ตอนที่ 209 อย่าหักโหมเกินไป
ตี้อู๋เปียนอยู่กับม้าทั้งสามตัวได้หนึ่งชั่วโมงพวกไป๋เฮ่าอวี๋ก็มาตาม
พวกเขาเดินเล่นกลับมาตอนสองทุ่ม ตอนนี้สามทุ่มแล้ว
คุณชายเล็กต้องรีบเข้านอน!
โตป่านนี้แล้วยังต้องให้มาตามแม้แต่ตอนนอน ไม่รู้หน้าที่เลยสักนิด!
แม้ม้าทั้งสามตัวจะสวย แต่ดูม้าอยู่คนเดียวหนึ่งชั่วโมงยังไม่พออีกเหรอ
หรือว่าจะคุยกับม้า เล่นไพ่นกกระจอกกับม้าได้หรือยังไง
“คุณชายเล็กครับ คุณหมอเทวดาให้มาตามครับ”
อันที่จริงเขามาตามเอง นี่เป็นหน้าที่ของหมอประจำตัว
“ซาลาเปาน้อยเรียกหาฉันเหรอ”
น้ำเสียงของตี้อู๋เปียนตื่นเต้นเล็กน้อย แม้แต่มุมปากก็ยกขึ้น
“เปล่าครับ แต่คุณชายเล็กต้องพักผ่อนได้แล้วครับ” เหมือนโดนน้ำเย็นสาด
ตี้อู๋เปียนมองค้อนใส่
“คุณชายเล็กดูม้าสามตัวนี้มาตั้งนานแล้ว น่าจะถึงขั้นนับจำนวนเส้นขนได้แล้วหรือเปล่าครับ”
“คืนนี้นายอยู่นับขนม้าแล้วกัน”
ตี้อู๋เปียนเดินออก ทิ้งไป๋เฮ่าอวี๋ยืนอยู่ท่ามกลางสายลมในฤดูร้อน
พอตี้อู๋เปียนกลับเข้าไปย่าตี้ก็ถามขึ้น “อู๋เปียน ทำไมอยู่ที่นั่นตั้งนานล่ะ”
“อ๋อ แค่อยากคุยกับราชาม้าป่าน่ะครับ”
ปู่ตี้ขมวดคิ้วถาม “อู๋เปียน หลานอยากแอบขี่ม้าเหรอ แต่ร่างกายของหลานจะรับไม่ไหวน่ะสิ”
คราวก่อนแอบออกกำลังก็เล่นเอาหมอบสลบลุกไม่ขึ้น ทำพวกเขาเกือบช็อกตายกันหมด
ตี้อู๋เปียนพูดเน้นย้ำ “คุณปู่ ผมแค่คุยกับพวกมันเองครับ”
ปู่ตี้กับย่าตี้ทำสีหน้าไม่เชื่อ
คุยกับม้าเนี่ยนะ คิดว่าตัวเองเป็นเด็กสามขวบหรือไง
“อู๋เปียน อย่าหักโหมตัวเองให้มากนัก เสี่ยวเยาเยารักษาหลานมาได้จนถึงขั้นนี้ไม่ง่ายนะ”
มู่เถาเยา “…”
อันที่จริงถึงขั้นนี้ก็ยังง่ายอยู่นะ ก็แค่รักษาให้หายขาดมันไม่ง่าย
สมุนไพรไม่ได้หาง่ายแบบธรรมดา
ตี้อู๋เปียนจะอธิบายก็ไม่ได้ ทำได้เพียงเออออไป
“อู๋เปียน หลานต้องห่วงสุขภาพตัวเอง…” ย่าตี้บ่นยืดยาวด้วยความเป็นห่วง
“ครับ”
ไม่เพียงแต่เขาจะไม่ละเลยตัวเอง ยังจะกระตือรือร้นหาสมุนไพรมารักษาด้วย
เจ้าถุงลมน้อยฟังแล้วก็ง่วงนอน ท่าทางจะนั่งไม่ไหวแล้ว
มู่เถาเยาอุ้มเขาขึ้นมาแล้วพูดกับทุกคน “หนูขอพาเสี่ยวอันเหยี่ยไปอาบน้ำเข้านอนก่อนนะคะ ทุกคนก็รีบพักผ่อนด้วยนะคะ”
อาจารย์ใหญ่ส่ายมือ “ไปเถอะ วันนี้เราใช้กำลังไปเยอะ รีบนอนดีกว่า”
“ค่ะ” แม้เธอจะไม่เหนื่อย แต่ก็รับปาก
เป่ยซียิ้มพูดกับทุกคน “ฉันขอตัวไปช่วยเสี่ยวเยาเยาอาบน้ำให้อันเหยี่ยนะคะ”
ทุกคนพยักหน้า
ปู่ทวดถัง “พวกเราก็ไปพักผ่อนเถอะ”
ไม่ได้มีเรื่องใหญ่อะไรก็ไม่จำเป็นต้องคุยในเวลาที่ควรเข้านอนตามปกติ
ทุกคนทยอยลุกขึ้น เดินกลับห้องชั้นบน
พอตี้อู๋เปียนกลับถึงห้อง ดอกมะลิที่อยู่ริมหน้าต่างก็พูดกับเขา “เสี่ยวเปียน เสี่ยวเปียน เสี่ยวฉยงบอกว่าหมอลู่เดินกลับแล้ว”
“ว่าไงนะ เดินกลับดึกดื่นป่านนี้เหรอ มะลิน้อย ฟังมาผิดหรือเปล่า”
“ไม่ผิดๆ เสี่ยวฉยงบอกมาแบบนี้”
“มันเรื่องอะไรกัน วกกลับในเวลาแบบนี้เหรอ หรือว่ามีอะไรขวางทางไปต่อของหมอลู่ หรือไม่ก็ค้างคืนในนั้นไม่ได้เหรอ”
“ไม่รู้สิ เสี่ยวฉยงไม่ได้บอก”
ตี้อู๋เปียนหยิบเสื้อมาคลุมแล้วลงไปที่สวนด้านหลัง
“เสี่ยวฉยง หมอลู่ไปเจออะไรมาเหรอ ทำไมถึงได้เดินกลับในเวลานี้”
“เจ้านาย ข้ากำลังสืบ”
“แกถามดูก่อนว่าหมอลู่บาดเจ็บหรือเปล่า”
“ได้เลย”
สักพักดอกฉยงฮวาก็มาตอบเขา
“เจ้านาย หมอลู่สบายดี ก็แค่ดูมอมแมมไปหน่อย”
ตี้อู๋เปียนขมวดคิ้ว
เขาไม่รู้เกี่ยวกับลู่จือฉินเท่าไร ข้อมูลที่สืบได้ก็เป็นแค่คนธรรมดา แต่ซาลาเปาน้อยกลับเชื่อมั่นในความสามารถของคนคนนี้…เขาก็ย่อมเชื่อไปด้วย
“เจ้านายๆ ข้าสืบได้แล้ว ข้างหน้ามีหนองน้ำ”
ตี้อู๋เปียนโล่งอก ยังดีที่ไม่ใช่สัตว์ป่าที่สู้ไม่ไหว
หนองน้ำ ขอแค่ไม่เหยียบย่ำเข้าไปก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเข้าไปก็มีโอกาสที่จะไม่รอดสูงมาก
หนองน้ำของป่าเซียนโหยวไม่ใช่หนองน้ำธรรมดา ในนั้นอาจมีสิ่งมีชีวิตอย่างตะกวดยักษ์ ไคแมน เป็นต้น
หากเป็นที่อื่น สัตว์เหล่านี้อาจไล่ไม่ทันหมอลู่ แต่ถ้ามนุษย์เหยียบย่ำเข้าไปในหนองน้ำก็ไม่ได้มีโอกาสรอดง่ายๆ แล้ว
ขนาดหนองน้ำธรรมดายังหนีขึ้นมายาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหนองน้ำในป่าเซียนโหยวเลย
“เสี่ยวฉยง ฉันอุ้มแกกลับห้องค่อยคุยกัน”
ถ้าเปิดไฟสว่างอยู่ข้างนอกนาน เดี๋ยวคนอื่นๆ จะลงมาดู
“ได้เลย” มันอยู่ที่ไหนก็ทำงานได้
ตี้อู๋เปียนอุ้มดอกฉยงฮวาขึ้นมาจากข้างดอกเถียนซินที่กำลังเรืองแสง กลับเข้าบ้าน
ปิดไฟหน้าประตู ขึ้นชั้นบน ปิดไฟห้องรับแขกที่หน้าบันได เดินเข้าห้อง
“เสี่ยวฉยง คอยสังเกตหมอลู่ไว้ ฉันจะไปอาบน้ำก่อน”
ในเมื่อเดินกลับแล้ว งั้นก็แสดงว่าต้องรู้แน่นอนว่าที่ไหนค้างแรมได้ เขาเองก็ไม่ต้องกังวลมากแล้ว
ดอกฉยงฮวาโยกตัวแล้วตอบ “ได้เลย”
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ตี้อู๋เปียนที่อยู่ในชุดนอนเสื้อแขนยาวกางเกงขายาวก็ออกมาจากห้องน้ำ
“เสี่ยวฉยง หมอลู่เข้าที่พักหรือยัง”
“ยังเลย ยังเดินอยู่ เจ้านาย หมอลู่เก่งมากเลยนะ! เก่งเหมือนพี่ซาลาเปาน้อยเลย!”
“หมอลู่ทำอะไรเหรอ”
“แสดงอภินิหาร ช้งเช้ง ช้งเช้ง…”
ดอกฉยงฮวาส่ายกิ่งก้านเล็กๆ ของตัวเองคล้ายถูกลมพัด โยกซ้ายโยกขวา
ตี้อู๋เปียนหมดคำจะพูด
เอานิ้วจิ้มใบของมัน “เล่ามาดีๆ”
“ในครึ่งชั่วโมงนี้ หมอลู่เอาชนะแมวดาว งูเหลือม สิงโต นั่นนี่ อย่างนั้นอย่างนี้…” บลาๆๆๆ
ตี้อู๋เปียน “…”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอยู่หมู่บ้านเถาหยวนนานเกินไปหรือเปล่า ทุกคนเลยติดนิสัยปู่หยวนมา พูดได้เป็นตุเป็นตะไม่มีหยุด ขนาดเสี่ยวฉยงที่อยู่ในสวนด้านหลังตลอดก็ยังไม่รอด
“เสี่ยวฉยง หลังกินข้าวเย็นเสร็จฉันไปถามราชาม้าป่ามา แถวอาณาเขตของมันทางตะวันออกมีเสือ สิงโต เสือดาว ทางตะวันตกมีฝูงหมาป่า ไฮยีน่า ไปทางเหนือส่วนใหญ่จะเป็นพวกพืชมีพิษ ฝูงม้าก็เลยชอบไปหาอาหารทางด้านใต้”
“เจ้านาย พี่ซาลาเปาน้อยไม่กลัวสิ่งเหล่านี้สักหน่อย”
ตี้อู๋เปียนดีดกิ่งของมัน พูดกึ่งหยอกล้อ “แกรู้ด้วยเหรอ”
“แน่สิ ก็พี่ซาลาเปาน้อยเก่งที่สุด!”
“เสี่ยวฉยง ต่อให้เก่งแค่ไหนก็มีจุดอ่อน จุดอ่อนของซาลาเปาน้อยก็คือใจอ่อน”
ถึงแม้ภายนอกเธอจะดูเย็นชา แต่การกระทำของเธอกลับอบอุ่นเหลือเกิน
“อือๆ ใจอ่อนสิดี คนที่เก่งมากๆ ถ้าจิตใจโหดเหี้ยมด้วยยิ่งน่ากลัว”
“โอ๊ะ ใช้ได้นี่! มาอยู่หมู่บ้านเถาหยวนซานฉลาดขึ้นเยอะเลย! แกเรียนรู้ยังไง ฉันไม่เคยสอนเรื่องพวกนี้เสียหน่อย แถมแกก็สื่อสารกับใครไม่ได้”
“ดูเอา! ข้าฉลาดจะตาย!” บวกกับเดาสุ่มสี่สุ่มห้า
“ทำเป็นโม้”
“เจ้านายๆ หมอลู่หยุดพักแล้ว”
“หมอลู่นี่เก่งจริงๆ แต่ที่น่าแปลกคือ ทำไมคนของฉันสืบไม่พบว่าเธอไปเรียนเรื่องพวกนี้มาจากไหน ดูจากข้อมูล หลายสิบปีมานี้เธอเป็นคนที่ดูธรรมดามากเลยนะ…”
“เจ้านาย หรือว่าจะแอบเรียน มีไม่ใช่เหรอพวกอาจารย์ที่ไม่ชอบให้คนอื่นรู้จักตัวเอง ก็เลยแอบรับลูกศิษย์”
ตี้อู๋เปียน “…ฉันจำได้ว่าฉันไม่เคยพูดเรื่องพวกนี้กับแก”
“เคยพูดนะเคยพูด!”
“เมื่อไร”
“ได้ยินตอนเจ้านายเล่านิทานให้เสี่ยวอันเหยี่ยฟัง”
“…”
เขาก็ลืมไปเลย
“ในเมื่ออยากรู้อยากเห็นขนาดนี้ งั้นอีกหน่อยฉันจะสอนแกหลอมเหล็ก เครื่องบินบินขึ้นฟ้าได้ยังไง ดาวเทียมระบุพิกัดยังไง…”
“ไม่เอาๆ…” ดอกฉยงฮวาตกใจรีบส่ายลำต้น
“นายต้องตั้งใจเรียน!”
ดอกฉยงฮวาร้องไห้จนสลบไปในกระถางคริสตัล