บทที่ 201 บังคับและชักจูง
บทที่ 201 บังคับและชักจูง
มุมหนึ่งของพื้นที่ร้านค้าและพื้นที่แผงลอย ชายชราคนหนึ่งยืนตัวตรงด้วยท่าทางที่สงบและมั่นใจ ข้างหลังเขามีชายร่างกำยำอีกสี่คน ซึ่งช่วยเสริมให้ชายชราผู้นี้ดูน่าเกรงขามมากขึ้น
“หายไป?”
กั๋วฉินเซิงกลอกตาด้วยสีหน้าหงุดหงิดทั้งยังเอามือจับสันจมูกตัวเอง
ในขณะที่กั๋วเสี่ยวเทียนรู้สึกเย็นสันหลังวาบเมื่อเห็นการกระทำของปู่
คนอื่นไม่รู้ว่าการกระทำของปู่หมายถึงอะไร แต่เขารู้ดีว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ปู่ของเขายกมือขึ้นจับดั้งจมูก นั่นแปลว่าปู่ของเขากำลังโกรธและต้องการฆ่าคน!
“ใช่ครับปู่ เขาหายไปจากบริเวณแผงลอย” เขาพูดจบก็มองไปที่จัตุรัสแล้วรีบเสริมว่า “แต่ผมคิดว่าตอนเที่ยงเขาน่าจะเข้าร่วมในการประมูล ผมได้ส่งคนของเราออกไปกระจายอยู่ทั่วจัตุรัส เชื่อว่าเราจะสามารถหาเขาได้ตอนเริ่มการประมูล”
“ขอให้มันจริงเถอะ!” กั๋วฉินเซิงตะคอกและเดินไปที่บริเวณร้านค้า
ยังมีเวลาอีกกว่าครึ่งชั่วโมงก่อนการประมูลเวลาเที่ยง คาดว่าจะมีผู้คนมากกว่าสองหมื่นคนมาที่นี่
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายร้อยคนปิดล้อมพื้นที่ใจกลางจัตุรัส และอนุญาตให้เฉพาะผู้ที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมการประมูลเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้
คุณสมบัติของผู้ที่สามารถร่วมการประมูลได้นั้นถูกตั้งเอาไว้สูงมาก และยังมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด พูดง่าย ๆ คือต้องมีเงินทุนมากพอ
อย่างไรก็ตาม 80% ของที่นั่งทั้งหมดสองพันที่นั่งถูกครอบครองก่อนที่การประมูลจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการเสียอีก
โจวอี้และซุนเหมาไฉไม่ได้ถูกตรวจสอบเงินทุน เนื่องจากมีข้อกำหนดพิเศษในการประมูลวัตถุดิบยา ซึ่งก็คือลูกค้าทุกคนที่จัดหาวัตถุดิบยามาวางประมูลจะสามารถเข้าร่วมการประมูลวัตถุดิบยาได้โดยตรง
พวกเขาสองเดินไปตามทางที่ถูกกั้นไม่ให้คนภายนอกใช้ เข้าไปด้านในบริเวณการประมูลและพบที่นั่งว่างสองที่นั่งตรงริมสุด จากนั้นจึงนั่งลงอย่างเงียบ ๆ เพื่อรอให้การประมูลเริ่มขึ้น
“ฮะ?” โจวอี้รู้สึกได้ทันทีว่าถูกจับตามองอีกครั้ง
คราวนี้เขาสามารถสบตาอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย อีกฝ่ายเป็นชายชราและชายหนุ่มที่มีผู้คุ้มกันอีกสี่คนที่แผ่กลิ่นอายมืดมน
คนพวกนี้ไม่น่าจะธรรมดา ไม่งั้นคงไม่มีบอดี้การ์ดที่ไม่ธรรมดาขนาดนี้
โอ้? แค่มองกันครู่เดียวก็เดินมาหาแล้วงั้นเหรอ?
โจวอี้คิดกับตัวเอง พลางมองอีกฝ่ายที่กำลังเดินเข้ามาหาเขาอย่างโจ่งแจ้ง
“นายคือโจวอี้?” กั๋วฉินเซิงถามอย่างเย็นชา หลังจากเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าโจวอี้
“ใช่!” โจวอี้กำลังจะลุกขึ้นทักทาย แต่ท่าทีของอีกฝ่ายดูหยาบคายเหลือเกินซึ่งเขาไม่ชอบคนแบบนี้ ท้ายสุดเขาจึงเลือกที่จะนั่งนิ่ง ๆ ตอบอีกฝ่าย
“นายซื้อหญ้าเสวียนหมิงไปใช่ไหม”
โจวอี้เลิกคิ้ว เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้ว่าเขาซื้อหญ้าเสวียนหมิง
ทุกคนต่างคิดว่ามันเป็นหญ้าเย็น แต่ชายชราคนนี้รู้ได้อย่างไร?
“คุณเป็นใคร?” โจวอี้ถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“กั๋วฉินเซิง นี่คือนามบัตรของฉัน” ชายชราหยิบนามบัตรออกมาแม้ว่าโจวอี้ยังคงนั่งอยู่ ซึ่งทำให้ชายหนุ่มไม่พอใจ
“ไม่รู้จัก” โจวอี้ตอบห้วน ๆ หลังจากดูนามบัตรของอีกฝ่ายและพบว่าครึ่งหนึ่งเป็นภาษาจีน ครึ่งหนึ่งเป็นภาษาอังกฤษ และมีตำแหน่งนู่นนี่นั่นเยอะแยะยาวเป็นหางว่าว
แววตาของกั๋วฉินเซิงกลายเป็นเย็นชายิ่งขึ้น ก่อนจะพูดเบา ๆ ว่า “ขายหญ้าเสวียนหมิงให้ฉัน นายสามารถบอกราคาที่นายต้องการมาได้ไม่อั้น”
“ไม่ขาย!” โจวอี้ตอบกลับทันที
“พ่อหนุ่ม นายควรรู้อยู่แล้วว่าหญ้าเสวียนหมิงคืออะไร สำหรับเราแล้วไม่ว่าจะราคาเท่าไหร่ เราก็จะจ่ายและต้องได้มันมา ฉันหวังว่านายจะเลิกเล่นตัวได้แล้ว”
“ไม่ขาย”
“ร้อยล้าน ฉันยินดีเสนอหนึ่งร้อยล้านเพื่อซื้อมันจากนาย” กั๋วฉินเซิงเริ่มโกรธ
“ถ้าผมบอกว่าไม่ขายก็คือไม่ขาย นับประสาอะไรกับเงินหนึ่งร้อยล้าน ต่อให้เอาเงินมากองหนึ่งพันล้าน ผมก็ไม่ขาย” โจวอี้ตอบอย่างแน่วแน่
เขาไม่ต้องการขายมัน เพราะหญ้าเสวียนหมิงคือวัตถุดิบยาสำคัญที่จะเอาไว้ให้ลูกสาวสองคน เขาต้องการที่จะฝึกฝนลูกสาวของเขาให้เป็นยอดอัจฉริยะ เขาจึงต้องใช้หญ้าเสวียนหมิงเพื่อทำยาวิเศษให้พวกเธอใช้
“นายอยากตายใช่ไหม!” ในที่สุดกั๋วฉินเซิงก็อดไม่ได้ที่จะขู่
“ทำไม? พอซื้อไม่ได้ก็อยากจะปล้น? เอาสิ ถ้ามีความสามารถก็ลงมือมาเลย ผมก็อยากเห็นเหมือนกันว่าตาแก่อย่างคุณจะมีน้ำยาแค่ไหน?” โจวอี้หัวเราะเยาะ
“หลายปีมานี้ไม่มีใครกล้าหยิ่งยโสต่อหน้าฉันสักคน! คอยดูก็แล้วกันว่าทำไม!” กั๋วฉินเซิงหัวเราะอย่างโกรธเกรี้ยว ทว่าแทนที่จะออกไป เขากลับเดินไปที่นั่งที่ว่างห่างจากด้านขวาของโจวอี้ประมาณ 4-5 เมตร
ฆ่า!
ชายชราไม่ซ่อนเจตนาฆ่าอีกต่อไป!
และบางครั้งเขาก็มองไปที่โจวอี้ราวกับว่าเขากำลังมองคนตาย
ในขณะที่กั๋วเสี่ยวเทียนมองโจวอี้ด้วยความสงสาร
เขารู้จักนิสัยของปู่ดี ปู่ของเขาเป็นคนไร้ความปรานีอย่างยิ่ง ต่อให้เขาจะเป็นหลานชายแท้ ๆ ของอีกฝ่าย แต่หากเขาเผลอล่วงเกินปู่ เขาจะถูกทุบตีไม่ยั้งมือจนอาจถึงขั้นนอนหยอดข้าวต้ม หรือถ้าเขาเผลอทำในสิ่งต้องห้ามร้ายแรง เขาก็อาจจะถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมเลยด้วยซ้ำ
ดังนั้นชายแซ่โจวคนนี้ซึ่งทำให้ปู่ของเขาขุ่นเคือง หลังจากนี้คงไม่เพียงแต่จะไม่สามารถรักษาหญ้าเสวียนหมิงได้ แต่ยังรวมถึงชีวิตของตัวเองด้วย
‘โง่’
กั๋วเสี่ยวเทียนคิดในใจ
เวลา 12.00 น. การประมูลวัตถุดิบยาก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
หนานกงหลู่ในฐานะรองประธานของสมาคมแพทย์แผนจีนฮัวเซีย และผู้ที่รับผิดชอบในการจัดการประมูลเดินขึ้นไปบนแท่นสูงหนึ่งเมตร ก่อนจะหยิบไมโครโฟนมากล่าวสุนทรพจน์สั้น ๆ และประกาศเริ่มต้นงานการประมูล
หูหลานผิงเป็นพิธีกร
เธอมีสถานะและชื่อเสียงอย่างมากในงานประมูลแห่งชาติหลงหัว เธอยังเคยเป็นพิธีกรการประมูลที่มีจำนวนเงินรวมห้าหมื่นล้านมาแล้ว ซึ่งสร้างสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน
“ยินดีต้อนรับแขกผู้มีเกียรติทุกท่านสู่ตลาดวัตถุดิบยาเมืองฉู่ และยินดีต้อนรับทุกท่านสู่สถานที่ประมูลของงานนิทรรศการวัตถุดิบยานี้ ฉันชื่อหูหลานผิง จะเป็นพิธีกรผู้ดำเนินการประมูลในครั้งนี้ค่ะ!”
“แขกผู้มีเกียรติที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะมางานประมูลล้วนเป็นนักธุรกิจและคนดังในประเทศของเรา ตลอดจนบุคคลสำคัญในวงการแพทย์และยา ฉันรู้ว่าเวลาของทุกคนมีค่า ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ฉันจะหยุดพูดเรื่องไร้สาระ ตอนนี้เรามาประมูลวัตถุดิบยาล้ำค่าชิ้นแรกกันเลยค่ะ!”
“โปรดนำหญ้าลั่วหยางขึ้นมาบนเวทีค่ะ”
ครู่ต่อมา ผู้หญิงสองคนในชุดเดรสสีฟ้าอ่อนก็เดินขึ้นมาบนเวทีพร้อมกับถาดที่ถูกคลุมด้วยผ้าไหมสีทอง เมื่อยกผ้าไหมสีทองที่คลุมถาดออก สมุนไพรสีแดงเข้มรูปร่างคล้ายดอกทานตะวันก็เผยออกมา
โจวอี้ดูภาพหญ้าลั่วหยางผ่านหน้าจอ LCD ขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้ ๆ
เขาลังเลใจมาก
ถ้าถังเสี่ยวถังไม่ได้ถูกอาจารย์เอาตัวไป เขาจะต้องซื้อสมุนไพรลั่วหยางนี้มาให้ได้ เพราะสมุนไพรนี้มีผลอย่างมากกับถังเสี่ยวถัง
แต่ตอนนี้ถึงจะซื้อมาก็ใช่ว่าจะเอามาทำประโยชน์ได้
“ราคาเปิดประมูลของหญ้าลั่วหยางคือห้าล้านหยวน และการเพิ่มราคาแต่ละครั้งไม่ต่ำกว่า แสนหยวนนะคะ ตอนนี้ทุกท่านเริ่มการประมูลได้ค่ะ!”
“ห้าล้านครึ่ง”
“หกล้าน”
“เจ็ดล้าน”
“…”
ราคาพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและมีผู้ขานราคานับสิบราย
ราว ๆ สามหรือสี่นาทีต่อมา ราคาของหญ้าลั่วหยางก็พุ่งสูงถึง 25 ล้าน แต่จำนวนผู้ที่แข่งประมูลก็ลดลงเหลือไม่เกินสี่คนแล้ว
“สามสิบล้าน” โจวอี้หยิบไมโครโฟนข้างตัวขึ้นมาและตะโกนออกไป
มีวัตถุดิบยาล้ำค่ามากมายที่หาไม่ได้ เขาคิดว่าแม้จะยังไม่สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ในตอนนี้ แต่ก็ยังสามารถเก็บไว้ใช้ได้ในภายหลัง หากราคาสุดท้ายของมันพอรับได้ เขาก็ควรซื้อไว้ก่อน
ในขณะที่เขาเอ่ยราคาพุ่งสูงอย่างกะทันหัน คนที่เหลือที่แย่งชิงกันอยู่ก็หันศีรษะมองไปที่โจวอี้ด้วยท่าทางขุ่นเคือง
“สามสิบห้าล้าน” เสียงคนแก่ดังขึ้น
โจวอี้ก็มองไปที่อีกด้านหนึ่ง
เจ้าของเสียงแก่นั้นก็คือกั๋วฉินเซิง
และอีกฝ่ายก็หันมามองชายหนุ่มด้วยสายตาเย้ยหยัน