ตอนที่ 164

The simple life of the emperor

เทียนหลางตัดสินใจจะเข้าร่วมการประมูลแร่จิตวิญญาณ เพราะมันคิดว่าคุ้มค่าที่จะเสียเงินไปกับมัน แม้ในตอนนี้เม็ดยาจิตวิญญาณจะไม่มีผลกับเขาและเฟิงหยวนแล้ว แต่สำหรับศิษย์คนล่าสุดของเขาหลินหลินตัวน้อยนั้นถือว่ามีค่าเป็นอย่างมาก

หลังจากนั้นไม่มีการประมูลแร่จิตวิญญาณก็ได้เริ่มขึ้น แต่ดูเหมือนมันจะผิดคาดจากที่เทียนหลางคิดเอาไว้เล็กน้อย เพราะตอนแรกเขาคิดว่าจะมีคนประมูลแร่จิตวิญญาณกันอย่างดุเดือดเสียอีก
แต่มันกลับไม่คนประมูลแข่งกันเพียงไม่กี่คนเท่านั้น อาจเป็นเพราะข้อมูลของเจ้าแร่ก้อนนี้ยังไม่แน่ชัดบวกกับที่ไม่เคยมีใครเคยเห็นแร่จิตวิญญาณมาก่อน ทำให้ไม่มีใครรู้จักคุณสมบัติของมัน
ดังนั้นเทียนหลางจึงสามารถได้รับแร่จิตวิญญาณมาได้อย่างง่ายดายในราคาเพียงแค่ 6ล้านเหรียญเท่านั้น
ในขณะที่เทียนหลางกำลังดีใจที่ได้แร่จิตวิญญาณมาในราคาแสนถูกอยู่นั้นสิ่งของชิ้นต่อไปก็ทำให้เขาถึงกับพูดไม่ออก
เพราะนั่นคือขวดยาทิพย์ของเขานั่นเอง เขาจึงหันไปมองที่เฟิงหยวนอย่างสงสัยซึ่งเธอก็หันมาตอบด้วยรอยยิ้มเป็นการแสดงออกว่าสิ่งที่เขาคาดเดานั้นถูกต้องจนเขาอดไม่ได้ที่จะถามออกไป
“คุณเอามันเข้าร่วมประมูลตอนไหนน่ะ ?”
เฟิงหยวนยิ้มก่อนจะตอบกลับว่า
“ในตอนแรกฉันคิดว่าการประมูลในครั้งนี้เราจะต้องใช้เงินจนมากกว่าปกติ เลยคิดว่าจะขายยาทิพย์สักขวดเพื่อสำรองเงินไว้ในอนาคตนะ แต่ผิดคาดน่ะ”
เทียนหลางพยักหน้าก่อนจะจ้องมองการประมูลยาทิพย์ที่กำลังจะเริ่มต้น
จากนั้นสาวงามก็ได้กล่าวสรรพคุณของยาทิพย์ให้กับทุกคนได้ฟัง แต่เมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังลังเลใจอยู่นั้นเธอก็ได้กล่าวว่าทางโรงประมูลได้ทำการตรวจสอบมากกว่าสามครั้งแล้วและสรุปว่าสรรพคุณทุกอย่างเป็นจริงตามที่เจ้าของตัวสินค้ากล่าวอ้าง ดังนั้นทุกคนจึงสามารถวางใจได้
เมื่อได้ยินแบบนั้นทุกคนก็ต่างรุมแย่งประมูลยาทิพย์กันอย่างดุเดือด ราคาของยาทิพย์เริ่มสูงขึ้นอย่างหยุดไม่อยู่จากห้าสิบล้านเหรียญ ตอนนี้ราคาของมันสูงไปกว่าสองร้อยล้านแล้วแต่ถึงอย่างงั้นราคาของมันก็ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุด
จนในที่สุดราคาของยาทิพย์ก็หยุดลงตรงที่สี่ร้อยยี่สิบล้านเหรียญ ทำเอาเทียนหลางรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เพราะราคาของมันสูงเสียเหลือเกิน
แต่มันก็แน่นอนอยู่แล้วเพราะสรรพคุณของยาทิพย์นั้นเป็นอะไรที่เรียกว่าสามารถพลิกชะตาชีวิตได้ในหยดเดียว สามารถรักษาโรคร้ายได้ทุกชนิดและยังสามาถยืดชีวิตไปได้อีกถึงสิบปีเป็นใครก็ต้องอยากจะได้มัน แถมยังมีผลช่วยให้สามารถบรรลุในระดับขั้นในการบ่มเพาะอีกดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะต้องการเช่นกัน
หลังจากยาทิพย์ถูกประมูลออกไปก็ไม่มีสิ่งของอะไรที่สามารถเรียกความสนใจของผู้คนได้อีก และในที่สุดงานประมูลก็จบลง
เทียนหลางและเฟิงหยวนเดินออกมาจากสถานที่จัดงานประมูลอย่างสบายใจ ส่วนของที่เขาได้ประมูลไปก่อนหน้านั้นจะถูกจัดส่งไปที่บ้านของเขาในอีกสองวันให้หลัง และเงินค่ายาทิพย์ก็ถูกโอนเข้าบัญชีเรียบร้อยแล้วหลังจากงานประมูลจบลง
เมื่อออกมาเทียนหลางก็ได้ถามกับเฟิงหยวนว่า
“จะไปเดินชมเมืองต่อไหม ?”
เฟิงหยวนส่ายหน้า
“ตอนนี้ก็ดึกแล้ว เรากลับที่พักก่อนเถอะ”
เทียนหลางพยักหน้าก่อนจะพาเฟิงหยวนกลับโรงแรม
—————————————————————————————————
ในขณะเดียวกันที่แดนสวรรค์การรุกรานของเผ่าคนเถื่อนและเผ่ามารยังคงถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นพูดคุยกันอยู่ตลอด มีเทพระดับล่างมากมายถูกขอไปให้ช่วยเหลือดินแดนต่างๆและทำการปราบพวกเผ่ามาร
ยิ่งเวลาผ่านไปการต่อสู้ก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น มีเทพระดับล่างมากมายถูกฆ่าไปด้วยฝีมือของเผ่ามาร ทางด้านสำนักและนิกายที่มีสาขาอยู่ที่ดินแดนระดับกลางก็เริ่มที่จะประชุมและหาวิธีรับมือกับพวกเผ่ามารกันอย่างจริงจัง
ไม่เว้นแม้แต่มหาเทพที่หยิบยกเรื่องพวกนี้มาคุยกันในยามว่าง
และที่สำนักของสวรรค์นิรันดิ์ของเทียนหลางกับเฟิงหยวนเองเหล่าศิษย์ก็มักจะพูดเรื่องนี้กัน แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก เพราะทุกคนรู้กันดีว่าสำนักของทั้งคู่นั้นเปรียบเสมือนปราการด่านสุดท้ายที่กั้นระหว่างแดนสวรรค์กับดินแดนระดับสูง
ฉะนั้นหากประตูระหว่างสองดินแดนไม่ถูกรบกวนสำนักสวรรค์นิรันดิ์ของพวกเขาก็ยังคงไม่เคลื่อนไหวใดๆ นอกเสียจากจะมีคำสั่งโดยตรงจากท่านจ้าวสำนัก
ในจังหวะนั้นก็ได้มีสีแสงสีเหลืองทองสายหนึ่งพุ่งเข้ามาภายในสำนักและตรงไปยังตำหนักผู้อาวุโสทันที
เมื่อแสงสีเหลืองทองจางหายไปก็ปรากฏร่างของชายคนหนึ่งในชุดคลุมสีขาวบริสุทธิ์ เขาคุกเข่าลงก่อนจะกล่าวกับคนที่กำลังนั่งอ่านตำราอยู่
“ผู้อาวุโสเทา ตอนนี้ดูเหมือนว่าเผ่ามารเริ่มรุกคืบมากขึ้น พวกัมนเริ่มเข้ามาก้าวก่ายสิ่งต่างๆในดินแดนระดับกลางแล้ว เกรงว่าหากเราปล่อยเรื่องนี้นานวันเข้าดินแดนระดับกลางคงถูกยึดครองไป”
เทาเจาที่กำลังอ่านตำราอยู่นั้นเมื่อได้ยินก็กล่าวขึ้นว่า
“เผ่ามารเลือนหายไปจากประวัติศาสตร์นานนับพันปี ในตอนแรกข้าคิดว่าท่านอาจารย์กับเหล่าศิษย์พี่จะกวาดล้างพวกมันไปแล้วเสียอีก กลับกลายเป็นว่าพวกมันเพียงแค่ถอยไปตั้งหลักเพียงเท่านั้น”
เขาถอนหายใจออกมาก่อนจะพูดกับชายตรงหน้าว่า
“นำสิ่งของเหล่านี้ไปให้กับสำนักพวกนั้นซะ บอกว่าพวกเราช่วยได้เพียงเท่านี้”
เทาเจายื่นแหวนวงหนึ่งให้กับชายคนนั้น เมื่อชายคนนั้นรับไปเขาก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะกลายเป็นลำแสงสีเหลืองทองพุ่งออกไปจากตำหนัก
จากนั้นเทาเจาก็หันกลับไปสนใจตำราตรงหน้าต่อพร้อมกับกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงคาดหวังเล็กน้อย
“หวังว่าที่ท่านอาจารย์กล่าวไว้จะถูกต้อง”