หลี่ฉางโซ่วก็มีช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นกัน
เมื่อท่านอาจารย์ตีเขาด้วยแส้หางม้า เขาก็พยายามระงับพลังเซียนโต้กลับในร่างกายของเขาอย่างสุดความสามารถ ด้วยเกรงว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับท่านอาจารย์
หลังจากนั้นชั่วครู่…
หลี่ฉางโซ่วและหลิงเอ๋อร์ก็คุกเข่าลงต่อหน้าท่านอาจารย์ของพวกเขา
ในเวลานั้น ฉีหยวนนั่งบนเก้าอี้กลมพลางขมวดคิ้วขณะฟังหลี่ฉางโซ่วกล่าว
ตั้งแต่ความโกรธเริ่มแรกของเขาได้กลายเป็นความสับสนสงสัยในเวลาต่อมา และจากนั้นก็เกิดการตระหนักรู้ขึ้นอย่างกะทันหัน และในเวลานี้สีหน้าท่าทีของฉีหยวนก็แปรเปลี่ยนไปหลายครั้ง
หลังจากหลี่ฉางโซ่วกล่าวจบ ฉีหยวนเฒ่าก็พึมพำว่า “นั่นคือเหตุผลจริงๆ หรือ”
ชั่วขณะหนึ่งนั้น…เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ก็ไม่อาจบอกได้
“จริงขอรับท่านอาจารย์” หลี่ฉางโซ่วและหลิงเอ๋อร์พยักหน้าพร้อมกันในขณะที่ฉีหยวนครุ่นคิด
หลิงเอ๋อร์ซึ่งอยู่ด้านข้างแอบเบ้ปาก แต่นางก็เข้าใจดีว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ นางไม่อาจให้โอกาสศิษย์พี่ของนางได้พูดอย่างแน่นอน
ไม่อย่างนั้นศิษย์พี่ของนางก็จะสามารถกลับดำเป็นขาว บิดเบือนข้อเท็จจริงทั้งหมดได้จริงๆ!
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาลอบทำร้ายอาจารย์ของพวกเขา แต่ในเวลานี้อาจารย์ของพวกเขากลับรู้สึกว่าตัวเขาเองน่าจะถูกอาคมจริงๆ…
เขาคิดแบบนั้น ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่พวกเขาจะสามารถหลีกเลี่ยงความเป็นไปได้ที่จะมีข้อบกพร่องที่ปรากฏในค่ายกลต่อสู้ของพวกเขา และทำให้ความพยายามทั้งหมดของพวกเขาสูญเปล่าเพราะคนเพียงคนเดียว ฉีหยวนถอนหายใจ และในไม่ช้าเขาก็ทำตามคำแนะนำของหลี่ฉางโซ่วและบินไปที่หอไป่ฝานอย่างรวดเร็ว
ในฐานะปรมาจารย์ผู้นำสูงสุดของยอดเขาหยกน้อย เขาต้องปรากฏตัวและถามว่ามีสิ่งใดที่เขาจะสามารถทำได้บ้างหรือไม่…
และทันทีที่อาจารย์จากไป หลิงเอ๋อร์ก็รู้สึกหนาวที่ด้านข้างและอดตัวสั่นสะท้านไม่ได้
“ศิษย์พี่ ศิษย์พี่…”
“ศิษย์น้องหญิง” หลี่ฉางโซ่วยิ้มอย่างเป็นมิตรและอ่อนโยนแล้วกล่าวว่า “เจ้าปีกกล้าขาแข็ง ไม่เชื่อฟังแล้วใช่หรือไม่ หึ” หลิงเอ๋อร์หดคอและหัวเราะคิกคักพลางกล่าวกระซิบว่า “ทั้งหมดเป็นเพราะได้ศิษย์พี่พร่ำสอนสั่งเจ้าค่ะ ท่านสอนข้าว่าปล่อยให้ตายเดี่ยว ดีกว่าตายสองคนไม่ใช่หรือเจ้าคะ…ศิษย์พี่ ข้าผิดไปแล้วเจ้าค่ะ!”
“เหอะ!”
หลี่ฉางโซ่วค่อยๆ ลุกขึ้นยืนในขณะที่พยุงก้นด้วยมือของเขาพลางโคจรพลังเซียนของเขาเพื่อกำจัดบาดแผลภายนอกที่อาจารย์ของเขาเพิ่งทำ ให้สลายหายไป
“ศิษย์พี่เจ้าคะ ข้าช่วยใส่ยาให้ท่านสักหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ช่างมันเถิด…”
ขณะที่หลี่ฉางโซ่วกำลังจะเย้าแหย่และล้างแค้นหลิงเอ๋อร์ จู่ๆ เขาก็รู้สึกถึงบางอย่างที่ผุดขึ้นมาในใจอย่างกะทันหันจนอดจะขมวดคิ้วไม่ได้
จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็ซุกมือขวาเข้าไปในแขนเสื้อและบีบนิ้วคำนวณ ก่อนจะย่นคิ้วของเขาลึกขึ้น
ครั้งนี้ ไม่ใช่ว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นกับอาจารย์ลุงจิ่วอูแล้ว และเขาก็ไม่ได้มอบ ‘เครื่องประดับเล็ก ๆ’ ให้อาจารย์จิ่วอูแล้ว
ดูเหมือนจะไม่มีเหตุผล แล้วทันใดนั้นหลี่ฉางโซ่วก็สัมผัสถึงอันตรายได้อย่างกะทันหัน…
เขาเหลือบมองศิษย์น้องหญิงของเขาแล้วกล่าวว่า “หลิงเอ๋อร์ เจ้าออกไปเล่นข้างนอกก่อน ข้าอยากนั่งสมาธิและคิดอะไรบางอย่าง”
“โอ้” หลิงเอ๋อร์ก็เห็นว่า ดูเหมือนศิษย์พี่ของนางจะมีบางอย่างผิดปกติ แม้นางจะไม่พอใจกับคำว่า ‘เล่น’ เล็กน้อย แต่นางก็ตอบรับอย่างชาญฉลาดแล้วรีบออกไปจากกระท่อมมุงจากของหลี่ฉางโซ่วอย่างรวดเร็ว
เมื่อเปิดค่ายกลโดยรอบแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็นั่งขัดสมาธิบนเบาะนั่งสมาธิ และเริ่มพยายามตรวจจับบางสิ่งด้วยพลังสัมผัสเซียนรับรู้ของเขาและทำการคาดการณ์บางอย่าง
มีบางอย่างเกิดขึ้น…
มีบางอย่างเกิดขึ้นในสำนักเทพทะเลทักษิณ
รูปปั้นตัวเขารูปหนึ่งรูปถูกทุบทำลาย
ในตอนแรก หลี่ฉางโซ่วเบิกบานใจยิ่ง ทว่าในท้ายที่สุด หากเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น รูปปั้นของเขามากกว่าหนึ่งพันหกร้อยรูปก็จะถูกลบล้างออกไปได้สำเร็จ
แต่แล้วหลังจากนั้น เขาก็ยิ้มไม่ออกอีกเลย…
ในขณะนั้น ในอารามเล็กๆ ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ผู้คนไปสักการะเขา มีมนุษย์สองกลุ่มกำลังฟาดฟันผู้คนที่อยู่รอบตัวด้วยมีดของพวกเขาจนเลือดสาดกระเซ็นออกไปทั่วทุกที่
นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างสำนัก หลี่ฉางโซ่วสัมผัสได้ล่วงหน้ามาก่อนแล้ว เขาไม่คิดว่าสถานการณ์จะเลวร้ายลงเรื่อยๆ และปัญหาจะรุนแรงจนกลายเป็นความโกลาหลครั้งใหญ่ และบัดนี้ก็มีมนุษย์บางคนเริ่มเสียสละชีวิตและหลั่งเลือดเพื่อถวายให้ท่านเทพแห่งท้องทะเลทักษิณแล้ว…
อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้า หลี่ฉางโซ่วก็พบว่ามีพลังลมปราณสีดำเข้าล้อมรอบปราณวิญญาณของเขา และในที่สุดก็เข้าผูกติดอยู่กับข้อมือของเขา
ดูเหมือนว่า มันจะเป็น…กรรมร้าย!
หลี่ฉางโซ่วรีบหยิบกำยานของบุญเครื่องสักการะที่เขาซ่อนไว้อย่างรวดเร็ว และเข้าไปใกล้พลังลมปราณสีดำ แล้วทั้งสองก็เข้าไปพันตูกันก่อนที่พวกมันจะค่อยๆ หายไป
บุญและกรรมร้ายต่างหักล้างกัน
“อันใดกันนี่”
ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกในขณะยังคงนั่งอยู่ และในไม่ช้าเขาก็เริ่มคิดอย่างถี่ถ้วนรอบคอบ
บุญของการถวายเครื่องสักการะนั้น แท้จริงแล้วมาจากการ ‘ปกป้อง’ และ ‘ให้การตระหนักรู้’ แก่มนุษย์
ในระดับหนึ่งนั้น การดำรงอยู่ของสำนักเทพทะเลทักษิณได้ทำให้หมู่บ้านในพื้นที่เล็กๆ มารวมตัวกันและช่วยเหลือซึ่งกันและกันซึ่งเป็นประโยชน์ต่อความมั่นคงของโลก
นอกจากนี้ ผู้คนทุกหนทุกแห่งได้จุดธูปบูชาและถวายเครื่องสักการะอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเทียบเท่ากับเต๋าสวรรค์ยอมรับเขาว่าเป็นเทพ ‘นอกรีต’
นี่คือการจำใจยอมรับเพราะผู้คนบูชาเขาอย่างเข้มแข็งมั่นคง
ในเวลานี้ กรรมร้ายนี้เป็นผลที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งระหว่างสำนักที่นำไปสู่การต่อสู้ที่ร้ายแรงในโลกมนุษย์ ซึ่งส่วนหนึ่งของกรรมที่เกิดจากการบาดเจ็บล้มตายได้กลายเป็นกรรมร้ายที่เป็นไปตามวิถีของมันสู่หลี่ฉางโซ่ว…
“ต้องแก้ไขเรื่องนี้แล้ว”
หลี่ฉางโซ่วยังคงนั่งครุ่นคิดอยู่เช่นนั้น
ตอนนี้เขามีตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ ซึ่งยังแทบจะนับไม่ได้ว่าเป็นร่างจำแลง ‘ระดับเบื้องต้น’ ของเขา ตราบใดที่เขาสามารถยืมสมบัติและอาวุธเวทบางอย่างที่ทำให้เขาทะยานขึ้นไปบนฟ้าและขุดลงไปในดินได้ เขาก็จะสามารถเก็บรักษาพลังเซียนและรีบเร่งไปที่ทะเลทักษิณได้
ข้าควรล้มล้างสำนักเทพแห่งท้องทะเลทักษิณของข้าด้วยวิธีการอย่างไรดี แทนที่จะได้รับบุญจากการถวายเครื่องสักการะเหล่านี้จริงๆ ข้าอยากได้รับบุญบางอย่างในศาลสวรรค์มากกว่า และบุญนั้นก็บริสุทธิ์และสบายยิ่ง
นอกจากนี้ ข้ายังจะได้รับอันตรายจากความเสี่ยงที่จะถูกสำนักบำเพ็ญประจิมจัดการข้าได้ตลอดเวลา
เมื่อคิดให้ดีถี่ถ้วนแล้ว ในฐานะที่ข้าเป็น ‘เทพนอกรีต’ ที่กำลังได้รับการสักการะบูชาอยู่ แต่ข้ากลับต้องการทำลายสำนักของข้าเอง ข้าช่างไม่มีใครเหมือนเสียจริง “อืม ข้าต้องเตรียมการอย่างระมัดระวัง”
ในเวลานั้น หลี่ฉางโซ่วพลันสูดลมหายใจเข้าลึกขณะนั่งอยู่ที่นั่นและเริ่มคิดอย่างรอบคอบ
ข้าต้องทำให้ชาวหมู่บ้านสงหวาดกลัวที่จะอยากทำเงินเพื่อสร้างความมั่งคั่งของพวกเขาจริงๆ!
สองสามวันต่อมา ณ ยอดเขาพิชิตสวรรค์
ในขณะนั้น จิ่วจิ่วที่เพิ่งตื่นขึ้นนอน ยืนอยู่หน้าประตูไม้ที่เปิดอยู่ และนางใช้คาถาสองสามอย่างติดต่อกัน แต่ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ตอบสนองจากกำแพงค่ายกลด้านนอก
หือ?
จิ่วจิ่วหันกลับไปมองภายในบ้าน เพราะศิษย์พี่หญิงทั้งสี่คนในบ้านล้วนสะอาดเกินไป นางจึงรู้สึกไม่ชินกับมันนัก
นี่คือ…ห้องของข้าเองจริงๆ หรือ จิ่วจิ่วขมวดคิ้วและตระหนักว่าสิ่งต่างๆ ล้วนไม่ธรรมดา
บนเกาะเต่าทอง
“หานจื่อ เจ้าจะไปเช่นนี้ไม่ได้นะ”
อ๋าวอี่มองไปยังสตรีสาวที่ดูซีดเซียวแล้วกล่าวเบาๆ ว่า “เหตุใดไม่ให้ข้าพาเจ้าเดินไปรอบ ๆ เล่า หากเจ้ารู้สึกว่าทิวทัศน์ของทะเลบูรพาน่าเบื่อ เช่นนั้น พวกเราไปที่ทะเลประจิมและทะเลทักษิณดีหรือไม่ มีทิวทัศน์ที่สวยงามอยู่ทุกหนทุกแห่งในทั้งสี่คาบมหาสมุทร เจ้าไม่ควรเศร้าใจต่อไปอีกแล้วจริงๆ”
“โอ้” หานจื่อฝืนยิ้มขื่นแล้วกล่าวว่า “ความจริงแล้ว อาจารย์ของข้า…”
“ความจริงแล้ว นั่นไม่ใช่เรื่องเลวร้ายจริงๆ” อ๋าวอี่กล่าว “หลังจากศิษย์พี่หยวนเจ๋อกลับชาติมาเกิด เขาจะต้องสามารถฝึกบำเพ็ญได้อย่างแน่นอน”
แล้วหากเขากลายเป็นปีศาจเล่า?
เขาเพียงขาดโชคและชะตาเล็กน้อยเท่านั้น เขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงและแสวงหาเต๋าอันยิ่งใหญ่ต่อไปได้อย่างแน่นอน
“นอกจากนี้ ลองคิดดู…”
อ๋าวอี่ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วกลอกตาก่อนจะกล่าวต่อว่า “หลังจากที่ศิษย์พี่หยวนเจ๋อกลับชาติมาเกิด เขาคงจะไม่อาจพูดได้อีกนาน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ต้องเผชิญปัญหาใดอย่างนั้นหรอกหรือ”
หานจื่อกะพริบตาและทันใดนั้นก็ร้องอุทานว่า“จริงสิ!”
ขณะที่อ๋าวอี่ยังคงเกลี้ยกล่อมนาง อารมณ์ของหานจื่อก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
นางถอนหายใจเบาๆ และกล่าวกระซิบว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ออกไปเดินเล่นกันเถิด ข้าก็อยากพักผ่อนด้วยเหมือนกัน ขอบคุณท่านอาจารย์อาที่คอยเป็นเพื่อนหานจื่อเจ้าค่ะ”
“เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว” อ๋าวอี่กล่าวพลางยิ้ม
ข้าจะดูแลเจ้าแทนท่านอาจารย์ของเจ้าให้ดีอย่างแน่นอน!
และไม่นานหลังจากนั้น ร่างทั้งสองก็บินออกไปจากเกาะเต่าทอง พวกเขาเลือกทิศทางไปตามแต่ใจต้องการในขณะที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปช้าๆ