ตอนที่ 210 ดอกเถียนซินเรืองแสง
วันอาทิตย์
หลังจากฝึกปกติและกินอาหารเช้าแล้ว มู่เถาเยาก็ฝังเข็มให้ตี้อู๋เปียน
เจ้าถุงลมน้อยชินแล้วที่อาเล็กของตัวเองถูกปักเข็มเพื่อรักษาโรค จึงสั่งให้มู่เถาเยาปักเยอะหน่อย อาเล็กจะได้หายไวขึ้น
ย่าตี้รีบไปลากเด็กน้อยมาปิดปาก กลัวจะรบกวนมู่เถาเยา
เกิดฝังเข็มผิด ทำเข็มหลุด อาจถึงตายได้เชียวนะ!
คนมุงดูอย่างพวกเขาต่างไม่เคยกล้าส่งเสียงหรือเดินเพ่นพ่านขณะที่มู่เถาเยาฝังเข็ม แค่มองดูอยู่เงียบๆ ในระยะที่ปลอดภัย
ย่าตี้อุ้มเจ้าถุงลมน้อยไป เอาให้มู่ซือจิ่นที่เดินเข้ามาหาน้องพอดี
อยู่ในหมู่บ้านเถาหยวนซานไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย พวกเขามาเยือนก็เลยไม่ได้พาบอดี้การ์ดมาเท่าไร มีแค่ไป๋เฮ่าอวี๋ พ่อบ้านจง แล้วก็อาคุน สามคนเท่านั้น
พอเห็นเด็กทั้งสองคนจูงมือกันออกไปแล้ว ย่าตี้ก็กลับเข้าไปดูต่อ
แม้พวกเขาจะไม่รู้เรื่องการรักษา แต่ก็อยากเห็นอาการที่ดีขึ้นทันทีหลังจากดึงเข็มออก
อาการดีขึ้นทุกครั้งทำให้พวกเขาดีใจมาก นี่ก็เหมือนกับคนที่ถูกตัดสินโทษตายแต่อยู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นรอลงอาญาไว้ก่อน
แม้จะยังอยู่ในคุก แต่ก็ไม่ต้องตายแล้ว
ระหว่างการฝังเข็มราบรื่นเหมือนกับครั้งก่อนๆ คนที่มุงดูต่างมีสีหน้าเหมือนยกภูเขาออกจากอก
หยวนเหยี่ยกับไป๋เฮ่าอวี๋จับชีพจรให้ตี้อู๋เปียน
ทั้งสองคนยิ้มพลางพยักหน้า รู้สึกได้แล้ว!
ไม่เหมือนเมื่อก่อน แค่มองออกจากภายนอกว่าเปลี่ยนไป แต่จับชีพจรกับใช้เครื่องมือตรวจกลับตรวจไม่พบผลที่บอกว่าอาการดีขึ้น
ย่าตี้ถามแบบที่ทนรอไม่ไหว “อู๋เปียน รู้สึกเป็นยังไงบ้าง”
“ดีมากครับ รู้สึกตัวเบาเหมือนนกนางแอ่นเลย”
มู่เถาเยาพยักหน้า “แบบนี้ก็ถูกต้องแล้ว กลไกในร่างกายของคุณเริ่มฟื้นกลับมาแล้ว ทำให้ตัวเบาเหมือนได้ชีวิตใหม่”
ปู่ตี้ถาม “เสี่ยวเยาเยา งั้นเมื่อไรอู๋เปียนถึงจะเหมือนคนปกติเหรอ”
เขาหมายถึงใช้ชีวิตแบบคนทั่วไปได้ ไม่ใช่กลายเป็นคนธรรมดา
เพราะทุกคนรู้ว่า ด้วยอาการของตี้อู๋เปียนในตอนนี้ยังจำเป็นต้องใช้หญ้าพิษชีวิต
วันหน้าบางทีเสี่ยวเยาเยาอาจคิดหาวิธีอื่นได้…
“ปู่ตี้คะ ถ้าอยากให้ตี้อู๋เปียนวิ่งกระโดดแบบคนทั่วไปได้ อย่างน้อยต้องใช้เวลาครึ่งปีค่ะ อาจจะเดือนธันวาคมหรือไม่ก็มกราคม ถ้าระหว่างนั้นไม่เกิดเหตุไม่คาดคิดนะคะ”
ย่าตี้ “เสี่ยวเยาเยา ย่าจำได้หนูเคยบอกไว้ พอถึงหน้าหนาว ของบำรุงที่อู๋เปียนกินเข้าไปก็จะทำหน้าที่แล้ว”
“ค่ะ พอถึงตอนนั้นหนูจะทำยาเม็ดให้เขาพกติดตัวไว้ ส่วนกี่วันกินหนึ่งเม็ดก็ต้องดูอาการก่อนค่ะ”
หยวนเหยี่ย “เสี่ยวเยาเยา สาเหตุการป่วยของอู๋เปียนมันเกินขอบเขตปกติไปมาก สมุนไพรทั่วไปใช้รักษาได้เหรอ”
“สมุนไพรทั่วไปย่อมไม่มีผล แต่น้าเล็กอวิ๋นหาสมุนไพรหายากที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเขามามากมาย ไว้ถึงตอนนั้นหนูจะใช้ดอกเถียนซินมาทำเป็นยาค่ะ”
ไป๋เฮ่าอวี๋ถามด้วยความสงสัย “คุณหมอเทวดาครับ ดอกเถียนซินดอกนั้นก็แค่สวย ไม่เห็นจะมีความพิเศษอะไรเลยครับ”
“ตอนเย็นลองปิดไฟไปดูสิคะ”
“ปิดไฟเหรอ มันจะเปล่งแสงเหรอครับ เป็นสีรุ้งเลยไหม”
“…คิดมากแล้วค่ะ แสงของมันไม่มีสี ก็เหมือนแสงทั่วไป”
แต่แสงที่ออกมาจากดอกเถียนซิน สว่างไสวเหมือนพระจันทร์
ไม่เหมือนแสงไฟที่แยงตาได้
ปู่ตี้กับย่าตี้ก็สงสัยเป็นอย่างมาก ตอนเย็นอยากไปดูที่สวนหลังบ้านด้วย
มู่เถาเยาเก็บกล่องยาใบน้อยอย่างไม่รีบร้อน “กลับเข้าบ้านเถอะค่ะ แดดแรงแล้ว”
ทุกคนย่อมไม่มีทางคัดค้าน
แสงแดดในเดือนมิถุนายนแรงมาก แผดเผาได้ง่าย
พอกลับเข้าห้องรับแขก มู่เถาเยาก็พูดกับทุกคนว่า “หนูขอเอาเข็มทองไปฆ่าเชื้อข้างบนก่อนนะคะ”
“ไปเถอะ เดี๋ยวลงมากินข้าวนะ”
“ค่ะ”
หลังจากมู่เถาเยาขึ้นไปแล้ว ย่าตี้ก็ให้เฉิงซิ่นไปตามเด็กทั้งสองคนกลับมา เพราะเจ้าถุงลมน้อยกินข้าวเสร็จต้องนอนกลางวัน
กินข้าวบ้านอื่นได้ แต่ไปนอนบ้านคนอื่นไม่ดี
ปู่ตี้ “อู๋เปียน ช่วงนี้สีหน้าของหลานดูดีขึ้นมากเลยนะ ไม่ซีดเซียวแล้ว นอกจากเป็นเพราะฝีมือของเสี่ยวเยาเยา ปู่ว่าต้องเกี่ยวข้องกับที่หมู่บ้านเถาหยวนซานฮวงจุ้ยดีด้วยแน่ๆ”
คนที่รุ่นอาวุโสกว่าเชื่อเรื่องพวกนี้
อดีตผู้ใหญ่บ้านลูบเคราขาวที่ไม่ยาวและมีไม่มาก “ฮวงจงฮวงจุ้ยผมไม่เข้าใจหรอก แต่นับตั้งแต่หมอเทวดาหยวนพาเสี่ยวเยาเยามาอาศัยที่หมู่บ้านเถาหยวนซาน ที่นี่ก็ดีขึ้นทุกวัน!”
หลี่ซานซือเมียของอดีตผู้ใหญ่บ้านยิ้มพลางพยักหน้า “นั่นสิคะ! ตอนนั้นหมอเทวดาหยวนอุ้มเสี่ยวเยาเยาที่ตัวขาวอ้วนท้วมมาในสภาพมอมแมมปรากฏตัวที่หมู่บ้านเถาหยวนซาน พวกเรายังคิดอยู่ว่าพวกเขาเป็นทวดกับหลานที่ถูกไล่ออกมา สงสารจับใจเลยล่ะค่ะ…”
พอนึกถึงอดีต อดีตผู้ใหญ่บ้าน หยวนเหยี่ย ซย่าโหวโซ่วก็พากันหัวเราะ
เพียงชั่วพริบตาผ่านไปสิบแปดปีแล้ว พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าหมู่บ้านเถาหยวนซานจะเปลี่ยนเป็นแบบนี้
เป่ยซี “หมอเทวดาหยวนคะ ตอนนั้นเสี่ยวเยาเยาหลับหรือตื่นอยู่คะ ตกใจกลัวหรือเปล่า”
หยวนเหยี่ยเป็นอาจารย์ของมู่เถาเยา เป่ยซีกับเขานับว่าเป็นรุ่นเดียวกัน แต่เนื่องจากหยวนเหยี่ยอายุมากกว่าพ่อแม่ของเธอและพ่อแม่สามีเสียอีก เป่ยซีกับสามีก็เลยค่อนข้างใช้คำเรียกหยวนเหยี่ยลำบาก
จะเรียกลุงเรียกอาก็ไม่ถูก เรียกพี่ก็กระดากปาก อย่างไรเสียใช่ว่าทุกคนจะเหมือนเจียงเฟิงเหมียน เรียกคนที่แก่กว่าตัวเองหลายสิบปีว่าพี่ชาย
ดังนั้นพวกเขาก็เลยเรียกว่าหมอเทวดาหยวนมาตลอด หรือไม่ก็เรียกว่าอาจารย์ใหญ่ตามลูกสาว
“เสี่ยวเยาเยาตื่นอยู่ แต่ไม่ได้ตกใจกลัว ตอนนั้นผมคุยกับเธอ เธอก็เหมือนจะเข้าใจด้วยนะ ถามอะไรก็ตอบเออออ…”
หยวนเหยี่ยเริ่มสาธยายยาวอีกแล้ว แต่ไม่มีใครรังเกียจ
ตอนมู่เถาเยาเดินลงมาก็เห็นกลุ่มคนกำลังตั้งใจฟัง ‘เรื่องในอดีต’ เธอหมดคำจะพูด
เล่ามาเป็นร้อยรอบแล้วไม่เบื่อบ้างเหรอ คนฟังก็ฟังเป็นร้อยรอบแล้วไม่ใช่เหรอ
ในขณะที่เธอกำลังจะส่งเสียง เฉิงซิ่นก็พาเจ้าถุงลมน้อยกับมู่ซือจิ่นกลับมาแล้ว
ในมือของเด็กทั้งสองหิ้วถุงพลาสติกมาคนละใบ
“พี่สาวๆๆ…”
เด็กน้อยวิ่งเข้าไปเกาะขาตามความเคยชิน
“อันเหยี่ยกับพี่ซือจิ่น ไปเก็บผลไม้มาเหรอจ๊ะ”
“ย่าเยาเยา ผมพาอันเหยี่ยไปเก็บหยางเหมยกับลูกพลัม ทั้งใหญ่ทั้งแดง หวานมากด้วย!” มู่ซือจิ่นยกถุงพลาสติกสีขาวในมือขึ้นมาเปิดให้มู่เถาเยาดูหยางเหมย
เจ้าถุงลมน้อยพยักหน้า “ใช่ๆ หวานมาก อันเหยี่ยกินแล้ว”
เขาก็ทำตามมู่ซือจิ่น เอาถุงพลาสติกในมือเปิดให้มู่เถาเยาดูลูกพลัม
มู่เถาเยาลูบศีรษะเด็กทั้งสอง เอาถุงของพวกเขาวางบนโต๊ะแล้วเอากระดาษทิชชู่ซับเหงื่อบนใบหน้าให้
“เดี๋ยวพาไปล้างมือนะ เตรียมกินข้าวได้แล้วจ้ะ”
มู่ซือจิ่นจูงมือเจ้าถุงลมน้อยทันที “ย่าเยาเยา ผมจะพาน้องอันเหยี่ยไปล้างมือเองฮะ ไม่ให้เปียกเสื้อผ้าแน่นอน”
“จ้ะ”
ต่อให้เสื้อผ้าเปียกก็ไม่เป็นไร เปลี่ยนก็ได้แล้ว ไม่ใช่เรื่องใหญ่
เด็กทั้งสองคนเดินออกประตู ไปล้างมือที่ก๊อกน้ำที่เอาไว้รดน้ำต้นไม้ในสวนด้านนอกโดยเฉพาะ
ก๊อกน้ำนี้ค่อนข้างเตี้ย เด็กหมุนถึง
“น้องอันเหยี่ย พี่จะเปิดน้ำใส่ถังก่อนค่อยเอากระบวยตักให้ล้างนะ จะได้ไม่เปียกเสื้อผ้า”
“ฮะ”
เจ้าถุงลมน้อยพยายามยื่นมือให้ห่างตัวมากที่สุด
“จะเทแล้วนะ”
“อือๆ”
มู่ซือจิ่นค่อยๆ เทน้ำใส่มือของเจ้าถุงลมน้อยที่ยื่นออกมา
สองมือของเจ้าถุงลมน้อยถูๆ พลิกไปมา ถูตามซอกตามมุม…
“ล้างสะอาดแล้ว พี่ซือจิ่น อันเหยี่ยตักให้บ้างนะ”
“ได้”
มู่ซือจิ่นยื่นกระบวยไม้ให้เจ้าถุงลมน้อย
เด็กน้อยใช้สองมือตักน้ำ ค่อยๆ เทน้ำลงบนมือแบบที่มู่ซือจิ่นทำเมื่อครู่
เพียงแต่เขาคุมความเร็วไม่อยู่ น้ำไหลพรวดลงมาหมดในคราวเดียว
มู่ซือจิ่นยังไม่ทันได้ถูมือน้ำก็หมดแล้ว
เด็กทั้งสองอึ้ง
เริ่มใหม่แต่แรกอีกครั้ง สองครั้ง สามครั้ง…ในที่สุดก็ล้างมือสะอาดสักที
ทั้งสองจูงมือเข้าไปในบ้านอย่างอารมณ์ดีอีกครั้ง