นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่27 ขายเนื้อหมู
โจวเหล่าไท่ไท่ไม่พูดอะไร แต่ก็พึงพอใจมาก

ทุกครั้งที่เขาขนฟืนก็จะผ่านหน้าบ้านโจวชิวเซียงตลอด ชิวเซียงนั่งอยู่บนเตียง เห็นเขาเดินผ่านหน้าต่างไปมา นางแอบมองอยู่ตลอดเวลา

สุดท้ายอดไม่ไหวตะโกนบอกแม่ให้มาดู

หลี่ซิ่วยิงก็ตาเบิกโพ ลูกเขยแบบนี้ดีมากเลย ยังขนฟืนให้บ้านโจวอีก

สุดท้ายอดไม่ไหววิ่งไปบ้านโจว พูดชมโจวเหล่าไท่ไท่ว่า: “ไอ้หยา น้องสะใภ้สายตาเฉียบแหลมจริงๆ ดูลูกเขยที่เจ้าเลือกสิ เป็นคนดีจริงๆ! แถมยังเก่งมากอีกด้วย!”

โจวเหล่าไท่ไท่รู้สึกภูมิใจ “ข้าว่าเขาก็ดีมากเหมือนกัน”

“ไอ้หยา ฟืนที่บ้านเจ้าก็พอแล้ว ของบ้านข้ายังไม่มีเลย! พวกเขาพ่อลูกกำลังทำงานที่ไร่นา ฟืนบ้านเราก็หมดแล้วเหมือนกัน ไม่มีคนช่วยเลย ถ้าให้คนแก่อย่างข้าขึ้นไปตัดฟืนเองคงไม่ไหว!”

หลี่ซิ่วยิงว่าแล้วก็ถอนหายใจ

โจวเหล่าไท่ไท่ก็ไม่ได้โง่ ฟังออกว่านางกำลังสื่อถึงอะไร

นางไม่ชอบพี่สะใภ้คนนี้จากใจจริง ชอบเอารัดเอาเปรียบตลอด แม้กระทั่งในเรื่องเล็กๆ แต่บ้านพี่ใหญ่ก็ดูแลนางเยอะมากเหมือนกัน จะใจร้ายก็ไม่ได้

“บ้านพี่สะใภ้ไม่มีฟืนแล้ว ก็มาเอาของบ้านข้าไปสิ” โจวเหล่าไท่ไท่เย็บเสื้อตัวเองต่อ

นี่ไม่ใช่สิ่งที่หลี่ซิ่วยิงต้องการหรอกนะ แต่โจวเหล่าไท่ไท่พูดแบบนี้แล้ว นางจะพูดอะไรอีกก็ไม่ได้แล้ว ในใจก็แอบด่าสวีเหมยฮัวว่าไร้หัวใจ หลายปีก่อนนางดูแลบ้านพวกเขาดีขนาดนี้ ตอนนี้แค่จะใช้ให้ลูกเขยนางช่วยขนฟืนหน่อยก็ไม่ยอมแล้วเหรอ

“อุ๊ย ข้ากลัวว่าพวกเจ้าจะไม่มีฟืนใช้น่ะสิ” หลี่ซิ่วยิงพูดประชด

โจวเหล่าไท่ไท่ทำเป็นฟังไม่ออก พูดด้วยรอยยิ้มว่า: “ไม่มีแล้วก็ให้ลูกชายข้าไปตัดมาใหม่ก็ได้”

หลี่ซิ่วยิงโกรธจนเดินกลับบ้านตัวเองพร้อมกับยกฟืนกลับไปด้วย แต่ตอนที่เห็นห้องเก็บฟืนของบ้านโจวเต็มไปด้วยฟืน นางก็รู้สึกอิจฉาตาร้อน คิดว่าต่อไปบ้านเองหมดฟืนก็จะมาขนที่บ้านน้องสะใภ้

โจวเหล่าไท่ไท่รอนางไปแล้วก็ปิดประตูห้องเก็บฟืน เพราะยังไงก็เป็นลูกเขยใหม่ นางจะมีหน้าสั่งได้ยังไง? ต่อไปลูกสาวจะมีหน้าเจอลูกเขยได้ยังไง?

คืนนี้โจวกุ้ยหลานนอนเร็วมาก ทั้งครอบครัวนอนตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืด

เช้าวันที่สอง ฟ้ายังไม่สว่าง โจวกุ้ยหลานกับสวีฉางหลินก็ตื่นแล้ว

โจวกุ้ยหลานอุ้มเจ้าก้อนน้อยไปที่บ้านโจวตั้งแต่เช้า ส่งเจ้าก้อนน้อยที่กำลังนอนหลับอยู่ให้โจวเหล่าไท่ไท่ แล้วพูดกับนางว่าจะไปขายเนื้อหมูป่าในตำบลแล้วก็รีบออกไปทันที

“พวกเราจ้างเกวียนกันเถอะ? ระยะทางไกลขนาดนี้ หมูป่าหนักหลายร้อยชั่งเลยนะ พวกเราอุ้มไปถึงตำบลไม่ไหวหรอก” โจวกุ้ยหลานพูดอย่างแน่วแน่

สวีฉางหลินไม่รู้สึกอะไร: “ข้าแบกไปตำบลเองได้”

หมายความว่าไม่ต้องจ้างเกวียนก็ได้

โจวกุ้ยหลานเชื่อว่าเขามีความสามารถนี้ แต่หมูป่าหนักขนาดนี้ แบกไปถึงตำบลก็เหนื่อยแย่น่ะสิ

“เงินแค่ไม่กี่เหวินเอง ฟังข้าเถอะ จ้างเกวียนไป!”

โจวกุ้ยหลานตัดสินใจแล้ว

สวีฉางหลินนึกถึงครั้งก่อนที่ภรรยาตัวเองเข้าตำบลก็เหนื่อยแทบแย่ ก็ไม่เถียงกับนางอีก แบกหมูป่าไปที่บ้านเหล่าหม่าโถวในหมู่บ้านต้าสือ จ้างเกวียนรีบเข้าตำบลในตอนที่ฟ้ายังไม่สว่าง

“ไอ้หยา หมูป่าตัวใหญ่ขนาดนี้คงจะขายดีน่าดู” เหล่าหม่าโถวคุยกับโจวกุ้ยหลานระหว่างทาง

ส่วนสวีฉางหลิน……เขายังกลัวเลยไม่กล้าพูดกับสวีฉางหลิน

ในหมู่บ้านหลายปีมานี้ล่าหมูป่าได้แค่ไม่กี่ตัว ยังต้องเป็นหมูป่าที่ตกหลุมกับดักที่พวกเขาทำไว้เท่านั้นจึงล่าได้ ถึงจะล่าได้ ก็ต้องให้ผู้ชายกำยำในหมู่บ้านสามสี่คนมาช่วยกันยก ไม่เหมือนสวีฉางหลิน คนเดียวก็ล่าได้หมูป่าหลายตัว

โจวกุ้ยหลานมีความคิดหนึ่งแวบขึ้นมาในหัว: วุ่นวาย

“เขาเป็นเสาหลักของครอบครัวเรา พวกเราเพิ่งหาเงินจากการล่าสัตว์ของเขาไปแลกอาหารมา ที่บ้านไม่มีข้าวแล้ว ใกล้จะเข้าฤดูหนาวแล้วด้วย ขนาดเสื้อฤดูหนาวยังไม่มีใส่เลย ไม่รู้ว่าหมูป่าจะขายดีหรือเปล่า เห้อ……”

โจวกุ้ยหลานว่าแล้วก็ถอนหายใจ

ได้ยินนางพูดแบบนี้ เหล่าหม่าโถวก็ถึงนึกขึ้นได้ว่าสวีฉางหลินไม่มีที่ดินของตัวเอง ถึงจะมีความสามารถแค่ไหน ก็ไม่มีที่ดินและไร่นาเป็นของตัวเอง! ถ้าเข้าฤดูหนาวแล้วก็ไม่รู้จะทำยังไง ขนาดบ้านดีๆยังไม่มีอยู่เลย เข้าฤดูหนาวคงได้แข็งตายทั้งครอบครัวแน่!

พอคิดได้แบบนี้ ความอิจฉาก็หายไปทันที: “ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับใครหรอก พวกเจ้าวางแผนใช้ชีวิตให้ดีก็พอแล้วล่ะ”

ปลอบใจที่ไม่ต้องพูดก็ไม่มีใครว่าเขาหรอกนะ

โจวกุ้ยหลานพูดจาน่าสงสารไม่หยุด บอกที่บ้านยากจนใช้ชีวิตอยู่ยากมาก สวีฉางหลินต้องเข้าป่าล่าสัตว์ตั้งแต่ฟ้ามืด ตอนเย็นจึงกลับมา ของก็เพียงพอกิน

พูดจนเหล่าหม่าโถวอดไม่ได้สงสารครอบครัวของโจวกุ้ยหลาน

“ต้องดีขึ้นแน่นอน ชีวิตก็เป็นแบบนี้” เหล่าหม่าโถวพูดปลอบใจ

เห็นว่ากล่อมประสาทได้แล้ว โจวกุ้ยหลานก็ไม่พูดอะไรอีก แค่ถอนหายใจยาวๆเป็นการจบสนทนา

ส่วนสวีฉางหลิน?

เขามองดูภรรยาตัวเองร้องห่มร้องไห้และพูดถึงที่บ้านยากจนแค่ไหน เขาก็ไม่พูดแทรก คิดว่าอาหารที่ภรรยาตัวเองทำทุกวันนี้ ถ้าเหล่าหม่าโถวรู้เข้า คงไม่รู้ว่าจะคิดยังไง

เกวียนขับเร็วมาก ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มาถึงตำบลแล้ว

ทั้งสองให้เงินเหล่าหม่าโถวยี่สิบเหวิน เข้าตำบลไปหาแผงขายของ พอจัดวางของเสร็จ ฟ้าก็สว่างแล้ว

สวีฉางหลินเอามีดตัวเองออกมา เริ่มทำการหั่นหมูป่าออกเป็นชิ้นๆ ตอนนี้อากาศเริ่มร้อนขึ้น กลัวถ้าหั่นเนื้อหมูป่าทิ้งไว้จะทำให้เนื้อเน่า

โจวกุ้ยหลานช่วยพยุงหมูป่าอยู่ข้างๆ

ทั้งสองกำลังทำงานกันอยู่นั้น ก็เห็นชายเสื้อขาวเดินเข้ามา เห็นหมูป่าตัวนี้ก็พูดว่า: “โอ๊ะ นี่คือเนื้อหมูป่าเหรอ?”

พอได้ยินมีคนถาม โจวกุ้ยหลานก็รีบลุกขึ้น ยิ้มตาหรี่มองคนที่มา “ใช่แล้วๆ เนื้อสดๆเลยนะ เดี๋ยวก็หั่นเสร็จแล้ว ท่านจะซื้อไหม?”

ผู้ชายถือพัดมาด้วย ใช้ปิ่นปักผมไว้ เขายิ้มตาหรี่ด้วยท่าทีสง่างาม

ด้านหลังเขามีข้ารับใช้ตามมาด้วยสองคน ในมือถือตะกร้าไว้

ดูแล้วคงจะซื้อเยอะ……

โจวกุ้ยหลานตาเป็นประกาย

สวีฉางหลินที่อยู่ด้านหลังเห็นภรรยาตัวเองกำลังขายของ เขาก็ไม่พูดอะไร แค่จัดการหมูป่าในมือตัวเองอย่างตั้งใจ

ชายเสื้อขาวเห็นทักษะการใช้มีดหั่นหมูป่าของสวีฉางหลินก็แอบตะลึง คนผู้นี้ดูแล้วคงจะเคยฝึกวิทยายุทธมาก่อน……

“หากท่านซื้อสามสิบชั่งขึ้น พวกเราสามารถลดราคาให้ได้นะเจ้าคะ” โจวกุ้ยหลานพูดเสนอราคาด้วยรอยยิ้ม

ชายเสื้อขาวตกใจ: “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะซื้อเยอะ?”

“ดูทรงของท่านเหมือนคนซื้อของให้ตระกูลใหญ่ๆ ไม่ก็เถ้าแก่ในโรงเตี๊ยม เทียบกันแล้ว น่าจะเป็นเถ้าแก่มากกว่า” โจวกุ้ยหลานพูดด้วยรอยยิ้ม

ชายเสื้อขาวตะลึง: “ทำไม?”

โจวกุ้ยหลานตอบด้วยรอยยิ้ม: “ด้านหลังท่านมีข้ารับใช้ตามมาด้วยสองคน”

ชายเสื้อขาวอึ้ง ต่อมาก็อดไม่ได้หัวเราะออกมา

นั่นสิ เขาลืมไปได้ยังไงกันนะ

หญิงชาวบ้านคนนี้ก็ไม่ธรรมดาเลยนะ

ข้ารับใช้สองคนนั้นก็สบตากัน พวกเราถูกเดาออกก็ไม่แปลกหรอก แต่เถ้าแก่ที่ฉลาดเฉลียวกลับถูกคนหลอก ไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อนเลย

“งั้นเจ้าจะขายหมูป่านี้ยังไง?” ชายเสื้อขาวถาม

ราคาของเนื้อหมูป่า นางยังไม่รู้ เลยหันไปถามสวีฉางหลิน: “เจ้าจ๋า ขายเนื้อหมูป่ายังไงเหรอ?”