ตอนที่ 188 ไปกว่างโจวเพียงลำพัง

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 188 ไปกว่างโจวเพียงลำพัง

หลังจากได้นอนหลับเต็มอิ่มมาทั้งคืนไปถึงช่วงสาย และกินมื้อเที่ยงแล้ว หลินม่ายยังคงอยู่ที่สวนของลุงขายผักเพื่อรับซื้อผักแห้งจำนวนมากมาเป็นเครื่องกำบัง

หลังจากกินมื้อเย็นเสร็จแล้ว หลินม่ายก็เริ่มจัดการตัวเอง

เธอเก็บเงินเอาไว้ในชุดชั้นใน ทำให้หน้าอกดูอวบอิ่มยิ่งกว่าเดิม

เป็นเพราะไม่มีฟางจั๋วหรานออกหน้าให้ เธอจึงไม่สามารถซื้อตั๋วนอนได้ ซื้อได้เพียงตั๋วนั่งเท่านั้น

หลังพกน้ำหนึ่งขวด สะพายกระเป๋าเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยน และลากรถเข็นคันเล็กที่ขนผักแห้งมาเต็มคันแล้ว หลินม่ายก็ก้าวขึ้นขบวนรถไฟมุ่งไปยังกว่างโจวด้วยตัวคนเดียว

เมื่อขึ้นรถมาแล้วเธอก็พบกับทหารคนหนึ่ง

เธอไม่ได้สนใจเลยว่าที่นั่งของตนนั้นจะอยู่ข้างๆ ทหารคนนั้นหรือเปล่า ก่อนจะเดินเข้าไปอย่างหน้าด้านๆ

ก่อนเอ่ยกับเขาอย่างมีมารยาท “สหาย ฉันขอนั่งที่นั่งของคุณได้ไหมคะ?”

ทหารหนุ่มคนนั้นตกตะลึง “ที่ผมนั่งอยู่เป็นที่นั่งของผมนะ ผมไม่ได้นั่งผิดที่นี่นา?”

การกระทำประหลาดของหลินม่ายทำให้เขานึกสงสัยตัวเองขึ้นมา นึกว่าตนนั่งบนที่นั่งของเธอหรือเปล่า เธอถึงได้มาทวง

ทหารหนุ่มรีบหยิบตั๋วรถไฟขึ้นมาดู แล้วพูดกับตัวเอง “ไม่ผิดนี่”

หลินม่ายพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันไม่ได้บอกว่าที่คุณนั่งอยู่ไม่ใช่ที่นั่งของคุณหรอกค่ะ ฉันแค่อยากจะแลกที่กับคุณ ที่นั่งของฉันอยู่ข้างๆ กับของคุณน่ะ”

เธอแสร้งทำเสียงแหบแห้งอย่างลำบากใจ “ฉันเมารถนิดหน่อยค่ะ นั่งที่นั่งข้างหน้าต่างมีลมพัด ก็จะรู้สึกสบายสักหน่อย ฉันก็เลยอยากจะแลกที่นั่งกับคุณน่ะค่ะ”

ทหารคนนั้นเชื่อสนิทใจ ไม่เพียงเอาที่นั่งของตัวเองให้เธอ ทั้งยังช่วยเธอเอาผักแห้งวางไว้บนชั้นวางสัมภาระอีกด้วย

หลินม่ายนั่งบนที่นั่งอย่างสบายใจ

ตอนนี้เรียบร้อยแล้ว มีพี่ชายทหารเป็นผู้พิทักษ์อยู่ พวกนักล้วง โจรและสิบแปดมงกุฏบนรถคงไม่กล้ามาทำอะไรเธอแล้วล่ะ

กลางดึก ผู้โดยสารบางคนไปเข้าห้องน้ำ ก่อนจะพาเอาข่าวที่ทำทุกคนตื่นตระหนกกลับมาด้วย

หลายโบกี้ถูกปล้นไปแล้ว และมีเหยื่อผู้เสียหายจำนวนไม่น้อย

บางคนถามขึ้นอย่างเป็นกังวล “ไม่รู้ว่าโจรพวกนั้นจะมาปล้นที่ตู้ของพวกเราหรือเปล่า?”

ผู้โดยสารที่ข่าวกลับมาบอกพูดขึ้น “น่าจะไม่นะ ตำรวจรถไฟเคลื่อนไหวแล้ว อีกอย่างตู้ของพวกเรายังมีทหารกองทัพปลดปล่อยอยู่ด้วย”

ทันใดนั้น ดวงตานับไม่ถ้วนก็จ้องมองมาที่ตัวของพี่ชายทหารด้วยความเคารพนับถือ

ทหารหนุ่มผู้หน่อมแน้มถูกมองจนหน้าแดงเห่อ แต่กลับยืดหลังตรง

ในใจของหลินม่ายแอบดีใจอย่างมาก เธอยกนิ้วให้กับความเฉียบแหลมเล็กๆ ของตน การนั่งอยู่ข้างพี่ชายทหารช่างเหมาะเจาะจริงๆ

รถไฟแล่นไปได้ครึ่งทาง เสียงของผู้ประกาศก็ดังมาจากลำโพง “สถานีต่อไป เหิงหยาง ผู้โดยสารที่ต้องการลงจากรถกรุณาเตรียมตัวให้พร้อม ผู้โดยสารที่ต้องการลงจากรถกรุณาเตรียมตัวให้พร้อม”

ทหารหนุ่มลุกขึ้นยืนจากที่นั่ง แล้วดึงสัมภาระของตนลงมาจากชั้นวาง

หลินม่ายที่กำลังนั่งหลับตาและทำสมาธิอยู่บนที่นั่งได้ยินเสียงเคลื่อนไหว จึงลืมตาขึ้นถามอย่างตระหนก “คุณลงสถานีนี้เหรอคะ?”

ทหารหนุ่มพยักหน้าอย่างเขินอาย

หลินม่ายทำได้เพียงนั่งมองเขาจากไปต่อหน้าต่อตา แถมยังต้องอวยพรให้เขาเดินทางโดยสวัสดิภาพอีก

เมื่อไม่มีผู้พิทักษ์แล้ว เธอเองก็ไม่กล้าดื่มน้ำอีก ไม่ดื่มน้ำแล้วก็ไม่ต้องเข้าห้องน้ำเช่นกัน

ในยุคนี้ การเข้าห้องน้ำบนรถไฟเป็นเรื่องเสี่ยงอันตราย

หากเจอโจรตามคุณไปที่ห้องน้ำ เอามีดมาจี้ที่คอของคุณ คุณก็ต้องยอมส่งทรัพย์สินให้ไปแต่โดยดี ไม่อย่างนั้นก็รอถูกแทงได้เลย

การนั่งอยู่กับที่นั่งโดยสารจึงค่อนข้างปลอดภัยกว่าเล็กน้อย

เวลาตีหนึ่งตีสอง ทั้งโบกี้ล้วนตกสู่ในห้วงนิทรา มีเพียงเสียงกรนของคนหลับสนิทและเสียงร้องในบางคราวของเด็กน้อยเท่านั้น

กลุ่มโจรสองสามคนมาถึงยังโบกี้ที่หลินม่ายอยู่อย่างไร้สุ้มเสียง

พวกเขาถือมีดบุกตรงเข้าไปปล้นทันที

เมื่อมีดมาจ่ออยู่ที่คอ ไม่ว่าใครก็ตกใจกลัวสุดขีดกันทั้งนั้น ย่อมต้องเอาทรัพย์สินสิ่งของออกมาแน่

ตอนแรกหลินม่ายก็ไม่รู้สถานการณ์

แต่เมื่อผู้โดยสารบางคนถูกปล้นแล้ว แม้จะไม่กล้าขัดขืน แต่ก็อดร้องไห้ไม่ได้

เดิมทีหลินม่ายนั้นไม่ได้นอนหลับ หูฟังแปดทิศ ตามองหกทาง(1)อยู่ตลอดเวลา

กลางดึกมีคนร้องไห้ ทำให้เธอเกิดความระแวดระวังขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้

เธอหันกลับไปมอง เห็นชายฉกรรจ์ร่างกำยำสี่ห้าคนกำลังจี้ปล้นอยู่ หัวใจของเธอพลันขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ

ไม่นานนัก คนร้ายคนหนึ่งก็ปล้นมาจนถึงเบื้องหน้าหลินม่าย

คนร้ายคนนั้นทาบมีดสั้นลงบนใบหน้าของเธอ สั่งด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ส่งเงินมาซะ!”

หลินม่ายสวมเสื้อเชิ้ตตัวยาว เธอพยายามดึงแขนเสื้อข้างซ้ายลง ไม่เพียงปิดบังข้อมือซ้ายเอาไว้สุดชีวิต แต่แทบจะเอามือซ้ายทั้งหมดซ่อนไว้ในแขนเสื้อ

จากนั้นจึงล้วงเงินจำนวนหนึ่งออกมาจากตัวอย่างไม่เต็มใจ ดูแล้วก็มากพอสมควร แต่ทั้งหมดล้วนเป็นเงินเฟินเงินเหมา แม้แต่เงินหนึ่งหยวนสักใบก็ไม่มี ความจริงแล้วก็คงไม่เกินสามสี่หยวน

โจรคนนั้นโกรธจนหน้าดำหน้ามืด “เห็นฉันเป็นขอทานหรือยังไง เลยให้มาแค่สามสี่หยวน? ฟังนะ ส่งเงินทั้งหมดมาซะ ไม่งั้นก็โดนแทงตาย!”

หลินม่ายแสร้งทำเป็นขลาดกลัว ทั้งสวมบทบาทเป็นหญิงสาวบ้านนอกที่พยายามปกป้องเงินของตนอย่างถึงอารมณ์ แม้จะกำลังร้องไห้เงียบๆ ด้วยความหวาดกลัว แต่ก็ไม่ยอมส่งเงินให้

กระทั่งคนร้ายคนนั้นทิ่มมีดเข้าไปในผิวหนังของเธอ เธอถึงได้ควักเงินห้าหกหยวนออกมาจากตัวอีกครั้ง แล้วยื่นให้กับคนร้ายด้วยน้ำตาคลอเบ้า พูดอย่างน่าเวทนา “ฉันมีเงินแค่นี้ค่ะ”

ก่อนจะร้องไห้โฮออกมา เพราะเงินถูกปล้นไปแล้ว

คนร้ายคนนั้นพูดตะคอก “ห้ามร้อง!”

เสียงร้องไห้ของหลินม่ายหยุดลงทันใด

อากาศร้อนระอุ คนอื่นๆ ต่างก็กลัวร้อน ต่อให้ใส่เสื้อเชิร์ตแขนยาว ก็จะพับแขนเสื้อขึ้นมาสูง

มีเพียงเด็กสาวบ้านนอกคนนี้คนเดียวเท่านั้น เธอกลับปล่อยแขนเสื้อข้างซ้ายเอาไว้ จนปิดคลุมไปหมดทั้งมือ

แต่แขนเสื้อข้างขวากลับพับขึ้นมาถึงข้อศอก

เรื่องนั้นก็ช่างเถอะ เธอเอาแต่ดึงแขนเสื้อข้างซ้ายโดยไม่รู้ตัว ราวกับกำลังปิดบังอะไรอยู่อย่างนั้น

คนร้ายคนนั้นฉุดมือซ้ายของเธอขึ้นมา แล้วถกแขนเสื้อข้างซ้ายขึ้น ปรากฏให้เห็นนาฬิกาเครื่องกลยี่ห้อเซี่ยงไฮ้สะท้อนแสงแวววาวเรือนหนึ่งสวมอยู่ที่ข้อมือซ้ายของเธอ

นาฬิกาเครื่องกลเรือนนั้น ต่อให้เป็นของเก่า แต่ในตลาดก็ยังได้ราคาเรือนละ20หยวน

เรือนนี้เป็นของใหม่ จะขายสักสามสี่สิบหยวนก็ไม่มีปัญหา

“ของได้ราคาขนาดนี้เธอกล้าไม่ส่งให้ฉันเหรอ? เอามาเลยมา!”

คนร้ายคนนั้นปล้นนาฬิกาเรือนนั้นไปทันที

หลินม่ายลุกขึ้นคิดจะแย่งมันกลับมา แต่กลับถูกคนร้ายใช้มีดขู่ให้นั่งกลับลงไปบนที่นั่ง

เธอแสร้งทำเป็นร้องไห้อย่างขมขื่น มองดูนาฬิกาปลอมเรือนนั้นถูกคนร้ายเอาไป

โจรคนร้ายพวกนั้นตั้งใจเลือกทำการปล้นในจังหวะที่กำลังจะถึงสถานีถัดไป เมื่อปล้นเสร็จก็ถึงสถานีพอดี แล้วจึงหนีลงจากรถไป

เมื่อนั้นผู้โดยสารที่ถูกปล้นถึงกล้าไปหาพนักงานรถไฟและตำรวจรถไฟ

พนักงานรถไฟและตำรวจรถไฟลงบันทึกให้กับผู้โดยสารที่ถูกปล้นทุกคน

ถึงตอนที่ตำรวจรถไฟสอบปากคำหลินม่าย หลินม่ายจึงบอกว่าเธอถูกปล้นเงินไปสิบกว่าหยวนและนาฬิกาเซี่ยงไฮ้ราคาห้าหกสิบหยวนเรือนหนึ่ง

เธอไม่มีความรู้สึกหนักใจที่จะปรักปรำโจรคนนั้นแม้แต่น้อย

ขณะที่ลงบันทึก หลินม่ายแตะแหวนทองวงนั้นในกระเป๋ากางเกง อุปกรณ์การแสดงชิ้นนี้คราวนี้คงจะไม่ต้องใช้แล้ว

วันต่อมาแปดโมงเช้ากว่าๆ หลินม่ายก็ลงจากรถไฟ

สถานีรถไฟกว่างโจวในตอนกลางวันดีก็ไม่ได้ดีไปกว่าตอนกลางคืนเท่าไรนัก

โรงแรมและรถบัสผิดกฎหมายพวกนั้นยังคงออกปล้นคนกันดาษดื่น

ผู้หญิงตัวคนเดียวอย่างหลินม่ายจึงเป็นเหยื่อชั้นดีในสายตาของคนชั่วพวกนั้น และถูกล้อมรอบไปด้วยโรงแรมและรถบัสผิดกฎหมายเหล่านั้น

หลินม่ายไม่เพียงเตรียมทั้งการแสดงและแหวนทองปลอมเป็นอุปกรณ์การแสดงเท่านั้น เธอยังเตรียมมีดยาวสำหรับผ่าแตงโมเอาไว้ด้วย

ใครกล้ามาแตะต้องเธอ เธอจะเอามีดนี้ฟันมันเสียเลย

คนร้ายพวกนั้นมาขอเงิน ไม่ได้มาทิ้งชีวิต เมื่อมาเจอพวกไม่กลัวตาย ก็ทำได้เพียงปล่อยไปเท่านั้น

ไม่มีใครตายทุกอย่างก็พูดง่าย แต่หากมีคนตายแล้ว สันติบาลเข้ามายุ่งจะวุ่นวาย

หลินม่ายอาศัยความกล้าหาญฝ่าออกจากสถานีรถไฟมาได้

ผู้โดยสารที่ไม่มีความกล้าเหล่านั้นได้ถูกยัดเข้าไปในรถบัสผิดกฎหมาย สิ่งที่รอพวกเขาอยู่นั้นไม่รู้ว่าจะเป็นการปล้นจนหมดตัว หรือเป็นชะตากรรมที่น่าสังเวชไปกว่านั้น

หลินม่ายไม่อาจเข้าไปยุ่งด้วย ไม่อาจสนใจได้ เธอทำได้เพียงปกป้องตัวเองเท่านั้น

หลังจากออกมาจากสถานีรถไฟ เธอก็ไปกินอาหารก่อน แล้วค่อยไปขายผักแห้งที่ตลาดสด จากนั้นจึงไปยังที่พักที่ฟางจั๋วหรานอยู่

พอไม่มีเขาอยู่ด้วย เธอก็ไม่กล้าไปซื้อสินค้าที่ตลาดค้าส่งคนเดียว เพราะกลัวว่าจะถูกคนเลวโกงไปจนไม่เหลือแม้แต่เศษ

ฟางจั๋วหรานไม่อยู่ในที่พัก เพราะไปร่วมงานสัมมนาทางวิชาการ

พนักงานต้อนรับนั้นแม้จะรู้จักเธอ แต่เพื่อการรักษาความปลอดภัยของผู้เช่าทุกคนที่พักอาศัยในที่พัก จึงให้เธอเข้าไปในห้องของฟางจั๋วหรานไม่ได้

(1)หูฟังแปดทิศ ตามองหกทาง หมายถึง ฉลาดคล่องแคล่ว สังเกตและวิเคราะห์เหตุการณ์รอบด้าน

สารจากผู้แปล

อาศัยว่ามีไหวพริบ เตรียมตัวมาดี และมีดรรชนีทองคำของนางเอกนะเนี่ยเลยเสียหายไม่มาก ถ้าไม่ใช่ม่ายจื่อคงจะมีชะตากรรมเลวร้ายกว่านี้

ไหหม่า(海馬)