางที่สำหรับสถานที่เช่นนั้นแล้ว เธอคงไม่สามารถแม้แต่จะจิตนาการออกด้วยซ้ำว่ามันจะเป็นเช่นไร

สถานที่อันแสนเลวร้ายที่เธอไม่มีวันได้รู้

“อย่าง…นั้นนี่เอง”

และแล้ว

ซาริลินได้โค้งหัวลงให้กับซอดัมแล้วหลังจากนั้นสักพักหนึ่งก็ได้เงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า

“ขอบคุณจริงๆนะคะ”

มันมีคำมากมายเลยที่เธอต้องการที่จะพูดมันออกไป

‘ถ้าไม่ได้ท่านแล้วหละก็ข้าคงจะไม่มีโอกาสที่จะได้ชดใช้…’

‘ข้าคงจะถูกกล่าวประนาณโดยพระแม่แห่งธรรมชาติแล้วก็กลับคืนสู่อ้อมกอดของเธอ…’

‘เหล่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณทั้งหมดก็คงจะต้องตาย…’

แต่ว่าซาริลินได้เลือกที่จะไม่พูดแบบนั้นออกไป

เพราะว่าคำพูดเช่นนั้นมันไร้ประโยชน์

ในอดีตที่ผ่านมาเธอได้เคยลองพยายามที่จะเข้าใจหัวใจของผู้อื่นผ่านบทสนทนา

และซาริลินที่ได้พยายามที่จะส่งผ่านความรู้สึกของเธอผ่านคำพูดพวกนั้นทำให้เธอได้รับรู้ได้ถึงบางสิ่งบางอย่างแม้ว่าจะสายเกินไปแล้วก็ตาม

เมื่อมันเป็นเรื่องของการส่งผ่านความรู้สึกที่แท้จริงของคนๆหนึ่งแล้วมันจะมีประสิทธิภาพมากยิ่งกว่าที่จะทำมันด้วยความจริงใจ

มาริลินก็โค้งคำนับไปที่ซอดัมเช่นกัน

เหล่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณทั้งหมดที่ได้มารวมตัวกันอยู่ที่นี้ก็ได้ก้มหัวของพวกเขาเช่นกัน

ซอดัมได้มองไปที่พวกเขาสักครู่หนึ่งแล้วเดินต่อไปที่ไหนสักที่

โดยที่ซอดัมไม่ได้รู้สึกตัวใดๆ มันเป็นเส้นทางที่มุ่งหน้าตรงไปยังต้นไม้แห่งรุ่งอรุณ สถานที่ซึ่งเป็นที่ที่เขาปรากฏตัวในครั้งแรก

มุ่งหน้าไปยังที่นั้นแล้วเขาก็ได้พูดขึ้น

“ฉันไปแล้วนะ ดูแลตัวเองด้วยหละ”

พูดเช่นนั้นแล้ว ร่างกายของเขาก็ค่อยๆหายไปราวกับว่าเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา

ซาริลินได้หันหน้าไปทางพี่สาวของเธอและพูดขึ้น

“ท่านพี่ พวกเราจะต้องเตรียมพร้อมแล้วนับจากตอนนี้ไป”

“…ใช่แล้ว”

พวกเขาเหล่านั้นไม่ใช่ปีศาจ

เป็นเพียงแค่สิ่งมีชีวิตที่แตกต่างและก้าวล้ำยิ่งกว่าพวกเขา

คนพวกนั้นเป็นหนึ่งในท่ามกลางอีกมากกว่า 100 ชนเผ่าที่เหลือ

“ในสักวันหนึ่ง…พวกเขาก็จะกลับมาอีกครั้ง”

“ข้ารู้”

“และข้าก็ได้รู้แล้วว่าพวกเราจะสามารถเตรียมความพร้อมให้กับตัวพวกเราเองได้อย่างไร”

ซาริลินได้กางมือของเธอออก

ใบไม้ที่กำลังล่วงหล่นอย่างเรียบง่ายดูเหมือนว่ากำลังสั่นไหวอยู่และมาริลินซึ่งได้รับมรดกวิญญาณมาแล้วสามารถที่จะสัมผัสได้ถึงพลังของซาริลินที่กำลังแสดงออกมา

“นี่เจ้า…?”

จนกระทั้งถึงตอนนี้ ดอกไม้จิตวิญญาณสีเงินที่ได้ถูกนำมายังที่นี้โดยผู้นำทางแห่งจิตวิญญาณได้ให้ ‘บทเรียน’ กับเหล่าจิตวิญญาณที่ดำรงอยู่บนเกาะแห่งความฝันนี้

นี่ เธอไม่ควรที่จะทำแบบนั้นนะ

นี่ เธอควรที่จะทำแบบนี้สิ

เหล่าจิตวิญญาณนั้นเป็นตัวตนที่เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์และความอยากรู้อย่างเห็นอย่างแท้จริง

พวกเขาได้ยอมรับบทเรียนเหล่านั้นและในท้ายที่สุดมันก็เป็นไปได้ที่จะควบคุมธรรมชาติในเส้นทางที่แตกต่างไปจากแต่ก่อน

และเจ้าหญิงคนเล็ก ซาริลินก็เป็นคนที่กำลังแสดงมันออกมาด้วยตัวเธอเอง

“ไม่จำเป็นที่จะต้องพึงพาใครอีกต่อไป”

ด้วยการแสดงออกที่มั่นใจซาริลิน เธอได้หันไปมองรอบๆและมองไปที่เหล่าแฟรี่แห่งรุ่งอรุณ

แฟรี่ตนหนึ่งนี้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยตกอยู่ในความฝัน

ความฝันที่จะได้ออกไปจากเกาะแห่งความฝันและเดินทางสำรวจไปรอบโลก

แต่แฟรี่คนนั้นจะไม่ฝันไปมากกว่านี้อีกแล้ว

เพื่อที่จะชดใช้ให้กับบาปของเธอ

เพื่อที่จะปกป้องทุกคนด้วยความแข็งแกร่งของตัวเธอเอง

……………………………………………………..

……………………………………………………..

[การเดินทางเสร็จสิ้น]

[ช่วงเวลาได้กลับมาเป็นปกติ]

ฉันได้เปิดตาของตัวเองออก ภาพของอพาตเม้นท์ที่คุ่นเคยได้เข้าทักทายฉันอยู่

ฉันได้ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์เช่นนี้ซึ่งได้กลายมาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติแล้ว

ฉันกำมือแน่นแล้วถอดอุปกรณ์ของตนออกจากนั้นขวางพวกมันไปที่ช่องเก็บของ

ภารกิจนี้ได้ทำให้กำลังทรัพย์ของฉันเกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง

ฉันได้ใช้ระเบิดทั้งหมดที่ฉันมีไป

แต่ด้วยความสัตย์จริงแล้ว…

ฉันสงสัยว่าฉันอาจจำเป็นที่จะต้องพกระเบิดไปมากกว่านี้อีกในรอบหน้า

ระเบิดเหล่านี้แน่นอนว่ายังคงเป็นประโยชน์ในต่างโลก

แต่อย่างไรก็ตามเมื่อทำการล่าบนโลกแล้ว เพลงดาบของฉันและความเร็วที่ถูกเพิ่มพูนด้วยมานานั้นมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าระเบิดพวกนั้น

เมื่อล้มตัวลงบนเก้าอี้ ฉันได้เอาโทรศัพท์ของตนเองออกมาในทันที

หลังจากที่ได้เปลี่ยนสเตตัส ‘ไม่อยู่’ ในโซเชียลมีเดียของตน ฉันก็ได้ตรวจเช็คข่าวสารในช่วงเวลาที่ผ่านมา

ฉันได้ใช้เวลาไปมากกว่าสามวันเล็กน้อยในรอบนี้และเมื่อบวกกับเรื่องช่วงเวลาที่ได้ขยายออกเกือบจะเป็นสองเท่าทำให้เวลาที่โลกนั้นผ่านไปเพียงแค่สองวัน

ฉันได้ติดต่อไปที่เทเลอร์เป็นคนแรกแล้วก็ติดต่อไปที่เหล่าปรมาจารย์ดาบที่ละคนๆ

ตั้งแต่ที่บางคนไม่ได้เห็นที่ข้อความสเตตัสของฉันแถมยังมีบางคนที่ขอให้ฉันติดต่อพวกเขากลับไปในทันทีที่ฉันได้กลับมาแล้ว

ฉันตั้งใจที่จะเลือกเหล่าปรมาจารย์มาสักสองสามคนจากคนพวกนั้น

เกณฑ์ประเมินสำหรับการคัดเลือกก็ง่ายๆ : แค่ต้องเป็นคนที่ฉันสามารถเชื่อใจได้และคุ้มค่าสำหรับการบ่มเพาะ

ถ้าหากว่าฉันได้กระจายความรู้ที่ฉันมีออกไป แม้ว่าจะเป็นคนธรรมดาก็สามารถที่จะแสดงพลังเหนือมนุษย์ออกมาได้

‘นอกจากนี้แล้วผมต้องคุณครับว่าหากคุณได้สอนพลังเหล่านี่โดยประมาทหละก็เหล่าผู้หวนคืนต่างมิติจะต้องตามหาคุณแน่’

นี้เป็นส่วนที่ค่อนข้างจะเป็นปัญหา

เหล่าผู้หวนคืนต่างมิติ

เรื่องบ้าอะไรกันที่เกิดขึ้นระหว่างเหล่าผู้หวนคืนต่างมิติที่ทำให้เกิดกฎที่ไม่อนุญาติให้พวกเขาเผยแพร่ทักษะของตนไปยังโลกภายนอกได้กันนะ?

ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้เป็นผู้หวนคืนต่างมิติแต่สกิลของฉันก็ยังคล้ายคลึงกลับวูกงของพวกเขาดังนั้นฉันต้องระมัดระวังไม่ให้ตกไปอยู่ในความสนใจของพวกเขา

ไม่ว่าจะเป็นจิเจียนหรือผู้ยิ่งใหญ่คนไหนก็ตาม

ตัดสินจากความจริงที่ชื่อเล่นเช่นนั้นซึ่งควรที่จะปรากฎตัวอยู่เพียงแค่ในโลกของผู้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ในนิยายเท่านั้นแล้ว บางทีมันอาจจะสื่อถึงการวางตัวของพวกเขา

สำหรับตอนนี้ฉันจำเป็นต้องค้นหาเหล่าผู้หวนคืนต่างมิติที่ทรงอิทธิพลมากที่สุด

‘ฉันสามารถที่จะมั่นใจได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นในตอนนี้’

ฉันได้พยายามที่จะทำเรื่องต่างๆให้ปลอดภัยมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

เนื่องจากว่าคนธรรมดาที่อยู่ดีๆก็ได้รับพลังพิเศษจะได้รับความสนใจจากคนทั่วทุกสารทิศ

เพียงแค่มองไปยังกรณีของอียอนจุนเป็นตัวอย่างก็ได้

เมื่อคนธรรมดาอย่างเขาซึ่งได้ปลุกพลังยอดมนุษย์แรงค์ C ขึ้นมานั้นได้รับความสนใจจากคนทั้งโลกเช่นไรหละ?

มันก็เป็นแบบเดียวกันกับในกรณีของฉันที่เป็นคนธรรมดามา 15 ปีถ้าหากว่าฉันได้แสดงพลังของตัวเองออกไป

และ…

การที่จะเป็นจุดสนใจของคนจำนวนมากเช่นนั้นแล้ว มันไม่มีทางที่จะเป็นจุดจบที่ดีสำหรับฉันแน่

ไม่ว่าจะเป็นคนที่กระหายในความลับของฉัน

คนที่ต้องการจะเค้นมันไปจากฉัน

คนที่เคลื่อนไหวทางการเมืองหรือต้องการที่จะใช้ฉันสำหรับธุรกิจของพวกเขาเองและก่อนที่ฉันจะได้รู้ตัว ฉันคงตายไปเสียแล้ว

‘สำหรับตอนนี้…ฉันจะติดต่อกับผู้หวนคืนต่างมิติที่ฉันได้เจอในครั้งสุดท้ายก่อน’

คิดแบบนั้นแล้วฉันได้เปิดข้อความของตนเองอีกครั้งทำให้ฉันได้เห็นคำประกาศที่กำลังอยู่ตรงกลางหน้าจอหลัก

คำพวกนั้นช่างดึงดูดสายตายิ่งกว่าความต้องการของฉันที่จะติดต่อไปยังผู้หวนคืนต่างมิติคนนั้นเสียอีก

‘รอยแยกลึกลับ?’

คิดไปแล้วมันก็ช่างมาได้ถูกเวลาเสียจริง

มันถูกเรียกขานกันอย่างตลกขนขันว่าเป็นอีเว้นท์ประจำปีโดยเหล่าฮันเตอร์ ปรากฎการณ์ที่แปลกประหลาดนี้ซึ่งจะปรากฎตัวเพียงหนึ่งครั้งในทุกๆสองหรือสามปีนั้นดูเหมือนว่าจะเกิดจากการรวมตัวกันของเกตและดันเจี้ยน

ดังนั้นแล้วไม่ว่าจะทำการประเมินพลังงานที่ปล่อยออกมาจากรอยแยกลึกลับครั้งใดก็ตามมันมักจะเกินกว่าแรงค์ SS เสมอซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงถึงปริมาณของมอนสเตอร์ที่อยู่ด้านใน

ฉันได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับรอยแยกลึกลับเมื่อ 10 ปีก่อน ก่อนที่ระบบฮันเตอร์จะได้ถูกสร้างขึ้นอย่างมั่นคงอย่างไรก็ตามแต่ไม่มีกรณีแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว

ในทุกวันนี้มันจะเป็นยอดมนุษย์แรงค์ A และ S ที่ได้เข้าไปในรอยแยกลึกลับ

อ่านไปที่คำประกาศอย่างช้าๆ ข้อความอีกอันก็ได้ปรากฏขึ้น

มันมาจากลีจุนซอก ฮันเตอร์แรงค์ S ที่แสดงออกถึงความจริงใจอย่างแปลกๆกับฉันในวันก่อนนั้นที่งานอภิปรายวิชาดาบ

[ลีจุนซอก : คุณยูซอดัมครับคุณสบายดีไหม?]

[ลีจุนซอก : ผมเห็นว่าคุณกลับมาแล้วนะครับ]

มันยังไม่ถึงห้านาทีเลยนะตั้งแต่ที่ฉันได้เปลี่ยนสเตตัสไปนะ

พี่ท่านก็ช่างสังเกตเห็นมันได้อย่างรวดเร็วเสียจริง

[ยูซอดัม : ใช่ครับ ผมพึ่งจะกลับมาถึงเอง]

[ลีจุนซอก : ผมก็คิดไว้แบบนั้นเหมือนกันครับ]

[ลีจุนซอก : เออ ถ้าคุณไม่ว่าอะไรผมขอคุยกับคุณตอนนี้เลยได้ไหมครับ?]

เห็นว่ามันก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิดอะไรฉันได้ตกลงแล้วโทรศัพท์ของฉันก็ได้ดังขึ้นในทันที

“สวัสดีครับ”

[สวัสดีครับฮันเตอร์ยูซอดัมผมไม่รู้ว่าคุณได้เห็นประกาศนั้นไปแล้วหรือยังนะครับ?]

“เรื่องรอยแยกลึกลับใช่ไหมครับ?”

[ใช่เลยครับ นักทำนายพยากรณ์ไว้ว่าในอีกหนึ่งอาทิตย์หลังจากนี้รอยแยกลึกลับจะปรากฎขึ้นมาครับ]

ไม่เหมือนกับครั้งที่แล้วที่เขาได้พูดตะล่อมๆไปเรื่อยๆในครั้งนี้เขาได้พูดตรงไปยังสิ่งที่เขาต้องการเลย

[นักทำนายได้กล่าวไว้ว่าชื่อของรอยแยกลึกลับครั้งนี้คือ ‘พายุที่ผาแห่งการแบ่งแยก’ เอาจริงๆแล้วผมรู้สึกว่านี้มันไม่ใช่ชื่อบทกวีอย่างนั้นหรอกเหรอครับ?]

“ไม่นะ อืม ฉันว่ามันฟังดูเหมือนกับบางสิ่งที่มาจากหนังสือเรียนเกาหลีชั้นมัธยมต้นเลย”

ตามจริงแล้วฉันหลับในคาบเรียนภาษานะ

[ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ว่าจะทางไหนก็ตาม 12 ทีมจะถูกเลือกเพื่อที่จะส่งเข้าไปรอยแยกลึกลับในครั้งนี้ จากทีม 1 ถึง ทีม12 ผมได้รับการคัดเลือกให้เป็นหัวหน้าทีมของทีมที่เจ็ดและ…มันยังมีที่ว่างอีกที่หนึ่งเหลืออยู่นะครับ]

“อืม”

ถ้าหากว่าคนไม่ได้โง่เกินไปหละก็ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามคงต้องสังเกตเห็นมัน

ที่ว่าเขากำลังขอให้ฉันเข้าร่วมทีมที่ 7 สำหรับการสำรวจรอยแยกในทั้งนี้

ตำแหน่งว่างงั้นเหรอ?

มันเป็นข้ออ้างที่ดี

ไม่ใช่ว่าเขาเตรียมมันไว้ให้กับฉันหรือยังไง?

หรือว่ามันจะว่างจริงๆกันนะแล้วเขาก็แค่คิดถึงฉันขึ้นมาได้?

ฉันก็ไม่รู้หรอก

ใช่แล้ว ฉันไม่รู้หรอกแต่ไม่ว่าจะในกรณีใดก็ตามมันก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับฉัน

ไม่เหมือนกับดันเจี้ยนที่ผิดปกติ จำนวนของผู้เสียชีวิตในรอยแยกนั้นค่อนข้างที่จะสูงแต่ว่า…

ตั้งแต่ในตอนที่ฉันยังเป็นเพียงแค่ฮันเตอร์แรงค์ F แล้วมันไม่เคยมีสักครั้งเลยที่ฉันไม่เคยที่จะต้องเสี่ยงชีวิตของตนเอง

แล้วก็มันยังเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการทำเงินจากรอยแยกอีกด้วย

ด้งนั้นแล้วในตอนที่ฉันกำลังจะตอบตกลงกลับไปนั้นเอง

[เพราะด้วยเหตุนั้นเอง…ถ้าคุณว่างหละก็คุณสามารถที่จะเอาตำแหน่งหัวหน้าทีม 7 ของผมจะได้หรือไม่ครับคุณยูซอดัม?]

“…ไหนพูดอีกทีสิ?”

ฉันว่าสมองของหมอนี่ต้องได้รับการกระทบกระทบจนส่งผลถึงความเชื่อของเขาเป็นแน่?